เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ก็ดูเหมือนจะรวดเร็วอย่างมาก ในชั่วพริบตาก็เดินทางมาถึงเวลาพลบค่ำ เงาชายหนุ่มคุกเข่าอยู่นอกพระตำหนักลากยาว เงาสะท้อนของเขาสั่นไหวไปมา ทำให้ผู้คนกังวลว่าเขาจะล้มลง…
ฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะเดินออกไป ชายหนุ่มทรงตัวกลับมาอีกครั้ง
“เหตุใดเขาจึงดื้อดึงเพียงนี้” ฮ่องเต้ทั้งโกรธทั้งเศร้า “เพื่อเฉินตันจูเพียงคนเดียว เขาต้องบีบบังคับข้าเช่นนี้”
เหล่าขุนนางรอบตัวเขามีความเห็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตร
“ฝ่าบาท การกระทำขององค์ชายสามเช่นนี้ยิ่งดี ทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กกลายเป็นไม่มีเรื่อง กลายเป็นเรื่องของความรัก”
“แม้องค์ชายสามจะดื้อรั้น แต่ก็เห็นได้ว่าเขามีจิตใจที่แน่วแน่เด็ดเดี่ยว บริสุทธิ์จริงใจ”
“น่าเสียดายที่ร่างกายขององค์ชายสามอ่อนแอ ไม่เช่นนั้นคงจะเป็นผู้ที่มีความสามารถอีกหนึ่งคน…”
“อย่าพูดถึงเรื่องของความรัก เพียงแค่พูดถึงการเยือนเหล่าบัณฑิตสามัญชนขององค์ชายสามก่อนหน้านี้ ทั้งอ่อนโยนสุภาพ ไม่ใจร้อน เข้าถึงง่าย ทำให้เหล่าบัณฑิตต่างเกิดความประทับใจ พันโฉ่วนั้น ไม่ พันหยงนั้นยิ่งเคารพต่อองค์ชายสามอย่างยิ่ง ชื่นชมเขาเป็นประจำ”
บุตรชายคนที่สามซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้ไร้ประโยชน์มาทั้งชีวิตมีชื่อเสียงถึงเพียงนี้เชียวหรือ เมื่อได้ยินคำชม ฮ่องเต้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย สีหน้าของเขาอ่อนลง “ผู้มีความสามารถก็ช่างเถิด ข้าไม่คาดหวัง ตราบใดที่เขาปลอดภัยและแข็งแรง อย่าทำร้ายตัวเองเพื่อหญิงสาวก็พอ”
บรรดาขุนนางมองหน้ากัน ก่อนจะกราบทูลว่า “ขอให้พระองค์ทรงโปรดเรียกคืนพระราชโองการตามคำขอขององค์ชายสามด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องนี้จบลงด้วยฮ่องเต้ทรงเรียกคืนพระราชโองการตามคำขอของบุตรชาย เหล่าชนชั้นสูงยังจะสามารถทำสิ่งใดได้ หรือว่าจะยังคงไม่ยอมหยุด เช่นนั้นย่อมเป็นการไร้ความเป็นมนุษย์ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ได้คืบเอาศอก เช่นนั้นย่อมไม่ใช่ความผิดของฮ่องเต้แล้ว
แต่เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ย่อมต้องมีคนได้รับโทษ ฮ่องเต้ไม่ผิด องค์ชายสามมีคุณธรรม ย่อมมีแต่…
องค์ชายสามได้ยินเสียงฝีเท้า เขาเงยหน้าขึ้น ถึงแม้ฮ่องเต้จะไม่ให้คนมาดูแล แต่ขันทีจิ้นจงยังคงจัดหมอหลวงและขันทีเฝ้าดูเอาไว้ คุกเข่าเป็นเวลานานเช่นนี้ สำหรับองค์ชายสามที่ไม่เคยได้รับความลำบากแม้แต่น้อยนั้น สีหน้าของเขาซีดเผือดราวกับกระดาษไปเสียแล้ว ราวกับเพียงแค่จิ้มก็สามารถทะลุได้
“ลูกอกตัญญู เจ้าจะคุกเข่าถึงเมื่อใด” ฮ่องเต้ถามด้วยความโกรธ “เสด็จแม่ของเจ้าล้มป่วยลงแล้ว!”
ขันทีจิ้นจงรีบโบกมืออยู่ด้านข้าง “องค์ชายสาม ร่างกายของท่านไม่อาจ…”
องค์ชายสามเข้าใจสายตาและท่าทางของเขา จึงรีบเรียกขานเสด็จพ่อ ก่อนที่ร่างกายของเขาจะล้มลงไปด้านหน้า “กระหม่อมขอให้เสด็จพ่ออภัยโทษ…”
ขันทีจิ้นจงส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ “องค์ชายสาม…” เขาคว้าแขนฮ่องเต้เอาไว้ทันที “ฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้มองไปที่ชายหนุ่มที่ล้มลง ก่อนจะได้ยินเสียงร้องของขันทีจิ้นจง ใจของเขาแทบแตกสลาย เขารีบวิ่งมาทางนี้ ตะโกนเสียงดังว่า “ข้ารับปากเจ้า! ข้ารับปากเจ้า! ผู้ใดก็ได้รีบมา! ผู้ใดก็ได้รีบมา!”
