Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน – ตอนที่ 198 กุ้งหกตัว

ตอนที่ 198 กุ้งหกตัว

“ผลเป็นยังไง”

“นายยังสงสัยเรื่องผลอยู่จริงเหรอ…”

“โทษที แต่ฉันยังรู้สึกเชื่อมั่นในตัวท่านเทพอย่างบอกไม่ถูก ท่านเทพเป็นอัจฉริยบุคคลที่ดึงฉันขึ้นมาจากอันดับล่างสุดของเซค จนขึ้นมาอยู่ในท็อปสิบเชียวนะ!”

“สีกวอชฉันก็เป็นท่านเทพเนี่ยแหละที่เข็นขึ้นมาได้!”

“ครั้งนี้ ฉันวางท่านเทพ!”

จงอวี๋โพล่งขึ้นมา แต่ก็อดรู้สึกลังเลไม่ได้ เขาเองก็สงสัยว่าตนอาจทำได้เพียงสิ้นเนื้อประดาตัว จับได้อะไรไม่จับ ดันมาจับได้ภาพเขียนพู่กันโบราณ

นี่มันส่งท่านเทพเข้าถ้ำเสือชัดๆ!

ดังนั้นจงอวี๋จึงอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกผิด การวางเดิมพันฝั่งหลินเยวียนจึงนับเป็นการไถ่บาปอย่างหนึ่ง

และในแถวหน้าของฝูงชน

ข่งอันศาสตราจารย์คณะวิจิตรศิลป์คลี่ยิ้มบาง ไม่ได้เอ่ยวาจา

ด้านหลังของข่งอัน ยังมีอาจารย์คณะวิจิตรศิลป์อยู่อีกหลายคน ในวันนี้ก็มารับชมความตื่นเต้นเหมือนกัน บางคนยังกระซิบกระซาบพูดคุยกัน

“มีหวังมั้ยครับเนี่ย”

“คุณหมายถึงหลินเยวียนเหรอ”

“ฉันว่าพอสู้ได้อยู่นะคะ”

“น่าจะพอสู้ได้อยู่หรอกครับ แต่ผลการตัดสินน่าจะไม่ผิดคาด”

“…”

ไม่ใช่เพราะไม่ชอบหลินเยวียนแต่อย่างใด ความจริงแล้วเป็นเพราะทักษะด้านการวาดภาพสีกวอชและภาพสเก็ตช์ของหลินเยวียนนั้นน่าทึ่งเหลือเกิน และจิตรกรจะต้องมีความถนัดเฉพาะทาง

ฝีมือการวาดสีกวอชและการสเก็ตช์ของหลินเยวียนโดดเด่นปานนั้น ทักษะการภาพวาดพู่กันโบราณก็อาจไม่ลึกล้ำมากพอ

นี่เป็นรูปแบบความคิดตายตัวซึ่งพบเห็นได้ทั่วไป อันที่จริงถ้าเป็นคนธรรมดาที่พรสวรรค์ไม่ได้เลิศเลอ ก็คงหนีไม่พ้นต้องเดินตามครรลองนี้อยู่ดี

“ออกมาแล้ว!”

ยามที่การถกเถียงของทุกคนร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ หน้าประตูก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจ

ในที่สุดหลินเยวียนกับหลัวเวยก็ออกมาจากห้องแล้ว

ผู้คนลอบสังเกตหลินเยวียน คนคนนี้มีสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาเฉกเช่นที่เป็นมาตลอด แม้แต่รอยยิ้มพิมพ์ใจอย่างที่สังคมคาดหวังก็ยังไม่มี

น่าจะแพ้ยับเยินน่าดู?

