“ไม่เหนื่อยเหรอครับ”
อีอูยอนยื่นขวดเบียร์เย็นๆ ให้พลางเอ่ยถาม กรรมการผู้จัดการคิมยืนพิงราวระเบียบ ทอดสายตามองลงไปที่ทะเล เขารับเบียร์มาและถอนหายใจ
“เหนื่อย ฉันคิดว่าจะกลับแล้วล่ะ ถ้ามีเรื่องจะพูดก็รีบๆ พูด”
คำพูดของอีอูยอนที่บอกว่าเรียกมาเพราะอยากเจอนั้นเชื่อได้ยากกว่าคำพูดที่ว่าพอใช้ถั่วแดงต้มถั่วเน่าแล้วเอาไปปลูกก็งอกเป็นทองเสียอีก
“กรรมการผู้จัดการเนี่ยอ่านสถานการณ์ได้เร็วอย่างที่คิดเลยนะครับ”
อีอูยอนจิบเบียร์เข้าไปอึกหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ผมมีเรื่องจะรบกวนน่ะครับ”
“ไม่เอา ไม่ทำ”
กรรมการผู้จัดการคิมปฏิเสธคำขอร้องของอีอูยอนโดยไม่ฟังด้วยซ้ำว่าเขารบกวนเรื่องอะไร
“ทำเกินไปแล้วนะครับ”
“คนที่ทำเกินไปคือนายต่างหาก ไอ้เวรเอ๊ย”
“ฮ่าๆๆ”
กรรมการผู้จัดการคิมกล้าสาบานเลยว่านอกจากอีอูยอนแล้ว คงไม่มีใครที่จะหัวเราะเสียงใสขนาดนี้ได้แม้จะโดนด่า
“ช่วยจัดการวิลล่าที่ผมซื้อไว้คราวก่อนให้หน่อยครับ”
ไม่ว่ากรรมการผู้จัดการคิมจะปฏิเสธหรือไม่ อีอูยอนก็ไม่สนใจและแจ้งจุดประสงค์ของตัวเอง
“ว่าไงนะ ทำไมล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมรู้ว่าอีอูยอนทิ้งบ้านหลังนั้นเอาไว้ แม้จะคิดว่าเงินที่ได้รับจากอีอูยอนยังไม่พอ แต่ตนก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ถึงการมีอยู่ของบ้านหลังนั้น และปล่อยเอาไว้ เพราะคิดว่าถ้าวันหนึ่งเขากลับมาที่เกาหลี ก็คงจะไปอยู่ที่นั่น
“เพราะมีเรื่องที่ต้องจัดการนิดหน่อยน่ะครับ”
“ไม่เอา ฉันเป็นเลขานายเหรอ บ้าไปแล้วแหละถึงให้ช่วยจัดการเรื่องนั้นแทน เรามีความสัมพันธ์แบบนั้นเหรอ”
กรรมการผู้จัดการคิมทำหน้าเคร่งขรึมและมองอีอูยอนหัวจรดเท้า
“งั้นกรรมการผู้จัดการมาทำไมล่ะครับ”
“ว่าไงนะ”
“ก็ไม่น่าจะมาเพราะอยากเจอผม แต่น่าจะมาเพราะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง”
อีอูยอนแกว่งขวดเบียร์และหลุบตามองด้านล่างพร้อมกับพูดว่า “คือเรื่องอะไรล่ะ” กรรมการผู้จัดการคิมที่ถูกจับจุดได้กระแอมก่อนจะหันหน้าไป
“มีบทดีๆ เข้ามาเหรอครับ”
“…”
ไอ้คนสายตาไวเอ๊ย
กรรมการผู้จัดการคิมกัดฟันก่อนจะดื่มเบียร์เข้าไป
“ลองอ่านดูสิ ยังไงก็มีเวลาเยอะอยู่แล้ว”
“มีเยอะเลยล่ะครับ”
อีอูยอนพิงราวระเบียง ผมของเขายุ่งเล็กน้อยเพราะลมที่พัดมาจากทะเล กรรมการผู้จัดการคิมมองภาพที่อีกฝ่ายหยีตาเบาๆ และเสยผมขึ้นไปราวกับเป็นฉากหนึ่งในโฆษณาอย่างเหม่อลอย อีอูยอนมีพลังที่สามารถดึงดูดสายตาของผู้คนได้ในทันที และต่อให้นักแสดงเจ้าบทบาทขนาดไหนจะพยายามอย่างไร ก็ไม่สามารถมีสิ่งนั้นได้