…
ขันทีขบวนหนึ่งเดินทางมาถึงภูเขาดอกท้อ ภายใต้การจับตาดูอย่างตื่นเต้นและกังวลของเหล่าผู้คนในโรงน้ำชา พวกเขาประกาศบทลงโทษของฮ่องเต้ที่มีต่อเฉินตันจู ยังคงเป็นการขับไล่ออกจากเมืองหลวง แต่สถานที่ที่เนรเทศคือเมืองซีจิง
เหล่าราษฎรที่มุงดูอยู่นั้น เมื่อได้ยินแบบนี้จึงอดส่งเสียงฮือฮาออกมาไม่ได้ เนรเทศอันใดกัน บทลงโทษนี้ถือเป็นการส่งตัวกลับบ้านแท้ๆ !
เฉินตันจูนี้ยังคงได้รับการโปรดปรานเสียจริง เป็นศัตรูไม่ได้ ทันใดนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกันไปทันที
อาเถียนดีใจมากเมื่อได้ทราบข่าวนี้ นางรีบจัดของทันที นอกจากนี้ยังถามขันทีที่มาประกาศพระราชโองการ ตอนที่เนรเทศจัดรถกี่คัน มีของมากเกินไปที่ต้องนำไปด้วย
จู๋หลินหัวเราะด้วยความโมโห นางรู้หรือไม่ว่าการเนรเทศหมายถึงอันใด
อาเถียนหันไปมองจู๋หลิน “จู๋หลิน ท่านยังคงไปกับพวกเราอยู่หรือไม่”
เสียงหัวเราะของจู๋หลินเปลี่ยนไปเป็นเศร้าโศกอย่างรวดเร็ว เขาคือองครักษ์หลวง เป็นองครักษ์ที่ฮ่องเต้มอบให้แม่ทัพหน้ากากเหล็ก แต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นคนของฮ่องเต้…
เฉินตันจูเห็นสีหน้าของเขา จึงเอ่ยปลอบใจ “จู๋หลิน เจ้าไม่ต้องกังวล ฝ่าบาทตรัสว่าเจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย จึงถอดยศของเจ้า เนรเทศไปพร้อมกับข้า”
ความเศร้าโศกของจู๋หลินกลายเป็นอาการแข็งกระด้าง เขาควรหัวเราะหรือร้องไห้ก่อนดี!
เฉินตันจูยิ้ม เมินเฉยต่อเขา อีกทั้งไม่สนใจขันทีที่มาส่งต่อพระราชโองการด้วยใบหน้าแข็งกระด้าง นางสนใจเพียงเรื่องเดียว “เวลานี้ข้าเข้าพระราชวังได้หรือไม่ ข้าอยากไปดูอาการขององค์ชายสาม องค์ชายท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
ก่อนที่ขันทีจะประกาศพระราชโองการ การตัดสินของฮ่องเต้ก็ถูกกระจายออกมาแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้ตัดสินอย่างไร คนที่ผ่านไปมาในโรงน้ำชายังสามารถเล่าได้อย่างกับตาเห็น องค์ชายสามคุกเข่าอยู่นอกพระตำหนักของฮ่องเต้ทั้งวัน ร่างกายอ่อนแอเป็นลมล้มลงไปพร้อมกับกระอักเลือด ฮ่องเต้กอดองค์ชายสามร่ำไห้ จึงยอมเรียกคืนพระราชโองการเนรเทศเฉินตันจู เพียงแค่ขับไล่นางกลับซีจิง
การเนรเทศเช่นนี้ทำให้นางได้กลับไปอยู่กับคนในตระกูล อีกทั้งยังเป็นเมืองซีจิงที่องค์ชายสามคุ้นเคย องค์ชายสามจึงสบายใจ
เหล่าราษฎรต่างอุทาน เฉินตันจูวาสนาดีเสียจริง ก่อนหน้านี้มีฮ่องเต้ตามใจ ต่อมามีองค์ชายสามมอบใจ จากนั้นการถกเถียงจึงกลายเป็นองค์ชายสามจะติดตามไปเมืองซีจิงหรือไม่
เฉินตันจูไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ นางกังวลใจเรื่องที่องค์ชายสามอาเจียนเป็นเลือดและเป็นลมล้มลงไปอย่างมาก
“ข้าไม่มีเรื่องอื่น” นางสาบานกับขันที “ข้าจะไม่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทหลังจากเข้าไปในพระราชวัง ข้าจะไปดูองค์ชายสามเท่านั้น แม้ไม่ให้ข้าเข้าใกล้ ดูอย่างห่างๆ ก็ได้ ข้าเป็นกังวลเกี่ยวกับร่างกายขององค์ชายสามจริงๆ”
