แม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินทางมาถึงเมืองหลวงด้วยความเงียบอย่างกะทันหัน ทำให้เมืองหลวงสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที
เมื่อเขาเดินทางไปถึงพระราชวัง คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้ว่าเขาเดินทางมาถึงแล้ว พร้อมกับกองทัพของเขา ส่งคนที่ถูกตีเกือบตายสามสิบคนเข้าคุกหลวง ก่อนจะส่งเฉินตันจูที่ถูกฮ่องเต้ขับไล่กลับไปยังภูเขาดอกท้อ…
ฮ่องเต้อยากแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เหล่าขุนนางต่างหลั่งไหลมา หนึ่งเพราะตกตะลึงในบารมีของแม่ทัพหน้ากากเหล็กจึงต้องการมาต้อนรับ สองเพราะสงสัยต่อการกระทำอันยิ่งใหญ่ของแม่ทัพหน้ากากเหล็กตั้งแต่เข้าเมืองมา
โจวเสวียนไม่ได้อยู่ในนั้น เขาไม่เกรงกลัวต่อบารมีของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก อีกทั้งยังไม่ประหลาดใจในการกระทำของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เขานั่งอยู่บนกำแพงของอารามดอกท้อ มองดูร่างของเฉินตันจูที่วุ่นอยู่ในลาน สั่งให้สาวรับใช้เก็บสัมภาระเข้าที่ ชิ้นนี้ต้องวางเช่นนี้ ชิ้นนั้นต้องวางเช่นนั้น วุ่นวายกับการกำชับไม่หยุด…
โจวเสวียนส่งเสียงหัวเราะออกมา
ตอนที่กำลังจะจากไป เขาไม่เคยเห็นหญิงสาวสนใจสิ่งของเหล่านี้มากมาย ถึงแม้ไม่นำสิ่งใดไปด้วยเลย นางก็ไม่สนใจ เห็นได้ชัดว่าจิตใจเหม่อลอยจนไม่สนใจสิ่งของนอกกาย แต่การกระทำในเวลานี้ แม้แต่แท่นฝนหมึกวางที่ใดยังต้องถาม แสดงออกถึงจิตใจที่ปล่อยวางลงหลังจากมีที่พึ่ง…
เฉินตันจูเงยหน้ามองเขาท่ามกลางความยุ่งเหยิง “ท่านหัวเราะมาหลายร้อยเสียงแล้ว พอได้แล้ว ข้ารู้ ว่าท่านมาดูความอับอายของข้า แต่ไม่ได้เห็น จึงไม่พอใจ…”
เฉินตันจูพูดพลางหัวเราะร่า
โจวเสวียนมองหญิงสาวที่ยืนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ในลาน ไตร่ตรองและพินิจ เอ่ยถาม “เหตุใดท่านจึงเป็นเช่นนั้นต่อหน้าแม่ทัพหน้ากากเหล็ก”
เฉินตันจูจ้องเขม็ง “เป็นอย่างไร” ก่อนที่จะนึกบางอย่างขึ้นได้ นางหัวเราะออกมา “อาศัยอำนาจรังแกคนหรือ ท่านโหวโจวถามได้น่าขันเสียจริง ท่านรู้จักข้ามาเป็นเวลานาน ข้าไม่ได้อาศัยอำนาจรังแกคน กระทำตัวเหิมเกริมเสมอมาหรือ”
โจวเสวียนลูบคาง “ใช่ ท่านเป็นเช่นนั้นเสมอมา แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ตอนที่แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่อยู่ ท่านไม่เคยร้องไห้เหมือนครั้งนี้ ท่านมักแสร้งทำตัวดุร้าย แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ท่านแสร้งทำเป็นไม่ได้รับความเป็นธรรม”
เฉินตันจูโกรธขึ้นมาทันที ยืนกรานที่จะไม่ยอมรับ “อะไรคือแสร้งทำ ข้ารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ” พูดพลางหัวเราะ “เหตุใดตอนที่ท่านแม่ทัพไม่อยู่จึงไม่ร้องไห้ ท่านโหวโจว ท่านลองถามใจของท่านเอง ข้าร้องไห้ต่อหน้าท่าน ท่านจะไม่ให้คนหาเรื่องข้า ไม่บังคับซื้อจวนของข้าหรือ”
โจวเสวียนพินิจนาง ราวกับกำลังจินตนาการลักษณะของหญิงสาวที่กำลังร้องไห้ต่อหน้าตนเอง ก่อนจะอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ข้านึกภาพไม่ออก คุณหนูตันจูลองร้องไห้ให้ข้าดู”
เฉินตันจูตะโกนเรียกจู๋หลินด้วยความโกรธ “ไล่เขาออกไปบัดนี้ ไม่ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บมากน้อยเพียงใดไม่ต้องสนใจ…มีแม่ทัพหน้ากากเหล็กหนุนหลังพวกเจ้าอยู่!”