ทว่าทันทีที่ทุกคนมองไปยังหลัวเวย ก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง เพราะหลัวเวยดูเหมือนว่าจะเสียหลักไปเล็กน้อย เดินออกมาอย่างสะโหลสะเหล แทบสะดุดล้มคะมำ ทำให้ผู้คนพากันตกใจจนต้องรีบเข้าไปพยุง

โชคดีที่หลัวเวยไม่ได้ล้มลงไป เธอเพียงแต่มองผู้คนอย่างหมดอาลัยราวกับวิญญาณหลุดจากร่าง ก่อนสายตาจะไปหยุดที่ข่งอัน “อาจารย์ก็มาด้วยเหรอคะ”

“อืม เป็นยังไง”

ข่งอันพูดอย่างยิ้มแย้ม

หลัวเวยยิ้มขื่น “อาจารย์เข้าไปดูไหมคะ”

ข่งอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกคุณยังขาดกรรมการอีกคนหนึ่งหรือ”

หลัวเวยส่ายหน้า พึมพำว่า “ฉันไม่คู่ควร”

เสียงของเธอแผ่วเบา เบาจนมีเพียงข่งอันซึ่งอยู่ใกล้กับหลัวเวยที่สุดเท่านั้นที่ได้ยิน

ข่งอันชะงักไป เหลือบมองหลินเยวียน ในใจเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบสาวเท้าเดินเข้าห้องไป ปรากฏว่าทันทีที่เข้าไป เขาก็เห็นภาพนกฟินิกซ์สยายปีกของหลัวเวย

“ช่วงนี้คุณพัฒนาขึ้นอีกแล้ว”

ข่งอันยิ้มแย้มพลางเอ่ยชมเชย

คณาจารย์ก็พยักหน้ารัว นกฟินิกซ์ของหลัวเวยเข้าขั้นเซียนแล้ว!

“โหดแท้!”

“แม่เจ้าโว้ย!”

“นกฟินิกซ์ตัวนี้โคตรจะเท่!”

“ประธานสุดจัดปลัดบอกไปเลยค้าบ!”

“งัดร่างทองออกมาใช้เลยเหรอ?”

“…”

นักศึกษาด้านหลังหลายคนยื่นหน้าเข้ามา และถกเถียงกันเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ

หลังจากนั้น ข่งอันก็เดินไปยังภาพวาดของหลินเยวียน

ภาพนี้หันหลังให้นักศึกษาคนอื่น ไม่มีใครมองเห็น มีเพียงข่งอันและอาจารย์ไม่กี่คนที่เห็น

เมื่อนักศึกษาทั้งหมดเบนสายตาไปมอง ทุกคนก็พลันพบว่าข่งอันและอาจารย์คนอื่นๆ สีหน้าเปลี่ยนไป!

โดยเฉพาะศาสตราจารย์ข่ง เห็นได้ชัดว่าเขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่!

ห้องวาดภาพเข้าสู่ความเงียบงัน

ท่ามกลางความเงียบนี้ บรรดาสมาชิกในชมรมต่างก็รู้สึกอดไม่ได้ ขยับเข้าไปอย่างกระวนกระวาย

ส่วนจงอวี๋ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์

ทำไมอาจารย์ทำสีหน้าพิลึกกึกกือกันแบบนั้นล่ะ

ไร้ซึ่งคำอธิบายใด

ข่งอันหยิบแว่นตาออกมาสวมอย่างเคร่งขรึม ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ภาพวาดของพลินเยวียน เพื่อมองดูให้ละเอียด

เขาคล้ายกับต้องการสัมผัสภาพวาดแผ่นนี้ ทว่ามือกลับชะงักค้างฉับพลัน และดึงมันกลับมา

รอยหมึกยังไม่แห้งดี

ถ้าหากสัมผัส จะส่งผลต่อคุณภาพของชิ้นงาน

ผ่านไปนานโข กว่าข่งอันจะรำพันออกมา “ใช้หมึกเข้มเขียนแนวตั้งเป็นดวงตา แนวนอนเป็นสมอง จรดพู่กันรังสรรค์ออกมาอย่างงดงาม ทุกฝีแปรงมีจิตวิญญาณ…ใช้ท้องพู่กันวาดด้วยหมึกจางจนกลายเป็นลำตัวของกุ้ง ให้ความรู้สึกโปร่งแสงของตัวกุ้ง…ใช้ปลายพู่กันแนวตั้งวาดเป็นหนวดและก้าม ความแข็งและอ่อนนุ่มสมจริง…นี่มันฝีมือของศิลปินเอก!”

นักศึกษาอยากเข้ามาในห้องใจจะขาด

ข่งอันตะโกนว่า “ดูอยู่ข้างนอก!”