ขันทีส่ายหัว “คุณหนูตันจู ฝ่าบาทมีพระราชโองการให้ออกเดินทางพรุ่งนี้ ท่านควรเก็บข้าวของโดยเร็ว”
สีหน้าของเฉินตันจูย่ำแย่ลงทันที ขันทีนั้นกระแอมไอเสียงเบา หลีกทางออกไป “แต่ องค์ชายสามและองค์หญิงจินเหยาต่างส่งคนมาพบคุณหนูตันจู”
จากนั้นจึงมีนางกำนัลและขันทีเดินออกมา เมื่อเห็นพวกเขา ใบหน้าของเฉินตันจูจึงเปล่งยิ้มออกมา
องค์หญิงจินเหยาส่งจดหมายให้นางบอกนางว่าไม่ต้องกังวล องค์หญิงจินเหยาได้เขียนจดหมายถึงองค์ชายหกในซีจิงเพื่อเป็นการบอกกล่าวแล้ว องค์ชายหกจะช่วยดูแลนาง
องค์ชายสามไม่ได้เขียนจดหมายถึงผู้ใดให้ดูแลนาง มีเพียงให้ขันทีที่ส่งบันทึกอาการของตนเองมา ด้านบนจดบันทึกไว้อย่างละเอียด
น้ำตาของเฉินตันจูหลั่งไหลลงมาองค์ชายสามรู้ว่านางเป็นห่วง กลัวนางจะไม่สบายใจจึงส่งบันทึกการรักษามาให้ ทำให้นางเหมือนได้เห็นเขากับตา จะได้วางใจ
เหล่าขันทีที่มาประกาศพระราชโองการจากไปแล้ว อาเถียนรีบพาคนไปเก็บสัมภาระ เรื่องเกิดขึ้นอย่างกระชั้นชิด พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแล้ว หลิวเวยและหลี่เหลียนเดินทางมาหลังจากทราบข่าว ถึงแม้จะเศร้าโศกเพราะต้องแยกจากกัน แต่เมื่อเทียบกับข่าวอันน่าสะพรึงกลัวก่อนหน้านี้ เวลานี้ก็ดีมากแล้ว ดังนั้นทั้งสามคนจึงเดินทางมาดื่มชาข้างบ่อน้ำอย่างมีความสุข
“พวกท่านวางใจ” เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้มอยู่ริมบ่อน้ำ “ข้าถึงซีจิงก็จะใช้ชีวิตอย่างดี แม่ทัพหน้ากากเหล็กและองค์หญิงจินเหยาบอกกล่าวองค์ชายหกที่อยู่ในเมืองซีจิงให้ข้าแล้ว ให้เขาดูแลข้า พวกท่านรู้จักองค์ชายหกใช่หรือไม่ เมืองซีจิงในเวลานี้ มีเขาเป็นองค์ชายอยู่องค์เดียว เขาเป็นเสือที่ใหญ่ที่สุดในเมืองซีจิง”
หลี่เหลียนหัวเราะ “ดังนั้นเจ้าจึงสามารถเป็นจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีเสือได้?”
เฉินตันจูเลิกคิ้วอย่างได้ใจ “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ข้าไม่อาจปฏิเสธความหวังดีจากสหายได้”
เสียงหัวเราะร่าเริงข้างบ่อน้ำดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จู๋หลินที่นั่งอยู่บนต้นไม้สีหน้าเฉยชา เวลานี้แล้ว คุณหนูตันจูยังคงเหิมเกริมเช่นนี้
ภายในอารามดอกท้อไม่ได้หลับทั้งคืน ทุกคนเก็บสัมภาระกันทั้งคืน หญิงชราขายชายังไม่ได้จากไป นางขึ้นเขามาต้มชาให้พวกนางทั้งคืน
“ท่านยาย ท่านอย่าเสียใจ” เฉินตันจูมองดวงตาแดงก่ำของหญิงชราขายชา “ข้าจะคิดถึงท่าน”
หญิงชราขายชาถอนหายใจ “คิดถึงข้าไม่สำคัญหรอก คุณหนูตันจูไปแล้ว ไม่รู้ว่าการค้าขายนี้ยังจะดีอยู่หรือไม่”
เฉินตันจูหัวเราะร่า อาเถียนก็หัวเราะตามอยู่ด้านข้าง
“ท่านยาย ก่อนหน้านี้ที่รั้งให้คุณหนูของพวกเราอยู่ในอารามดอกท้อ ท่านก็คิดเช่นนี้ใช่หรือไม่!”