เฉินตันจูมองร่างภายใต้แสงแดด สีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นดุจดั่งมีแสงส่องเข้าที่ดวงตา ทันใดนั้นดวงตาของนางแดงก่ำ ปากเบะออก…
“ท่านแม่ทัพ…” นางวิ่งมาทางรถม้าที่เคลื่อนมา ร้องไห้เสียงดัง “พวกเขากำลังจะตีข้า…”
มือของชายหนุ่มจับรอยบวมที่เจ็บขึ้นเรื่อยๆ ผงะเล็กน้อย ผู้ใดจะตีผู้ใด
เมื่อรถทั้งสองคันชนกัน โจวเสวียนรีบวิ่งจากภูเขาลงมาทางด้านนี้ เมื่อเขาได้ยินเสียงตะโกนนั้น เห็นรถที่ล้อมรอบด้วยทหาร เขาก็หยุดชะงักอยู่นอกฝูงชน
โจวเสวียนหรี่ตามองคนบนรถม้าด้านหน้าท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่อง ก่อนจะมองหญิงสาวที่ร้องไห้วิ่งไปทางรถม้า เขาเลิกคิ้วขึ้น ที่แท้เฉินตันจูก็ร้องไห้เป็น?
นับแต่รู้จักนางมา เขาไม่เคยเห็นเฉินตันจูร้องไห้
ครั้งแรกที่พบกัน นางท้าทายยั่วยุจากนั้นตีเหล่าคุณหนูนั้นอย่างไร้เหตุผล จากนั้นเป็นงานเลี้ยงตระกูลฉาง เผชิญหน้าต่อการท้าทายของตนเอง นางยั่วยุองค์หญิงจินเหยาอย่างไม่รีบร้อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่เขาบังคับให้นางขายจวน นางไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว อีกทั้งยังสาปแช่งให้เขาตายเร็วด้วยรอยยิ้ม…
จากนั้นขับไล่คุณชายเหวิน พังกั๋วจื่อเจี้ยน มีเรื่องใดที่ไม่ก้าวร้าวและหยิ่งทะนง
แม้แต่ต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ นางยังกล้าก้มหน้าชี้แนะเรื่องของบ้านเมือง ต่อว่าฮ่องเต้สิ่งนี้ผิดสิ่งนั้นผิด
การร้องไห้ย่อมต้องหลั่งน้ำตา แต่น้ำตาที่หลั่งลงมาเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่แสร้งทำ อีกทั้งยังดุร้าย ไม่เหมือนเวลานี้ โจวเสวียนมองหญิงสาวที่วิ่งไปทางรถม้า ร้องไห้อย่างไร้ซึ่งภาพลักษณ์ วิ่งไปด้วยความทุลักทุเล ราวกับเขื่อนที่มีบาดแผล แตกออกเป็นช่องโหว่ภายใต้แรงกระแทกที่ต่อเนื่อง จากนั้นหลั่งไหลความไม่เป็นธรรมทั้งหมดออกมา…
นางแสร้งทำ หรือเป็นเรื่องจริง?
ไม่ว่าจริงหรือเท็จ เหตุใดนางไม่กระทำเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น กระทำเพียงต่อหน้าแม่ทัพหน้ากากเหล็ก?
