สวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี่ยน สวมเสื้อสีฟ้า สวมหมวกแต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้ คุกเข่าอยู่บนพื้น เมื่อได้ยินเสียง ทุกคนในห้องก็หันไปมองสืออีเหนียง มีแค่สวีซื่ออวี้ที่ก้มหน้าก้มตาและมีสีหน้าซีดเซียว
“น้องสะใภ้สี่ เจ้ามาแล้วหรือ!” ฮูหยินสามที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือมีสีหน้าเป็นมิตร ชี้ไปที่ผ้าไหมสีขาวข้างหน้าสวีซื่ออวี้ “อวี้เกอของเจ้าทำเรื่องดีๆ เอาไว้”
หางตาของสืออีเหนียงกวาดไปเห็นแค่ผ้าเช็ดหน้าที่มีคำว่า ‘ขอบฟ้า’ ลายมือสวยงาม มันคือลายมือของสวีซื่ออวี้
นางเหลือบมองสวีซื่ออวี้อย่างรวดเร็ว
เขาเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าที่ซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม เม้มริมฝีปากแน่น สีหน้ามีความเศร้าโศกและเสียใจ
สืออีเหนียงพอจะเข้าใจได้จากท่าทีของสวีซื่ออวี้
นางพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ข้าพึ่งจะเดินเข้ามา เท้ายังยืนไม่มั่นคงเลย แต่จู่ๆ พี่สะใภ้สามกลับสั่งสอนเช่นนี้ คนที่รู้อาจจะคิดว่าโมโหเด็กๆ คนที่ไม่รู้คงจะคิดว่าข้าทำเรื่องผิดมหันต์อะไร ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้สามหมายความว่าอะไรหรือเจ้าคะ” นางพูดด้วยสายตาที่ไม่พอใจ
ฮูหยินสามตกใจ
สืออีเหนียงยอมคนมาตลอด แต่เหตุใดครั้งนี้จึง…แต่เมื่อนึกได้ว่าเรื่องของวันนี้มีความสำคัญ นางไม่มีเวลามาคิด จึงรีบพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น เจ้าก็ถามบุตรชายของเจ้าเองเถิด”
“พี่สะใภ้สามพูดอะไรแปลกๆ เจ้าคะ!” สืออีเหนียงจ้องมองนาง “อวี้เกอถูกท่านลงโทษให้คุกเข่า ท่านไม่ได้บอกสาเหตุแต่กลับให้ข้าถามคนที่ถูกลงโทษ หรือว่าอวี้เกอพูดเช่นไรก็เป็นเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
นางใช้คำพูดบังคับให้ฮูหยินสามเป็นคนเอ่ยบอก ไม่เช่นนั้นอวี้เกอพูดสิ่งใดก็จะถือว่าเป็นความจริง
ท่าทีของนางทำให้สีหน้าของฮูหยินสามเต็มไปด้วยความตกใจ
สวีซื่ออวี้ยิ่งแปลกใจ
สีหน้าของสวีซื่อฉินมีความดีใจ เขารีบพูดว่า “อาสะใภ้สี่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอวี้เกอขอรับ…”
แต่เขายังพูดไม่ทันจบ ฮูหยินสามก็เบิกตาใส่เขา “ผู้ใหญ่คุยกัน อย่ามาพูดแทรก!”
สวีซื่อฉินยังอยากจะเถียงต่อ แต่ฮูหยินสามก็หันไปพูดกับสืออีเหนียง “เดิมทีข้าก็ไม่อยากจะพูด แต่ในเมื่อเจ้าถาม ข้าก็จะพูด เจ้าจะได้รู้ว่าอวี้เกอของเจ้าทำเรื่องอะไรลงไป” พูดจบก็หันไปมองสวีซื่ออวี้ที่ก้มหน้าก้มตา ไม่พูดไม่จาและคุกเข่าอยู่ตรงนั้น “ไม่รู้ว่าอวี้เกอของเจ้าไปคัดลอกบทกวีเหลวไหลมาจากที่ไหน อ้างชื่อของข้าไปเป็นแขกที่จวนสกุลกาน แต่กลับถือโอกาสตอนที่บรรดาท่านป้าไม่ได้สังเกตแล้วลอบเข้าไปในลานของย่วนเจี่ยเอ๋อร์…” นางหยุดชะงัก “โชคดีที่พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าจับได้ก่อน ไม่เช่นนั้น คงจะทำเรื่องไร้ยางอายอะไรขึ้นมา”
เด็กอายุสิบสองสิบสามที่ได้รับการสั่งสอนระบบศักดินา กลางวันแสกๆ เขาจะทำอะไรได้เล่า