บรรดานักศึกษาสะดุ้งโหยง ไม่กล้าเดินเข้าไป

ข่งอันเข้าใจความรู้สึกของทุกคนดี จึงหันภาพวาดไปทางพวกเขา

ทุกคนมองไปยังภาพวาดของหลินเยวียน บางคนกำลังครุ่นคิด บางคนก็ตะลึง บางคนยังสับสน บางคนรู้สึกแปลกใจ…

กุ้ง?

วาดได้ไม่เลวเลย

เปี่ยมพลังชีวิต

แต่เมื่อเทียบกับนกฟินิกซ์แล้ว คล้ายกับว่าจะไม่โดดเด่นสักเท่าไหร่

นี่เป็นทัศนะของคนส่วนมาก

เมื่อนำกุ้งของฉีไป๋สือ มาเทียบกับกุ้งของจิตรกรภาพวาดหมึกดำทั่วไป คนส่วนใหญ่ย่อมมองความแตกต่างไม่ค่อยออก

นั่นก็เพราะเป็นกุ้งเหมือนกัน

แต่ใช่ว่าพวกเขาจะขาดความสามารถในการเสพสุนทรีย์ไปซะทุกคน ในชมรมจิตรกรรมก็มียอดฝีมือด้านภาพวาดหมึกดำอยู่หลายคน ย่อมมองความร้ายกาจของภาพวาดแผ่นนี้ของหลินเยวียนออก!

ฉะนั้น คนกลุ่มนี้จึงตะลึงงันไป ก่อนจะหันไปมองหลินเยวียนด้วยแววตายำเกรง

ด้านข้างของข่งอัน

สีหน้าของอาจารย์สอนภาพวาดหมึกดำของคณะก็ยิ่งตกตะลึงกว่าใครเพื่อน “ฝีแปรงของภาพเขียนนี้เข้าขั้นเทพไปแล้ว พวกคุณจะเห็นว่าส่วนเอวของกุ้งแสดงท่าทางที่แตกต่างกันไป บางตัวโค้งไปด้านหน้า บางตัวกำลังเคลื่อนที่ตัวเหยียดตรง บางตัวงอตัวกำลังปีนป่าย ไม่มีความตายตัว ไม่มีน้ำ แต่จะสัมผัสได้ว่ากุ้งกำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำ”

อาจารย์คนอื่นๆ ก็เห็นด้วยกับคำพูดนี้

อาจารย์อีกคนหนึ่งกล่าวว่า “พวกคุณดูก้ามคู่หน้าของกุ้ง ลากจากบางไปหนา ระหว่างปล้องไปจนเกิดเป็นรูปร่างของก้าม มีแยกมีรวม หนวดของกุ้งใช้เส้นหมึกจางวาดออกมา ดูเหมือนง่ายนะ แต่ความจริงแล้วยากมาก อย่างน้อยผมเองก็ทำไม่ได้”

“วาดจนดูมีชีวิตเลย”

ถ้าวาดให้ดูมีชีวิต พลังชีวิตของกุ้งจะปรากฏขึ้นมาเอง

ถ้าวาดแล้วแข็งทื่อ กุ้งก็จะขาดพลังชีวิตไป

ภาพแผ่นนี้ ลายเส้นของหนวดกุ้งดูอ่อนนุ่มแต่หนักแน่น ดูขาดตอนแต่เชื่อมต่อกัน ในความเถรตรงมีความโค้งงอ ในความยุ่งเหยิงมีระเบียบ กุ้งบนกระดาษดูราวกับกำลังเคลื่อนไหว ก้ามและหนวดดูราวกับพลิ้วไหวไปตามแรงคลื่น…

“ภาพนี้คงจะมีชื่อ”

ข่งอันมองไปยังหลินเยวียนซึ่งอยู่บริเวณปากประตู

ในที่สุดหลินเยวียนก็คลี่ยิ้ม “กุ้งหกตัว”

มีนักศึกษาพูดขึ้นว่า “มีกุ้งห้าตัวนี่นา!”

“นั่นน่ะสิ…”

“มีห้าตัวจริงด้วย”

“เดี๋ยวนะ…”

“พวกแกดูด้านบนของฝูงกุ้งสิ…”

“เหมือนยังมีอีกตัว?”

“เป็นหัวกุ้ง แล้วก็มีก้าม มีหนวดด้วย…”

“จางมาก แทบมองไม่เห็นเลย!”