โจวเสวียนไม่ได้ก้าวต่อไป เขาถอยหลังซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน
เฉินตันจูพลางตะโกนพลางร้องไห้วิ่งไปทางนั้น คนอื่นต่างดึงสติกลับมาได้ จู๋หลินเกือบจะติดตามวิ่งไปทางท่านแม่ทัพเช่นเดียวกัน แต่โชคดีที่เขายังจำหน้าที่องครักษ์ของตนเองได้ เขาหันหลังให้ทางนั้น สายตาจับจ้องไปยังคนของอีกฝ่ายไม่กะพริบ เพียงแต่มือที่กอบกุมอาวุธของเขาสั่นเทาเล็กน้อย แสดงออกถึงความดีใจของเขา
ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว ท่านแม่ทัพ…
ความโกลาหลที่กำลังจะปะทุหยุดลงด้วยเสียงตะโกน หัวใจของหลี่จวิ้นโส่วก็สงบลงในที่สุด เขามองไปยังขบวนรถทางนั้น หลังจากที่ดวงตาปรับแสงได้แล้ว เขาก็มองเห็นใบหน้าที่สวมใส่หน้ากากเหล็ก
“แม่ทัพหน้ากากเหล็ก!” เขาตะโกนด้วยความตกใจ เขารู้ว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กจะกลับมาในไม่ช้านี้พร้อมของบรรณาการจากท่านอ๋องฉี แต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วเพียงนี้
หลังจากดีใจผ่านไปแล้ว เขาก็รู้สึกกังวล แม่ทัพหน้ากากเหล็กนิสัยโหดเหี้ยม ควบคุมกองทัพอย่างเข้มงวด เผชิญเรื่องเช่นนี้บนเส้นทางกลับเมืองหลวงของเขา จะโกรธหรือไม่
อีกทั้งยังมีเฉินตันจูไปร้องทุกข์ก่อนอีก
องครักษ์ข้างกายของเฉินตันจูเป็นคนของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ราวกับเดิมทีแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ต้องการปกป้องเฉินตันจูอย่างมาก หรืออาจพูดได้ว่าหลอกใช้เฉินตันจู…เพราะเมืองอู๋แตกอย่างไร ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ
เฉินตันจูจึงเหิมเกริมด้วยเหตุนี้ อ้างแม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นที่พึ่งของตน อีกทั้งยังไร้ความเกรงกลัวแม้แต่อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้
แต่เวลานี้แตกต่างกัน เฉินตันจูทำให้ฮ่องเต้โกรธ ฮ่องเต้ออกพระราชโองการขับไล่นาง แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่มีทางปกป้องนางอีก! ไม่แน่ว่าอาจจะลงโทษนางมากขึ้น
หญิงสาวที่ทำให้คนปวดหัวคนนี้ หลี่จวิ้นโส่ววิ่งไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตะโกนเรียกเสียงดัง “ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพฟังข้าก่อน”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเพียงแค่ตะโกนคำนั้น ก่อนจะไม่พูดสิ่งใดอีก เขานั่งนิ่งไม่ขยับ หน้ากากเหล็กปิดบังใบหน้า ทำให้ไม่มีผู้ใดเห็นสีหน้าของเขา
จนกระทั่งเฉินตันจูที่ร้องไห้เดินทางเข้าใกล้อย่างไร้อุปสรรค ร่างของเขาโน้มมาข้างหน้าเล็กน้อย มองไปยังนาง เสียงชราถามขึ้น “เกิดอันใดขึ้น เหตุใดจึงร้องไห้อีกแล้ว”
ไม่รู้เป็นเพราะคำว่าอีกแล้วหรือไม่ ทำให้เสียงร้องไห้ของเฉินตันจูยิ่งดังขึ้น “พวกเขาจะตีข้า ท่านแม่ทัพ ช่วยข้าด้วย”
นางเอื้อมมือจับรถเอาไว้ ร่างกายบอบบางของนางสั่นไหว ราวกับถูกตีจนไม่สามารถยืนได้ ทำให้ผู้พบเห็นเจ็บปวดใจ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กถาม “ผู้ใดจะตีเจ้า”
เวลานี้หลี่จวิ้นโส่วเดินเข้ามา แต่ถูกทหารที่สวมชุดเกราะด้านหน้ารถรั้งเอาไว้ เขาทำได้เพียงเขย่งเท้าโบกมือ “ท่านแม่ทัพ ข้าเป็นคนของที่ว่าการ ขอให้ข้าได้อธิบายเรื่องนี้แก่ท่าน”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กราวกับมองไม่เห็นไม่ได้ยิน เพียงแค่มองเฉินตันจู
เฉินตันจูจับรถ หลั่งน้ำตาชี้นิ้วไปทางนั้น “คนผู้นั้น…ข้าไม่รู้จักเขา ข้าไม่รู้ว่าเขาคือผู้ใด”