“ตรงนี้วิวดีมากๆ เลยใช่ไหมครับ”
“อะไรนะ…เออ ดีมากเลย”
แม้จะมึนงงกับเรื่องวิวที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่มันก็ไม่ใช่คำพูดที่ผิด กรรมการผู้จัดการคิมจึงเห็นด้วยกับคำพูดนั้นอย่างลืมตัว
“ชอบมาดูทะเลจากตรงนี้น่ะครับ โดยเฉพาะตอนเย็นที่พระอาทิตย์ตก แม้จะเป็นวิวเดิมๆ แต่มองกี่รอบก็ไม่เคยเบื่อเลย”
การพูดถึงความรู้สึกอย่างที่ไม่สมกับเป็นอีอูยอนทำให้กรรมการผู้จัดการคิมคิดอย่างจริงจังว่าสเต๊กที่กินไปเมื่อเย็นเสียหรือเปล่า
“แล้วก็ชอบเดินเล่นที่ชายหาดด้วย ถึงจะไม่ได้ว่ายน้ำ แต่ก็นั่งอยู่ที่หาดทรายและมองคนเดินไปมา ในวันที่ฝนตกก็จะนั่งอยู่ที่โซฟา และอ่านหนังสือไปพร้อมๆ กับฟังเสียงฝนอยู่หลายชั่วโมง”
ราวกับว่าภาพนั้นเกิดขึ้นตรงหน้า รอยยิ้มคลออยู่ในดวงตาของอีอูยอน ตอนนั้นเองกรรมการผู้จัดการคิมถึงได้รู้ว่าประธานในประโยคทั้งหมดที่พูดมาถึงตอนนี้ไม่ใช่อีอูยอน
“เพราะฉะนั้นผมคงไปไหนไม่ได้ไปสักพักแหละครับ”
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถเชื่อได้ต่อให้ได้เห็นกับตาได้ยินกับหูก็ตาม อีอูยอนคนนั้นที่คิดว่าเป็นคนเลวที่สุดในโลกเป็นคนรักที่ประเสริฐถึงขนาดนี้เลยเหรอ
“คิดดีๆ ล่ะ การถูกลืมในวงการนี้น่ะเกิดขึ้นได้ชั่วพริบตานะ ถ้าไม่ได้เห็น ความสนใจของประชาชนจะจางหายไปเร็วกว่าที่คิดซะอีก”
อีอูยอนพูดว่า “อย่างนั้นเหรอครับ” ก่อนจะยิ้ม
“ถ้าอยากจะอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ต้องใช้เงินเยอะไม่ใช่เหรอ”
พอได้ยินคำขอร้องที่ให้ช่วยจัดการบ้านหลังสุดท้ายที่เหลืออยู่ที่เกาหลีแล้ว ไม่รู้ทำไมเขาถึงคิดว่าอีอูยอนอาจจะทุ่มทุกอย่างที่ตัวเองมีให้อินซอบก็ได้
“ทิ้งอินซอบไว้ที่นี่ แล้วนายก็กลับไปกลับมามีผลงานบ้างเป็นครั้งคราวก็…”
“กรรมการผู้จัดการครับ”
เสียงของอีอูยอนถูกกดให้ต่ำลง
“คุณอินซอบจะไปที่บ้านพ่อแม่สองถึงสามสัปดาห์ครั้ง และนอนค้างอยู่ประมาณวันสองวันครับ”
จากที่นี่ไปจนถึงบ้านของอินซอบใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ไม่ถึงสองชั่วโมง เขาจงใจซื้อบ้านที่อยู่ในระยะทางที่ไม่ไกลและไม่ใกล้กับบ้านพ่อแม่ของอินซอบจนเกินไป
“เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนั้นผมจะไม่สามารถนอนหลับลงได้เลยแม้แต่นิดเดียว”
“…”
“ตอนนี้ถ้าไม่มีเขาผมอยู่ไม่ได้จริงๆ ครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมไม่รู้เลยว่าความจริงเริ่มต้นและสิ้นสุดลงตรงไหน เขาจึงไม่สามารถชี้นิ้วสั่งได้