“มีหกตัวจริงด้วย!”

“ตัวที่หกถูกบังอยู่ แต่ก็มีจริงๆ…”

“…”

ฝูงชนเงียบงันไปสักพัก

การผสมผสานของความเป็นรูปธรรมและนามธรรมเช่นนี้ เป็นเทคนิคขั้นสูงมากอย่างหนึ่งของการวาดภาพพู่กันโบราณ เพียงแต่นักศึกษาหลายคนยังจับหลักไม่ได้ ทุกคนถึงขั้นที่นึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าหลินเยวียนวาดความรู้สึกเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร ถึงจะไม่เข้าใจว่าส่วนไหนของภาพที่ทำให้อาจารย์ถึงขั้นตื่นตะลึง แต่อย่างน้อยทุกคนก็รู้ว่าระดับของภาพวาดชิ้นนี้สูงมาก

“หลินเยวียน ภาพแผ่นนี้ ขายให้ผมได้ไหม”

ข่งอันหันไปมองหลินเยวียนทันใด แต่สิ่งที่ทุกคนไม่รู้ก็คือ ชั่ววินาทีนั้น ข่งอันก็ล้มเลิกความตั้งใจจะรับหลินเยวียนเป็นศิษย์ไปอย่างสิ้นเชิง

เพราะว่าข่งอันรู้ดี ว่าฝีมือการวาดภาพพู่กันโบราณของหลินเยวียนนั้นเหนือกว่าศาสตราจารย์อย่างเขาคนนี้ซะอีก!

“ศาสตราจารย์ข่งคะ!”

จู่ๆ หลัวเวยก็เอ่ยขึ้น “ภาพวาดนี้ อาจารย์หลินเยวียนขายให้ฉันแล้ว! คุณอย่ามาแย่งนักศึกษาอย่างฉันได้มั้ยคะ”

เจ้าเด็กคนนี้ เปลี่ยนมาเรียกเขาว่า ‘คุณ’ แล้วรึ

ในตอนนั้น ท่าทีของเธอเปลี่ยนไป “อีกอย่าง ฉันรับปากอาจารย์หลินเยวียนไปแล้วว่าหลังจากนี้จะเป็นผู้ช่วยวาดการ์ตูนให้ ฉันจ่ายให้ภาพวาดนี้ไปมากนะคะ!”

ทุกคนต่างพูดไม่ออก

ใครแพ้ใครชนะ ไม่ต้องตัดสินแล้ว?

ประธานหลัวพูดออกมาว่า ‘อาจารย์หลินเยวียน’ ได้เต็มปากเต็มคำซะขนาดนี้

ข่งอันจ้องมองภาพกุ้งหกตัวด้วยความรู้สึกเสียดาย แต่ในเมื่อหลัวเวยพูดแบบนี้แล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปแย่งอยู่แล้ว ทำได้เพียงเอ่ยอย่างจนใจ “คุณโชคดีมาก ภาพวาดแผ่นนี้ อย่าลืมรักษาภาพนี้ให้ดีด้วยล่ะ”

“ศิษย์เข้าใจแล้ว”

หลัวเวยกลับไปมีท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวดังเดิม ถ้าไม่แย่งภาพวาดจากเธอ ก็นับว่าเป็นอาจารย์ที่ดี

อาจารย์คนอื่นๆ มองไปทางหลินเยวียนอย่างอดไม่ได้ “ถ่ายรูปได้ไหม”

“ได้ครับ”

หลินเยวียนไม่มีความเห็น

เขาสังเกตเห็นว่า ค่าความโด่งดังของตนกำลังพุ่งพรวดๆ

“แชะ”

“แชะ”

อาจารย์ทุกคนพากันถ่ายภาพ รวมไปถึงข่งอันด้วย แถมยังกดชัตเตอร์รัวไปหลายภาพ

“ภาพนี้ยังไม่ได้เซ็นชื่อ”

ข่งอันถ่ายรูปเสร็จ ก็มองไปทางหลินเยวียน “เซ็นชื่อหน่อยไหม”

หลินเยวียนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกครับ”