ในเวลานี้คนผู้นั้นตั้งสติกลับมาได้ เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักแม่ทัพหน้ากากเหล็ก แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่เกรงกลัวมากนัก เขาเดินขึ้นหน้ามา…แน่นอน เขาถูกทหารรั้งเอาไว้ เมื่อได้ยินคำใส่ร้ายของเฉินตันจู จึงตะโกนขึ้นทันที “ท่านแม่ทัพ ข้าเป็นคนของตระกูลหนิวในเมืองซีจิง ท่านปู่ของข้ากับท่านแม่ทัพ…”
เขายังพูดไม่ทันจบ แม่ทัพหน้ากากเหล็กโบกมือ “ลงมือ”
ทันทีที่สิ้นเสียงคำสั่ง ทหารหลายนายเดินออกมา ทหารที่ยืนแถวหน้าสะดวกที่สุด เขาใช้ศอกกระแทกคุณชายที่รายงานตัวอยู่ด้านหน้าให้ล้มลง คุณชายผู้นั้นไม่ทันตั้งตัว สัมผัสได้เพียงความวิงเวียน ข้างหูเต็มไปด้วยเสียงโอดครวญ ในระหว่างความวิงเวียนนั้นเห็นคนที่ตนเองพามายี่สิบสามสิบคน นอกจากคนที่ถูกชนจนล้มก่อนหน้านี้แล้ว คนที่เหลือล้วนถูกตีจนล้มลงบนพื้น…
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเพียงแค่บอกว่าตี แต่ไม่ได้บอกว่าให้ตีจนตายหรือตีให้บาดเจ็บ ดังนั้นเหล่าทหารจึงควบคุมขอบเขตเอาไว้ ตีจนคนลุกขึ้นมาไม่ได้เท่านั้น
จู๋หลินและองครักษ์คนอื่นก็อยู่ในนั้น ถึงแม้พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหาร แต่พวกเขาก็ไม่อาจเสียหน้าต่อหน้าท่านแม่ทัพได้ ลงมืออย่างขยันขันแข็ง หนึ่งคนรับมือสิบคน…
เรื่องทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ราษฎรที่มุงดูยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็เห็น เฉินตันจูชี้นิ้วอยู่ด้านหน้ารถของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก แม่ทัพหน้ากากเหล็กโบกมือ เหล่าทหารก็พุ่งตัวเข้ามาดุจดั่งเสือ เพียงชั่วพริบตาคนยี่สิบคนถูกตีจนล้มลงไปกับพื้น
คนบนพื้นนอนขดตัวโอดครวญ ราษฎรรอบด้านตกตะลึงจนไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย
หลี่จวิ้นโส่วก็ผงะไป ทันใดนั้นไม่รู้ว่าต้องพูดสิ่งใด
“ท่านแม่ทัพ…” คุณชายที่นอนอยู่บนพื้น อดทนต่อความเจ็บปวด ยังมีสิ่งที่ต้องการพูด “ท่าน อย่าหลงเชื่อเฉินตันจู…นางถูกฝ่าบาทขับไล่ออกจากเมืองหลวง รถม้าของนางชนเข้ากับรถม้าของข้า นางจะตีข้า…”
หลี่จวิ้นโส่วคิดในใจ คุณชายหนิวผู้นี้มีการเตรียมการมาก่อน ถึงแม้จะถูกตีอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ยังคงสามารถเตือนแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เวลานี้เฉินตันจูเป็นผู้มีโทษที่ฝ่าบาทตัดสิน แม่ทัพหน้ากากเหล็กต้องครุ่นคิดการกระทำเสียเล็กน้อย
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองไปยังเฉินตันจู เอ่ยถาม “รถชนด้วยหรือ?”
เฉินตันจูชี้ไปทางนั้น น้ำตาหลั่งไหลลงมา “ใช่ ชนรถข้าพังไปหนึ่งคัน ข้าวของกระจัดกระจาย”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กสั่งการต่อรองแม่ทัพข้างตัว “ทุบรถทิ้ง”
รองแม่ทัพสั่งการลงไปยังเหล่าทหาร ทันใดนั้นเหล่าทหารหยิบดาบยาวออกมาทุบตีรถของคุณชายหนิวจนพังทลาย
แต่ละทีแต่ละเสียงล้วนกระทบลงบนหัวใจของคนที่มุงดูอยู่รอบด้าน ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงออกมา ผู้ติดตามที่ถูกตีจนนอนอยู่บนพื้นก็เงียบปาก อดทนเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ไม่กล้าโอดครวญ เกรงว่าครู่ต่อมา อาวุธเหล่านั้นจะกระทบลงบนตัวของพวกเขา…
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ คุณชายหนิวรู้ว่าเรื่องในวันนี้เกินคาดจากก่อนหน้านี้อย่างมาก แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ใช่คนที่เขาสามารถรับมือได้ ดังนั้นจึงเป็นลมไป
สายตาของแม่ทัพหน้ากากเหล็กมองไปยังหลี่จวิ้นโส่ว เอ่ยถาม “เจ้าเป็นคนของที่ว่าการ?”