“…ก็ได้ เรื่องนั้นทำตามที่นายต้องการเลย ว่าแต่ทำไมถึงขอให้ฉันช่วยขายบ้านล่ะ เห็นฉันเป็นคนเอาเปรียบได้ง่ายเหรอ”
เขาหลุดพูดคำพูดที่เหมือนกับบ่นพึมพำออกมา เพราะถึงอย่างไรการที่อีอูยอนจัดการเรื่องราวแบบนั้น และไปอเมริการในชั่วพริบตาก็ทำให้กรรมการผู้จัดการคิมเจ็บช้ำมาก
“ไม่มีทางครับ ผมไม่คิดจะเอาเปรียบกรรมการผู้จัดการเลยสักครั้ง”
น้ำเสียงของอีอูยอนที่พูดแบบนั้นนุ่มนวลอย่างมาก กรรมการผู้จัดการคิมรู้สึกซึ้งใจอยู่บ้าง
นายเองก็เปลี่ยนได้เหมือนกันสินะ ว่ากันว่าถ้ามีความรัก เราก็จะกลายเป็นคนที่ดีขึ้น…
“ผมเรียกมาเพื่อที่จะทำให้ลำบาก เพราะผมโคตรจะหงุดหงิดกรรมการผู้จัดการเลยครับ”
“ใช่แล้ว หงุดหงะ…อะไรนะ”
“ก็เป็นความคิดของกรรมการผู้จัดการนี่ครับที่ให้ผมไปยุ่งเกี่ยวกับแชยอนซอ แม่งเอ๊ย คงไม่ได้ลืมหรอกใช่ไหมครับ”
“…”
“ช่างหัวเรื่องภาพลักษณ์อะไรนั่นไปก่อน แต่ผมไม่สามารถปล่อยเรื่องที่ชเวอินซอบเครียด และเกือบจะเลิกกับผมเพราะเรื่องนั้นไปเฉยๆ ได้เด็ดขาดครับ”
ขวดเบียร์ที่อยู่ในมืออีอูยอนถูกตีกับราวกั้นเบาๆ กรรมการผู้จัดการคิมเหลือบมองด้านล่าง
ถ้าตกลงไปที่พื้น จะรอดหรือเปล่านะ
“ถ้าตกลงไปตรงนี้ก็ตายครับ ต่อให้รอดก็จะกลายเป็นคนพิการ อยู่ไปจะทำอะไรได้ล่ะครับ”
อีอูยอนพูดแบบนั้นราวกับอ่านความคิดของกรรมการผู้จัดการคิมออก และฉีกยิ้มที่อ่อนโยนราวกับดอกไม้
…ไม่มีทางที่คนเราจะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ จริงๆ
กรรมการผู้จัดการคิมดื่มเบียร์ที่เหลืออยู่เข้าไปรวดเดียว แต่ต่อให้ดื่มเบียร์เย็นๆ เข้าไปแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกร้อนอยู่ดี
***
“สองคนนั้นคุยอะไรกันเหรอครับ”
อินซอบกะพริบตามองกรรมการผู้จัดการคิมและอีอูยอนที่ยืนอยู่ตรงระเบียงก่อนจะเอ่ยถาม เขาเห็นอีอูยอนหัวเราะ
“เหมือนจะโดนกรรมการผู้จัดการด่าน่ะ”
การคาดเดาที่มีความเป็นไปได้สูงของหัวหน้าทีมชาทำให้อินซอบมองออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“อย่าห่วงเลย หมอนั่นไม่ใช่คนที่จะสนใจคำด่าหรอก”
“…แต่”
อินซอบพึมพำขมขื่น
ตอนที่อีอูยอนบอกว่าจะมาอยู่ที่อเมริกาสักพัก อินซอบก็เดาไว้ว่าอย่างมากที่สุดก็คงจะประมาณหนึ่งเดือน อีกฝ่ายอาจจะต้องการเวลาพักประมาณนั้น เพราะมีข่าวลือที่หลุดออกมา เพราะแชยอนซอด้วย
แต่อีอูยอนกลับจัดการสัญญาทั้งหมดที่ผูกมัดตัวเองไว้ และเลือกที่จะเดินทางมาอเมริกา พอได้ฟังความจริงนั้นทีหลัง อินซอบก็ทำตัวไม่ถูกด้วยความรู้สึกผิด เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วที่อีกฝ่ายต้องจ่ายค่าปรับเพราะผิดสัญญาจำนวนมหาศาล พอเขาเป็นแบบนั้น อีอูยอนขอให้รับผิดชอบตัวเองต่อในอนาคต อินซอบพยักหน้าและตอบตกลง ดังนั้นอินซอบจึงเริ่มงานแปลวิทยานิพนธ์จากการช่วยเหลือของอาจารย์ที่รู้จักที่เกาหลี แม้จะได้เงินไม่มาก แต่คนทั้งคู่ก็ไม่ขาดอะไรในการใช้ชีวิต
“ผมเป็นห่วงเพราะเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นจะแย่ลงน่ะครับ”
“…ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นก็ได้ เพราะไม่เคยดีหรอก”
หัวหน้าทีมชาปลอบความรู้สึกวิตกกังวลไปล่วงหน้าของอินซอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“คือว่าพรุ่งนี้มีแพลนพิเศษอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่ ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไรหรอก ทำไมเหรอ”
“ไปแถวๆ นี้…”
ก่อนที่อินซอบจะพูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงร้อง เหมียว เล็กๆ จากตรงเท้า หัวหน้าทีมชาทำตาโต
“เจ้านี่โผล่มาจากไหนเนี่ย เลี้ยงแมวไว้เหรอ”
“ครับ”
อินซอบยิ้มก่อนจะลูบหัวแมวที่พันแข้งพันขาของตัวเอง
“แล้วไปซ่อนอยู่ที่ไหนล่ะ ถึงได้ออกมาตอนนี้”
“เขาขี้กลัวน่ะครับ แต่ก่อนก็ไม่ได้เป็นแบบนี้นะ”
จอห์นที่มักจะหงายพุงให้เพราะชอบใจกับการได้เจอผู้คนกลับกลายเป็นระวังตัวมากขึ้นเพราะเหตุการณ์ในตอนนั้น อินซอบจึงกังวลใจมาเสมอ เขาเห็นมันติดครอบครัวของยุนอารึมมากจึงไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้น แต่พอเขาเอากลับมาที่บ้าน มันก็จะยุ่งอยู่กับการซ่อนตัวในตอนที่เห็นคน โดยเฉพาะตอนที่อีอูยอนอยู่ข้างๆ มันจะไม่เข้ามาหาเลยตั้งแต่แรก
“จอห์นทักทายเร็ว นี่หัวหน้าทีมนะ”
อินซอบอุ้มแมวขึ้นมา และแนะนำให้หัวหน้าทีมชารู้จัก
“น่ารักจัง!”
หัวใจถูกวาดขึ้นในดวงตาของหัวหน้าทีมชา เขาซึ่งเป็นคนรักสัตว์ยื่นมือออกไปเพื่อจะกอดแมว พอเขาทำแบบนั้น จอห์นก็ร้องขู่ และดิ้นไปมา
“ไม่เป็นไร จอห์น เขาเป็นคนดี…”
แมวที่ดิ้นไปมานั้นหลุดออกจากมือของอินซอบและลอยไปตกลงบนโต๊ะ แถมยังเป็นทิศทางที่วางแจกันดอกไม้เอาไว้จากพื้นที่ทั้งหมดด้วย แจกันดอกไม้ตกลงมาพร้อมกับเสียงดัง เพล้ง
“จอห์น!”
“ไม่นะ!”
อินซอบกับหัวหน้าทีมชายื่นมือออกไปคว้าแมวไว้พร้อมกัน เจ้าแมวซึ่งถูกหัวหน้าทีมชาจับไว้ได้อย่างหวุดหวิดตกใจและทำหางฟู
“เฮ้อ นึกว่าจะบาดเจ็บซะแล้ว”
หัวหน้าทีมชาคืนแมวให้อินซอบ อินซอบกอดแมวไว้และเริ่มปลอบ
“ไม่เป็นไร จอห์น ไม่เป็นไร”
“ทำแบบนี้ถ้าบาดเจ็บไป…เฮือก คุณอินซอบ!”