ภาพนี้จะขายให้หลัวเวย ก่อนที่เขาจะออกจากห้อง ได้เจรจากับหลัวเวยแล้ว ราคาที่หลัวเวยเสนอคือหนึ่งล้านหยวน

เมื่อเทียบกับคุณค่าของภาพนี้ เงินหนึ่งล้านหยวนเป็นแค่เม็ดทรายในห้วงมหาสมุทร

แต่หลินเยวียนรู้ว่า เพราะภาพนี้ตนเป็นคนวาด คุณค่าของมันจึงเปรียบกับภาพที่ฉีไป๋สือวาดเองไม่ได้

ถึงแม้ถ้าจะนับว่าฉีไป๋สือเป็นคนวาดภาพนี้เองก็คงได้

นอกจากนั้นแล้ว หลัวเวยยังรับปากว่าจะเป็นผู้ช่วยวาดการ์ตูนให้หลินเยวียนเป็นเวลาสามปี

หลินเยวียนครุ่นคิด ก่อนจะตอบตกลง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางนำภาพไปขายได้ราคาสูงลิบเช่นนี้อยู่แล้ว

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ

คุณวาดภาพ ‘ดอกทานตะวัน’ ของแวนโก๊ะ ต่อให้ถอดแบบออกมาจากแวนโก๊ะเลยก็ไร้ประโยชน์ ภาพนี้ถ้าไม่ใช่แวนโก๊ะวาดด้วยตัวเอง ก็ไม่มีทางแตะถึงคุณค่าที่แท้จริงของภาพได้หรอก

หลักการนี้หลินเยวียนเข้าใจดี

ต่อให้เป็นฉีไป๋สือเอง ในตอนแรกเริ่ม ภาพวาดของเขาก็ไม่ได้มีราคาเหมือนกัน

มูลค่าเริ่มเพิ่มสูงขึ้นมาก็หลังจากที่เขามีชื่อเสียง หลังจากที่เขาแก่ชรา หรือแม้แต่หลังจากที่เขาจากโลกนี้ไปแล้ว

“ภาพวาดนี้นำไปเข้าร่วมนิทรรศการได้นะ”

ข่งอันมองหลินเยวียน พลางเอ่ยแนะนำ

หลัวเวยรีบพูด “ฉันจะส่งไปนิทรรศการค่ะ”

หลินเยวียนพยักหน้า แบบนี้จะทำให้ความโด่งดังของเขาเพิ่มขึ้นด้วย ค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมของเขาน้อยกว่าด้านดนตรีและวรรณกรรมมาก

“แยกย้ายกันได้แล้ว”

ข่งอันโบกมือให้ทุกคน

นักศึกษาส่วนใหญ่ยังคงงุนงงสับสน นักศึกษาส่วนน้อยออกไปอย่างอ้อยอิ่ง พวกเขาถ่ายรูปไว้เหมือนกัน แต่ข่งอันไม่ยอมให้เข้าไปในห้อง ทุกคนจึงทำได้เพียงถ่ายรูปจากระยะไกล

คนที่รู้ ก็ล้วนเข้าใจเหตุผลที่ข่งอันไม่ให้พวกเขาเข้าไป

ภาพเขียนนี้ไม่มีมาตรการเก็บรักษา ถ้าคนเบียดกันเข้าไปมากเกิน และภาพได้รับความเสียหายขึ้นมาก็จะน่าเสียดายมาก

“ภาพวาดแบบนี้ คุณยังวาดได้อีกไหม”

ผู้คนแยกย้ายกันไปแล้ว ข่งอันจึงเอ่ยถามหลินเยวียน

หลินเยวียนพยักหน้า ตอบไปว่า “ภาพนี้เป็นภาพที่ผมวาดได้ดีที่สุด ทำแบบเดิมไม่ได้แล้วครับ”

ข่งอันกล่าวด้วยความเสียดาย “ผมอยากขอภาพจากคุณสักภาพ ถ้าในอนาคตวาดออกมา เก็บไว้ให้ผมสักภาพได้ไหม”

“จะพยายามครับ”