โจวเสวียนไม่ได้ลองขีดจำกัดของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ตอนที่จู๋หลินและองครักษ์คนอื่นล้อมเข้ามา เขาก็ได้กระโดดลงจากกำแพงไปแล้ว
เฉินตันจูมองชายหนุ่มที่หายตัวไปจากบนกำแพง นางส่งเสียงไม่พอใจก่อนจะกำชับ “ต่อจากนี้ไม่อนุญาตให้เขาขึ้นภูเขาดอกท้อ” ก่อนจะพูดกับจู๋หลินด้วยความห่วงใย “หากเขาอาศัยคนมาก พวกเราไปขอองครักษ์จากท่านแม่ทัพอีก”
ปล่อยเหล่าองครักษ์ไปเถิด จู๋หลินตะโกนอยู่ในใจ ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังคาไป ไม่อยากสนใจเฉินตันจู
เฉินตันจูก็ไม่ใส่ใจ หันหลังกลับไปมองอาเถียนที่กอดสัมภาระสองห่อยืนอยู่ใต้ทางเดิน
“คุณหนู” นางบ่น “หากรู้ว่าท่านแม่ทัพกลับมา พวกเราก็ไม่ต้องเก็บสัมภาระมากมายแล้ว”
อาเถียนยังคงมีความเกรงใจมากเกินไป เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “หากรู้ว่าท่านแม่ทัพกลับมา ข้าคงไม่ลงไปแม้แต่เชิงเขา ยิ่งไม่เก็บแม้แต่สัมภาระ ผู้ใดมาขับไล่ข้า ข้าจะตีผู้นั้น”
อาเถียนพยักหน้า “ใช่ๆ คุณหนูพูดถูกเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดบังอาจของนายบ่าวกลางลาน จู๋หลินที่นั่งอยู่บนหลังคาถอนหายใจ อย่าว่าแต่โจวเสวียนที่รู้สึกว่าเฉินตันจูเปลี่ยนไป เขาเองก็เช่นกัน เดิมทีคิดว่าท่านแม่ทัพกลับมา จะสามารถควบคุมคุณหนูตันจูไม่ให้ก่อปัญหามากมายเช่นนั้นได้ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าปัญหาจะมีมากขึ้น
เมื่อเทียบกับความคึกคักในอารามดอกท้อ โจวเสวียนที่ยังไม่ทันก้าวเข้าไปในตำหนักใหญ่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันตึงเครียด
ภายในตำหนักมีคนอยู่ไม่น้อย ขุนนางทั้งบุ๋นทั้งบู๊ โอรสแห่งสวรรค์และองค์รัชทายาทล้วนอยู่ สายตาของพวกเขาต่างจับจ้องไปบนตัวของท่านแม่ทัพที่นั่งอยู่ด้านล่างของฮ่องเต้
ท่านแม่ทัพนั่งอยู่บนเบาะปักไหม เสื้อเกราะถูกถอดออกไป สวมใส่เพียงชุดสีเทา บนศีรษะยังสวมหมวกเหล็ก ผมขาวแผ่สยายลงมาบนหัวไหล่ หน้ากากเหล็กปิดบังใบหน้าเอาไว้ ไหล่ของเขาตกลงมา ท่าทางเหมือนนกแร้ง
ไม่รู้ว่าเขาพูดสิ่งใด เวลานี้ภายในตำหนักเงียบสงัด เดิมทีโจวเสวียนต้องการแอบย่องเข้าไปนั่งอยู่ท้ายสุด แต่ราวกับว่าฮ่องเต้ที่สายตาไร้จุดหมายจะเหลือบเห็นเขาพอดี ทันใดนั้นเขานั่งตัวตรง ในที่สุดก็หาวิธีทำลายความเงียบได้
“อาเสวียน!” ฮ่องเต้ตะโกน “เจ้าไปเที่ยวเล่นที่ใดอีกแล้ว ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว ข้าให้คนไปเรียกเจ้ามา แต่หาเจ้าไม่พบ”
โจวเสวียนโน้มตัวคำนับ ก่อนจะทูลกลับ “กระหม่อมไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพจะกลับมาวันนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้บอกว่ายังต้องใช้เวลาอีกเจ็ดแปดวัน กระหม่อมไปฝึกฝนทหารและม้าที่ค่ายใหญ่นอกเมืองหลวงมาโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านแม่ทัพกลับมาตรวจสอบ” พูดพลางมองไปยังแม่ทัพหน้ากากเหล็ก คารวะด้วยพิธีของผู้ใต้บังคับบัญชา ก่อนจะบ่นด้วยท่าทางของคนรุ่นหลัง “เหตุใดท่านแม่ทัพจึงกลับมาอย่างไร้เสียง ฝ่าบาท องค์รัชทายาทและกระหม่อมฝึกซ้อมการให้รางวัลกองทัพสามเป็นเวลานาน ทำให้ท่านแม่ทัพถูกผู้คนเคารพ”
มีเพียงโจวเสวียนที่สามารถพูดความในใจของเขาออกมาได้ ฮ่องเต้พยักหน้า มองแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ไม่เป็นอันใด มีเพียงข้าที่กลับมาก่อน กองทัพสามยังอยู่ด้านหลัง เมื่อถึงเวลาสามารถให้รางวัลกองทัพสามได้”
เขาพูดได้มีเหตุผลอย่างยิ่ง ฮ่องเต้กระแอมไอเสียงเบา
โจวเสวียนรีบพูด “เช่นนั้นการปรากฏตัวของท่านแม่ทัพย่อมไม่สะดุดตาเหมือนที่วางแผนไว้ก่อนหน้านี้” ก่อนจะยิ้มอย่างมีเลศนัย “หากท่านแม่ทัพกลับมาอย่างไร้เสียงจริงก็แล้วไป เวลานี้…ตอนที่ให้รางวัลกองทัพสาม ท่านแม่ทัพจะกลับไปยังกองทัพสามอย่างไร้เสียงก็คงไม่ได้แล้ว”
คนที่นั่งอยู่ต่างรู้ว่าโจวเสวียนพูดถึงสิ่งใด ความเงียบก่อนหน้านี้ก็เพราะมีขุนนางท่านหนึ่งถามแม่ทัพหน้ากากเหล็กว่าได้ลงมือทำร้ายคนหรือไม่ แม่ทัพหน้ากากเหล็กถามเขากลับโดยตรงว่าหากขวางทางไม่ควรตีหรือ
อย่างไรแล้ว ฐานะของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก โดยเฉพาะนำทัพออกเดินทาง ล้วนต้องมีการจัดระเบียบเส้นทาง หากมีผู้ฝ่าฝืนย่อมสามารถใช้โทษไส้ศึกประหารคนผู้นั้นได้
ขุนนางท่านนั้นพูดอย่างโกรธเคือง หากเป็นเช่นนั้นย่อมแล้วไป แต่ชายคนนั้นกีดขวางเส้นทางเพราะว่ามีข้อขัดแย้งกับเฉินตันจู ท่านแม่ทัพกระทำเช่นนี้ คงจะถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์
แม่หน้ากากเหล็กยังคงถามกลับ การที่คนผู้นั้นกีดขวางเส้นทางเพราะว่ามีข้อขัดแย้งกับเฉินตันจู เขาจึงไม่สามารถตีคนผู้นั้นได้หรือ หรือว่าเขาต้องเพิกเฉยต่อกฎทหารเพราะเฉินตันจู
เขาถามจนขุนนางท่านนั้นอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง รู้สึกว่าเขาพูดได้อย่างมีเหตุผล ไม่อาจหาข้อโต้แย้งได้ ทำได้เพียงพูดว่าท่าน ท่าน…
บรรยากาศจึงอึมครึมไปชั่วขณะ
เวลานี้โจวเสวียนวนกลับมาเรื่องนี้อีกครั้ง ขุนนางที่ท้อแท้ผู้นั้นกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเผชิญหน้ากับคำพูดอ้อมค้อมของโจวเสวียน เขาจึงพูดอย่างชัดเจน “ในชีวิตของข้ามีเพียงการปราบปรามเหล่าท่านอ๋อง รักษาความสงบสุขของราษฎรต้าเซี่ย ช่วงเวลาเหล่านี้คือช่วงเวลาที่สะดุดตาที่สุด นอกจากนี้แล้ว ไร้เสียงก็ดี ชื่อเสียงเสื่อมเสียก็ดี ล้วนไม่สำคัญ”
คำพูดนี้ยิ่งไม่ผิด โจวเสวียนยกมือขึ้นคำนับ “ท่านแม่ทัพยิ่งใหญ่ ข้าน้อมรับคำสอน”
เมื่อเห็นบรรยากาศในพระตำหนักผิดปกติ องค์รัชทายาทไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป
“ท่านแม่ทัพ” เขาพูด “การซักถามของทุกท่านไม่ได้ต้องการเจาะจงท่าน แต่เพราะเฉินตันจู”