หัวหน้าทีมชาชี้ไปที่เท้าของอินซอบด้วยความตกใจ สลิปเปอร์ของอินซอบกลายเป็นสีแดง ดูเหมือนเศษแก้วจะบาดตอนที่แจกันดอกไม้หล่นลงมาข้างๆ เท้าของอินซอบ เมื่อคนสองคนที่อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงดังก็วิ่งเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น อะไรแตก”
“เอ่อ คือ…”
หัวหน้าทีมชาทำตัวไม่ถูก และก้มมองเท้าของอินซอบ อีอูยอนเดินเข้ามาหา
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้บาดเจ็บเยอะ…”
อีอูยอนหยิบแมวที่อยู่ในอ้อมกอดจอวอินซอบมาส่งให้หัวหน้าทีมชาราวกับเป็นสิ่งของ ก่อนจะอุ้มอินซอบขึ้นไปนั่งบนโต๊ะกินข้าวแบบไอส์แลนด์ แล้วถอดสลิปเปอร์ออก จากนั้นก็เริ่มตรวจดูแผล
“ไม่ได้บาดเจ็บเยอะหรอกครับ แค่โดนครูดเล็กน้อยเอง”
อินซอบพยายามจะอธิบาย แต่อีอูยอนก็ไม่แม้แต่จะทำเป็นได้ยิน พอตรวจดูเท้าที่มีเลือดไหลอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ยื่นมือออกมา
“ช่วยเอาผ้าขนหนูมาให้หน่อยครับ”
“ผ้าขนหนูเหรอ เข้าใจแล้ว”
กรรมการผู้จัดการคิมวิ่งไปที่ห้องน้ำ และเอาผ้าขนหนูมาให้ อีอูยอนใช้ผ้าขนหนูพันเท้าของอินซอบ และอุ้มเขาไว้
“ไปโรงพยายาลกันครับ”
“ไม่ต้องหรอกครับ แค่เอาปลาสเตอร์ติดแผลปิดก็พอครับ”
อีอูยอนเงยหน้ามองอินซอบโดยไม่พูดอะไร พอสบตากัน อินซอบก็พยักหน้าเงียบๆ
“ผมจะไปโรงพยาบาลนะครับ ส่วนพวกคุณก็เข้านอนได้เลย เพราะผมไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน ไม่ต้องเก็บของที่แตกก็ได้นะครับ”
อีอูยอนเอากุญแจรถใส่กระเป๋า ก่อนจะพูดกับอินซอบ
“กอดคอผมไว้ครับ”
“ครับ? คือ…”
อินซอบมองคนทั้งสองคน และขมวดคิ้วราวกับลำบากใจ
“คุณสัญญาแล้วนี่ครับ”
น้ำเสียงเด็ดขาดของอีอูยอนทำให้อินซอบกอดคอของเขาไว้ในสภาพที่ก้มหน้าลงอย่างทำอะไรไม่ได้ แล้วอีอูยอนก็อุ้มอินซอบจากไป
คนทั้งสองที่ถูกทิ้งเอาไว้มองไปประตูที่ถูกปิดลงสักพักด้วยสีหน้าสีหน้ามึนงง
“…กรรมการผู้จัดการเห็นสีหน้าของอีอูยอนเมื่อกี้ไหมครับ”
“เออ”
“ผมนึกว่านิสัยแบบนั้นจะตายไปแล้ว แต่ก็ยังอยู่นะครับ นี่ เมื่อกี้แกเกือบตายแล้วนะ”
หัวหน้าทีมชาลูบหลังของแมวที่ตัวสั่นเทาทั้งๆ ที่ยังทำหางฟูอยู่ก่อนจะพูดต่อ
“ว่าแต่หมอนั่นดื่มเหล้าไปนะ จะขับรถได้เหรอครับ”
“สร่างแล้วล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมเห็นอีอูยอนที่สำรวจบาดแผลของอินซอบ แม้ท่าทางจะดูใจเย็น แต่กลับหน้าซีดกว่าคนที่บาดเจ็บ มือก็สั่นเทา
“ไม่ต้องเก็บก็ได้จริงเหรอ”
หัวหน้าทีมชามองเศษแก้วที่หล่นอยู่บนพื้นก่อนจะขมวดคิ้ว
“ต้องเก็บสิ ถ้าแมวน้อยนั่นเหยียบจะทำยังไงล่ะ”
หัวหน้าทีมชาวางแมวลง และพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า “ใช่ไหมล่ะครับ” ผู้ชายสองคนนั่งยองๆ และเริ่มเก็บเศษแก้วทีละชิ้น
แล้วจนดึกอีอูยอนก็ไม่กลับมา