หลี่จวิ้นโส่วตอบรับด้วยสีหน้าซับซ้อน ไม่กล้าพูดสิ่งใดมาก มองเฉินตันจูที่ยืนพิงอยู่หน้ารถ หญิงสาวยังคงสวมผ้าคลุมสีแดงสด แต่งกายงดงาม แต่เวลานี้ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนแอ น้ำตานองหน้า น่าสงสารอย่างยิ่ง…ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกตา หลี่จวิ้นโส่วนึกขึ้นได้ ก่อนหน้านี้ เฉินตันจูมาร้องทุกข์ด้วยวิธีนี้ จากนั้นส่ง
หยางจิ้งเข้าคุกไป
เวลานั้นเขาก็รู้แล้วว่าเฉินตันจูอ้างแม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นที่พึ่ง แต่แม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นเพียงชื่อ และองครักษ์อีกไม่กี่คนเท่านั้น เวลานี้ วันนี้ ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เห็นกับตาแล้วว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นที่พึ่งของนางอย่างไร
“ท่านแม่ทัพ เรื่องนี้เป็นเช่นนี้…” เขาต้องการเล่าเรื่องออกมา
แต่แม่ทัพหน้ากากเหล็กห้ามเอาไว้ “ข้าไม่ได้ถามเรื่องนี้ เจ้าเป็นคนของที่ว่าการ คนผู้นี้…” เขาชี้ไปยังคุณชายหนิวที่แสร้งสลบไปอยู่บนพื้น “เจ้าพาไปลงโทษ หรือจะให้ข้าพาไปลงโทษตามกฎทหาร”
ลงโทษตามกฎทหาร? คุณชายหนิวไม่ใช่ทหาร หากถูกลงโทษตามกฎทหารคงมีแต่โทษขัดขวางการทำงานของทหาร หรือยิ่งร้ายแรงไปกว่านั้นอาจจะเป็นไส้ศึก หากไม่ตายก็คงต้องหนังถลอกไปหนึ่งชั้น ครานี้เขาคงเป็นลมสลบไปอย่างแท้จริง
โหดร้ายยิ่งนัก…เขาลงโทษเองเสียดีกว่า อย่างไรก็ไม่ใช่ครั้งแรก หลี่จวิ้นโส่วรีบพูด “ข้าจะลงโทษเอง ขอให้ท่านแม่ทัพวางใจ ข้าจะลงโทษอย่างหนัก”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ได้พูดสิ่งใดอีก เขามองลงไปที่หญิงสาวที่ซุกหน้าอยู่ที่รถ เอ่ยถาม “เจ้าต้องการไปซีจิงหรือ”
เฉินตันจูเงยหน้า น้ำตาหลั่งไหลลงมาดุจหยาดฝน ส่ายหัว “ไม่อยากไป”
อาเถียนที่ยืนอยู่ไม่ไกลน้ำตาหลั่งไหลลงมาในเวลานี้…ก่อนหน้านี้คุณหนูออกคำสั่งตีคน จนกระทั่งหลั่งน้ำตา การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นางยังไม่ทันได้ตอบสนอง
ที่แท้ คุณหนูไม่อยากไป นางยังคิดว่าคุณหนูดีใจอย่างมาก อย่างไรเสียนางจะได้พบกับคนในตระกูล คุณหนูยังพูดกับคุณหนูหลิวเวยและคุณหนูหลี่เหลียนว่าตนเองสามารถเหิมเกริมในเมืองซีจิงได้ คุณหนู…
จนกระทั่งพบท่านแม่ทัพ คุณหนูจึงพูดความจริงหรือ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพยักหน้า “เช่นนั้นก็ไม่ต้องไป” เขายกมือ “กลับไปเถิด”