“อ้อ!” สืออีเหนียงเลิกคิ้ว “ไม่รู้ว่าย่วนเจี่ยเอ๋อร์คือใครกันหรือเจ้าคะ”
“นางคือบุตรสาวของอนุภรรยาของพี่ใหญ่ข้า”
“ที่แท้ก็เป็นหลานสาวของท่านเช่นนั้นหรือ!” สืออีเหนียงมองไปที่ฮูหยินสามด้วยสายตาที่แหลมคม เน้นคำว่า ‘หลานสาว’ เป็นอย่างมาก “พี่สะใภ้สามพูดเช่นนี้ข้าไม่เข้าใจเจ้าค่ะ จะว่าไปแล้วปีนี้อวี้เกอก็อายุสิบสองแล้ว เด็กที่ไม่รู้ความจะไม่เข้าไปในห้องโถง แต่อวี้เกอของเราช่างเก่งจริงๆ ไม่ใช่สกุลญาติของเขาแต่เขากลับสามารถเดินเข้าไปในประตูฉุยฮวา เดินไปถึงลานของย่วนเจี่ยเอ๋อร์ได้ ไม่เพียงแต่หาลานของย่วนเจี่ยเอ๋อร์จนเจอ แล้วยังสามารถเจอกับย่วนเจี่ยเอ๋อร์ ทำเรื่องไร้ยางอายได้อีก สาวใช้และท่านป้าของจวนจงฉินปั๋วก็ไม่สังเกตเห็นนี่ช่างบังเอิญเสียจริง!” นางพูดเย้ยหยัย จากนั้นก็เหลือบมองไปที่สวีซื่อฉิน
ฮูหยินสามพูดไม่ออก
สืออีเหนียงเห็นว่าท่าทีของนางแผ่วลง จึงถือโอกาสเป็นผู้นำ เอ่ยถามฮูหยินสามว่า “ไม่รู้ว่าพี่หญิงสามไปเจอผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ที่ใดหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสามถอนหายใจแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่นำมาให้ข้ายามบ่ายของวันนี้…”
ไม่รอให้นางพูดจบ สืออีเหนียงก็ขัดจังหวะนางแล้วบอกหู่พั่วที่อยู่ข้างๆ “นำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาให้ข้าดู ข้าอยากรู้ว่า คัดลอกบทกวีอะไรมา เหตุใดถึงอ่านออกเสียงไม่ได้!”
หู่พั่วเข้ามาในห้องก็ตกใจกับท่าทียกตนข่มท่านของสืออีเหนียง ได้ยินเช่นนี้นางก็ได้สติกลับมา รีบเดินเข้าไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามายื่นให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงเปิดดูผ้าเช็ดหน้า จากนั้นก็ค่อยๆ อ่านออกมา “ตราบใดที่โลกใบนี้มีเพื่อนที่รู้ใจอย่างเจ้า ถึงแม้ว่าจะแสนไกลเท่าขอบฟ้า แต่ก็เหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ อย่าเสียใจเมื่อต้องจากลากันไป อย่าร้องไห้เหมือนคนรักที่จากลากัน”
เสียงของนางทำให้ฮูหยินสามค่อยๆ สงบลง คว้าเศษไม้ที่ลอยมาบนผืนน้ำ กลับมามีท่าทีเหมือนเดิม “น้องสะใภ้สี่เจ้าดูสิ นั่นคือลายมือของอวี้เกอ”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็เก็บผ้าเช็ดหน้าแล้วพูดพึมพำ “ไม่รู้ว่าข้าอ่านหนังสือน้อยเกินไป หรือว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว บทกวีของหวังจื่ออานนั้นถูกเรียกว่าบทกวีเหลวไหล”
นางพูดเบาๆ แต่กลับชัดเจน ทุกคนในห้องล้วนแต่ได้ยินอย่างชัดเจน
ฮูหยินสามสีหน้าซีดลง
สืออีเหนียงจึงถามหู่พั่ว “วันนี้ใครรับใช้คุณชายน้อยสอง”
หู่พั่วรู้ว่าสืออีเหนียงกำลังท้าทายฮูหยินสาม นางจึงทำทุกอย่างด้วยความเคารพมากกว่าปกติ ก้มหน้าลงแล้วกุมมือ “เรียนฮูหยิน วันนี้ชิ่นเซียงเป็นคนรับใช้คุณชายน้อยสองเจ้าค่ะ”
“เรียกนางเข้ามา!”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป
“ท่านอาสะใภ้สี่ กวีบทนี้ข้าเป็นคนให้น้องสองเขียนเองขอรับ” สวีซื่อฉินที่หลังจากถูกท่านแม่ตำหนิก็ไม่กล้าพูดอะไร ถือโอกาสนี้พูดว่า “ไปหาย่วนเจี่ยเอ๋อร์ก็เป็นความคิดของข้าขอรับ”
“เจ้าหุบปาก” ฮูหยินสามโมโหจนตัวสั่น “เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้แล้วข้าจะไม่ลงโทษ เจ้ารู้แต่ไม่ยอมมารายงาน ปล่อยให้อวี้เกอทำเรื่องเช่นนี้ รอให้ท่านพ่อเจ้ากลับมา ข้าจะฟ้องท่านพ่อของเจ้า ให้เขาลงโทษเจ้าให้หนัก”
“ไม่ใช่ขอรับ” สวีซื่อฉินรีบพูด “เรื่องนี้เป็นความผิดของข้า ไม่เกี่ยวข้องกับน้องสอง…”
การถกเถียงกันเช่นนี้ไม่มีทางได้รับผลลัพธ์ ไม่มีประโยชน์อะไร
สืออีเหนียงยิ้มให้สวีซื่อฉินอย่างอ่อนโยน “ท่านแม่ของเจ้าพูดถูก พี่น้องอย่างพวกเจ้ารักกันเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ไม่ควรเห็นเขาทำเรื่องที่ไม่ถูกต้องแล้วไม่แนะนำ นี่คือหลักการของการเป็นพี่ชาย” นางพูดจนทำให้สวีซื่อฉินพูดไม่ออก
สวีซื่อฉินตกใจ
สายตาของสวีซื่ออวี้หม่นหมองลง
ฮูหยินสามรู้สึกพึงพอใจในใจ
บุตรชายคนโตของอนุภรรยา ไม่สนใจเรื่องบุรุษสตรี แอบทำเรื่องเช่นนี้…ใครก็ตามที่มีสมองก็คงจะจับเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อย
นี่คือสิ่งที่นางพึ่งพา ดังนั้นนางจึงแอบเรียกสืออีเหนียงมาที่นี่อย่างเงียบๆ
สายตาของฮูหยินสามมีรอยยิ้ม
หู่พั่วพาชิ่นเซียงเดินเข้ามา
ไม่รอให้พวกนางคำนับ สืออีเหนียงก็โยนผ้าเช็ดหน้าลงตรงหน้าชิ่นเซียง “ตัวหนังสือบนผ้าเช็ดหน้านี้คุณชายน้อยสองเป็นคนเขียนเช่นนั้นหรือ”
หู่พั่วไม่รู้ว่าสืออีเหนียงคิดจะทำอะไร แต่นางรู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ นอกจากมีการวางแผนมาก่อนแล้ว การโกหกชั่วคราวย่อมมีข้อบกพร่อง ไม่สู้พูดความจริงดีกว่า ดังนั้นตอนที่มานางบอกชิ่นเซียงซ้ำๆ ว่าต้องพูดความจริง แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ความน่าเกรงขามบนใบหน้าของสืออีเหนียงก็ยังทำให้ชิ่นเซียงหวาดกลัวจนตัวสั่น นางเงียบอยู่นาน ไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ
ทุกคนหยิ่งผยองอยู่ที่นี่ ก็แค่อยากจะรังแกอวี้เกอ เพราะว่าเขาไม่มีคนคอยปกป้อง
สวีซื่ออวี้พูดเบาๆ “ท่านแม่ไม่ต้องถามหรอกขอรับ ข้าเป็นคนเขียนเองขอรับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เสียใจ
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา พูดประโยคที่พูดกับสวีซื่อฉินอีกครั้ง “พี่น้องรักกันเป็นเรื่องที่ดี แต่เกิดเรื่องขึ้นแล้วจะรับผิดชอบเองไม่ได้ นี่ไม่ใช่การช่วยคนอื่นแต่เป็นการทำร้ายคนอื่น”
สวีซื่ออวี้ตกใจ แต่สวีซื่อฉินได้ยินเช่นนี้กลับหัวเราะ
สืออีเหนียงหันหน้าไปมองชิ่นเซียงที่กำลังตกใจ
ชิ่นเซียงกัดฟันแล้วพยักหน้า “คุณชายน้อยสองเป็นคนเขียนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เขียนเมื่อไร” สืออีเหนียงถามนางอย่างอ่อนโยน “เขียนที่ไหน เอาผ้าไหมสีขาวที่ไหนมาเขียน เอาหมึกที่ไหนมาเขียน”
ชิ่นเซียงตกใจ
รายละเอียดพวกนี้ นางจะสังเกตได้เช่นไร
ไม่รอให้นางตอบ สืออีเหนียงก็พูดว่า “แสดงว่าเจ้าไม่รู้?”
ชิ่นเซียงพยักหน้า
“ในเมื่อเจ้าไม่รู้อะไรเลย จะบอกว่าคุณชายสองเขียนได้เช่นไร”
ชิ่นเซียงตกใจ ไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไร
สืออีเหนียงพูดว่า “หรือเพราะว่ามันเป็นลายมือของคุณชายน้อยสอง”
ชิ่นเซียงรีบพยักหน้า
สืออีเหนียงก็พูดว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า เจ้าแค่คิดว่าลายมือนี้เหมือนลายมือของคุณชายน้อยสอง แต่กลับไม่แน่ใจว่าคุณชายน้องสองเป็นคนเขียนใช่หรือไม่”
ทันทีที่นางพูดจบ ฮูหยินสามก็ไม่สบายใจ ไม่รอให้ชิ่นเซียงตอบกลับนางก็พูดแทรกว่า “ใครจะรู้ว่าอวี้เกอเขียนเมื่อไรกัน”
“ก็จริงเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็บอกหู่พั่วว่า “ไปเรียกสาวใช้ที่รับใช้คุณชายน้อยสองมาให้หมด ดูว่ามีใครรู้หรือไม่ว่าคุณชายน้อยสองเขียนบทกวีนี้บนผ้าผืนนี้เมื่อไร”
สวีซื่อเจี่ยนที่คุกเข่าอยู่ เบิกตามองสืออีเหนียงอยู่ข้างๆ มาตลอดก็ปิดปากหัวเราะเงียบๆ
แต่ฮูหยินสามกลับตื่นตระหนก
นางรอจนถึงตอนนี้แล้วถึงเรียกสืออีเหนียงมาก็เพราะว่าไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อยากให้ไท่ฮูหยินรู้ ต้องรู้ว่า หากเรื่องนี้ใหญ่ขึ้น สวีซื่อฉินก็มีส่วนเกี่ยวข้อง
ฮูหยินสามจึงพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องดีอะไร เหตุใดจึงต้องทำให้ทุกคนรู้” นางพูดจาเสียงอ่อนลง
“พี่สะใภ้สามพูดไม่ถูกต้องเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงไม่ยอม “ในเมื่อคุณนายใหญ่จวนจงฉินปั๋วเป็นคนนำผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มา พี่สะใภ้สามไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่กลับบอกว่าอวี้เกอเป็นคนเขียน ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะคุณนายใหญ่สกุลกาน หากปล่อยไปเช่นนี้ ข้าจะอธิบายให้ท่านโหวฟังเช่นไรเจ้าคะ”
นางลากสวีลิ่งอี๋มาเกี่ยวด้วย
“เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เด็กทั้งสองคนต่างก็แย่งกันรับผิดชอบ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารักกันแค่ไหน หากเราไม่ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน จะลงโทษฉินเกอหรือว่าอวี้เกอดีล่ะเจ้าคะ หากไม่ลงโทษทั้งสองคน จะอธิบายให้จวนจงฉินปั๋วฟังเช่นไร หากลงโทษทั้งสองคน เช่นนั้นก็แสดงว่าปกป้องคนทำผิด ไม่ยุติธรรมต่อคนที่รักพี่รักน้อง?”
พูดจบ น้ำเสียงของนางก็แปรเปลี่ยนไป สีหน้าของนางแน่วแน่มากขึ้น “เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ต้องตรวจสอบ แล้วยังต้องตรวจสอบให้ถึงที่สุด นอกจากคนของอวี้เกอแล้ว ก็ยังต้องตรวจสอบคนของฉินเกอ แล้วยังมีคนของเจี่ยนเกอ…ต้องตรวจสอบคนทั้งลานในและลานนอก” จากนั้นก็พูดเสียงดังขึ้นอย่างเคร่งขรึม “ไม่เช่นนั้น ชื่อเสียงของสกุลสวีจะอยู่ที่ไหนกันเจ้าคะ”
นางบอกหู่พั่ว “เจ้าไปเชิญคุณชายสามและท่านโหวมา” จากนั้นก็ใช้เสียงที่ทุกคนสามารถได้ยินพูดขึ้นว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องของสกุลเราเท่านั้น มันยังเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของบุตรสาวสกุลกาน หากไม่ตรวจสอบให้ชัดเจน ข้าคิดว่าย่วนเจี่ยเอ๋อร์คงจะต้องฆ่าตัวตายเพื่อแสดงความบริสุทธิ์แล้ว…”
ทุกคนในห้องได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป
ฮูหยินสามเห็นท่าทีที่แน่วแน่ของสืออีเหนียง กลัวว่านางจะตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่สวีซื่อฉินและคนอื่นๆ กลับเป็นห่วงย่วนเจี่ยเอ๋อร์
“ท่านแม่ เรื่องนี้ข้าเป็นคนทำเองขอรับ” เขาลังเลไปครู่หนึ่ง สวีซื่อฉินพูดอย่างเคร่งขรึม “ครั้งก่อนที่น้องหญิงใหญ่เป็นอีสุกอีใส ข้าไปเยี่ยมน้องหญิงใหญ่แล้วเจอกับน้องหญิงสามที่อยู่ข้างๆ…”
เขาพูดอย่างรีบร้อน ท่าทีราวกับกลัวคนอื่นพูดขัดจังหวะ