หลินเยวียนไม่มั่นใจว่าหลังจากนี้ตนจะได้การ์ดตัวละครที่คล้ายคลึงกันอีกหรือไม่

ข่งอันพยักหน้า

เขาไม่ได้สงสัยในคำพูดของหลินเยวียน

ภาพวาดชิ้นนี้อัศจรรย์เหลือเกิน หลินเยวียนวาดออกมาได้แค่ครั้งเดียวย่อมเป็นเรื่องธรรมดามาก ก็เหมือนกับการเขียนเพลงนั่นแหละ เมื่อใดที่มีแรงบันดาลใจ ก็ย่อมปลดปล่อยศักยภาพออกมาได้มากกว่าปกติ

แต่ต่อให้ปลดปล่อยศักยภาพออกมามากแค่ไหน เรื่องหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ

หลินเยวียนเป็นปรมาจารย์ด้านภาพวาดพู่กันโบราณ!

ความถนัดของเขา อันที่จริงไม่ใช่สีกวอช ไม่ใช่การสเก็ตช์ แต่เป็นแขนงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและมีผู้เรียนมากที่สุดบนบลูสตาร์

ภาพวาดพู่กันโบราณ!

เหลือเชื่อจริงๆ!

ฝีมือด้านสีกวอชและการสเก็ตช์ภาพของหลินเยวียน ไม่ใช่แขนงที่เขาชำนาญด้วยซ้ำไป…

“คุณจะต้องกลายเป็นปรมาจารย์ด้านจิตรกรรมในอนาคตอย่างแน่นอน”

นี่เป็นคำประเมินของข่งอัน อันที่จริงภาพวาดแผ่นนี้ของหลินเยวียนก็อยู่ในระดับปรมาจารย์แล้ว แต่ในวงการไม่มีการยอมรับว่านักศึกษาคนหนึ่งมีความสามารถระดับปรมาจารย์หรอก

เรื่องนี้ช่วยไม่ได้

แวดวงศิลปะของบลูสตาร์ดูความอาวุโสด้วย

เพียงแต่ นับตั้งแต่นี้ แวดวงศิลปะของบลูสตาร์ อย่างน้อยก็น่าจะมีพื้นที่สำหรับหลินเยวียนแล้ว เขา ข่งอันจะช่วงผลักดันหลินเยวียนเอง!

………………………………………………..

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

Status: Ongoing

‘เขา’ ทะลุมิติมายังจักรวาลคู่ขนานซึ่งมีชื่อว่า ‘บลูสตาร์’

ดินแดนซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะวัฒนธรรม ศาสตร์ทุกแขนงซึ่งเกี่ยวข้องกับศิลปะ

ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ดนตรี จิตรกรรม วรรณกรรม หรือการเขียนพู่กันก็ล้วนเฟื่องฟูอย่างยิ่ง

ร่างที่เขามาสิงอยู่คือ ‘หลินเยวียน’ นักศึกษาปีสองที่กำลังจะเดบิวต์

แต่โชคชะตากลับเล่นตลกให้หลินเยวียนป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ทำให้ร้องเพลงไม่ได้ และมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

ครอบครัวก็หมดเงินไปกับค่ารักษาจนอยู่ในภาวะการเงินขัดสน

เป็นเหตุให้หลินเยวียนตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นภาระของครอบครัวต่อไป

แต่ ‘เขา’ ไม่คิดจะปลิดชีพตัวเองเหมือนหลินเยวียน

ถึงแม้ร่างนี้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ก็ยังพอเหลือเวลาให้ทำอะไรอยู่บ้าง

และแม้จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองไม่ได้ ก็ยังพอจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของครอบครัวได้

เขาจะเขียนเพลง เขียนหนังสือ ถ่ายทอดความรู้ หารายได้ให้ครอบครัว!

ทันใดนั้น…

[กำลังตรวจเลือด…กำลังตรวจยีน…กำลังตรวจม่านตา…

ระดับความเข้ากันได้ร้อยละ 99.36…ตรงตามมาตรฐาน…

เลือกจากฐานข้อมูล…โลกในระบบสุริยจักรวาล…ระบบกำลังเชื่อมต่อ…]

[ดาวน์โหลดสำเร็จ เชื่อมต่อระบบศิลปะเสร็จสมบูรณ์!]

[สวัสดีโฮสต์ ยินดีสำหรับการเชื่อมต่อกับระบบศิลปะ

ระบบของเราจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านได้เป็นศิลปินของบลูสตาร์!]

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท