ตอนที่ 270 การขายทางโทรศัพท์ของเฉินเฟิง
พวกผู้หญิงสองสามคนไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่หลินม่ายอายุอ่อนวัยขนาดนั้นก็มีลูกสาวโตขนาดนี้แล้วเท่าไรนัก
สิ่งที่พวกหล่อนสนใจมากกว่าก็คือหนุ่มหล่อแสนดีที่ช่วยหลินม่ายดูแลโต้วโต้วคนนั้นคือใครกัน
“ผู้ชายคนนั้นหล่อจังเลย ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกับเพื่อนหลินม่าย ตอนสอบเข้ามัธยมปลาย ฉันเคยเห็นเขาส่งหลินม่ายที่สนามสอบด้วย”
“พวกเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนั้นกันเลยเหรอ?” ว่านฮุ่ยพูดขึ้น “เขาคือฟางจั๋วหลานรองศาสตราจารย์สาขาศัลยศาสตร์ผู้โด่งดังแห่งมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ ศาสตราจารย์ฟาง”
ผู้หญิงคนหนึ่งสงสัยใคร่รู้ “เอ๋? เพื่อนหลินม่ายรู้จักกับเขาได้ยังไงกัน?”
“ครั้งหนึ่งหลินม่ายปวดท้อง คิดว่าตัวเองเป็นไส้ติ่งอักเสบ จึงถูกส่งไปรับการผ่าตัด
ประจวบกับศาสตราจารย์กำลังตรวจคนไข้อยู่ที่แผนกผู้ป่วยนอกพอดี ทั้งสองคนจึงรู้จักกัน
เพื่อนหลินม่ายทำสำออยเก่งนัก ศาสตราจารย์ฟางสงสารเธอ จึงมักจะช่วยเหลือเธออยู่บ่อยๆ”
ว่านฮุ่ยสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาทีละเรื่อง แล้วพูดราวกับว่าเป็นความจริง
นักเรียนมัธยมต้นอายุ 15-16 ปีนั้นหลอกง่าย เหล่าเพื่อนนักเรียนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ก็พากันประณามหลินม่ายว่าไร้ศีลธรรม
มีเพียงเหยียนเหวินเล่อเท่านั้นที่ตั้งคำถาม “เธอสนิทของหลินม่ายมากเลยเหรอ ทำไมเธอถึงรู้ได้แจ่มแจ้งขนาดนั้น?”
เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ พลันตระหนักขึ้นได้ : จริงสิ ว่านฮุ่ยไม่ได้สนิทสนมกับหลินม่ายเสียหน่อย แล้วทำไมเธอถึงได้รู้จักหลินม่ายดีนัก?
ว่านฮุ่ยเห็นเอาแต่ปกป้องหลินม่ายอยู่ตลอด ในใจก็รู้สึกย่ำแย่อย่างมาก เธอพูดโกหกป้ายสีหลินม่ายต่อไป “ที่บ้านฉันมีเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่โตมาด้วยกันกับหลินม่าย เขารู้จักหลินม่ายดีมาก เป็นเขานั่นแหละที่มาเล่าให้ฉันฟัง”
ทุกคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำพูดของเธอ
หลังจากขายมาจนถึงสามทุ่ม เสื้อผ้าก็เหลืออยู่แค่สิบกว่าตัว และถุงน่องขายาวเองก็มีเพียงประมาณ 200 คู่เท่านั้น
ถุงน่องขายาวที่เอามาหนึ่งพันคู่ ขายไปกว่า 700 คู่แล้ว หลินม่ายค่อนข้างพึงพอใจ เธอเก็บแผงจากไป และวางแผนว่าพรุ่งนี้จะมาขายต่อ
ในระหว่างทางกลับบ้าน ฟางจั๋วหลานถามขึ้น “กำไรที่ขายถุงน่องเย็นวันนี้คุณก็ต้องแบ่งกับเฉินเฟิงคนละครึ่งอย่างนั้นเหรอ?”
หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก เงื่อนไขคนละครึ่งของฉันกับเขาคือให้ฉันรับสินค้าจากด่านศุลกากร แล้วเขารับหน้าที่ขายน่ะค่ะ
ถุงน่องขายาวพวกนั้นที่ฉันขายไป ตั้งแต่การรับซื้อสินค้าจนถึงการขายฉันล้วนเป็นคนจัดการเองทั้งหมด เฉินเฟิงไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยเลย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแบ่งกำไรกับเขา”
“แบบนี้ก็ไม่ได้ต่างกันนัก” ฟางจั๋วหลานนั้นจริงจังกับการปกป้องผลประโยชน์ของสาวน้อย
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลินม่ายนั่งนับผลประกอบการอยู่บนเตียง เธอดีใจแทบคลั่ง
ถุงน่องขายาวแค่อย่างเดียวก็ได้กำไรคืนละกว่า 2,900 หยวนแล้ว!
รู้แต่แรกว่าถุงน่องขายาวพอขายดูแล้วก็ไม่ยาก น่าจะเก็บไว้ขายเองเยอะๆ หน่อย
พรุ่งนี้ไปถามเฉินเฟิงดูหน่อย ว่าถุงน่องขายาวส่งออกไปหมดแล้วหรือยัง ถ้ายังล่ะก็ เธอจะเอามาขายเองอีกห้าพันคู่ จะได้ช่วยฟางจั๋วหลานเชิญเขามากินข้าวด้วยเลย
วันถัดมา หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายก็ไปหาเฉินเฟิงที่ตลาดสด
เธอไปเช้ามาก ยังไม่ถึงเจ็ดโมงเช้าก็มาถึงตลาดสดแล้ว พบเพียงความคึกคักจอแจทั้งในและนอกตลาดสด
ไม่ต่างจากเมื่อก่อน ด้านนอกตลาดขายแตงต่างๆ มากมาย ด้านในก็ขายอาหารหลากชนิด
เฉินเฟิงยังคงแสดงบุคลิกที่สองเช่นนั้น และอิริยาบทต่างๆ ที่พูดคุยกับผู้คนเหมือนกับที่หลินม่ายเห็นครั้งก่อน
“เถ้าแก่ถู คุณอยากได้เนสกาแฟสามหมื่นกระป๋องเหรอ? โหดร้ายเกินไปแล้ว ถ้าคุณต้องการมากขนาดนั้น แล้วเถ้าแก่คนอื่นจะทำยังไงล่ะครับ?
มีเนื้อทุกคนก็กินด้วยกัน คุณกินอยู่คนเดียวสิ
อยากได้นมผงสามหมื่นกระป๋อง? คุณขายหมดในหนึ่งเดือนได้หรือเปล่าล่ะ ถ้าทำได้ก็เอาเลย
อยากได้น้ำตาลทรายหนึ่งหมื่นชั่ง? อันนี้ไม่ได้หรอกครับ อย่างมากที่สุดผมให้คุณได้แค่สามพันชั่ง…”
หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จสิ้นอย่างยากลำบาก เฉินเฟิงถึงได้เงยหน้ามองไปทางหลินม่าย “มาแล้วเหรอ เถ้าแก่เนี้ย”
หลินม่ายเหลือบมองเร่อกันเมี่ยนที่ยังกินไม่หมดบนโต๊ะน้ำชา แล้วกระแอมเล็กน้อย “อย่าเรียกว่าเถ้าแก่เนี้ย อีกเดี๋ยวฉันจะจดทะเบียนบริษัท ต่อไปนายเรียกฉันว่าประธานหลินก็แล้วกัน”
“ประธานหลิน?” เฉินเฟิงทวนคำนั้นอีกครั้งอย่างหยอกเย้า
“นายเป็นผู้จัดการของตลาดสด ต่อไปฉันจะเรียกนายว่าผู้จัดการเฉิน ในอนาคตถ้าทุกคนเรียกกันด้วยชื่อตำแหน่ง ฟังดูแล้วค่อนข้างเป็นทางการมากกว่า”
เมื่อพูดเรื่องการเรียกชื่อกันจบ หลินม่ายก็เปลี่ยนประเด็นทันที “ลูกค้าที่อยู่ในมือนายสุดยอดขนาดนี้เชียว แค่พูดถึงก็ต้องการสินค้ามากมายขนาดนี้!”
ถ้าลูกค้าของเฉินเฟิงทุกเจ้ามีพื้นฐานร่ำรวยขนาดนี้ และมีกำลังซื้อมากขนาดนั้นกันหมด สินค้าพวกนั้นที่เธอเอามาจากด้านศุลกากรคงไม่เพียงพอที่จะขายพวกเขาโดยสิ้นเชิง
เฉินเฟิงหัวเราะ หยิบเร่อกันเมี่ยนที่เย็นชืดชามนั้นขึ้นมาแล้วกินต่อ “ลูกค้าเจ้าใหญ่อย่างเถ้าแก่ถูมีน้อยมาก ลูกค้าปกติต้องการปริมาณสินค้าไม่มากขนาดนั้นหรอก
ยกตัวอย่างเช่นเนสกาแฟ โดยทั่วไปจะรับแค่สองสามพันกระป๋องเท่านั้นเอง”
หลินม่ายพูดพึมพำ “นั่นก็ไม่น้อยแล้ว…”
เฉินเฟิงเหลือบมองเธอ “เธอมานี่มีธุระอะไรเหรอ?”
“ฉันอยากเอาถุงน่องขายาวไปขายเองอีกห้าพันคู่ ถุงน่องยังมีอีกไหม?”
“ยังมี” เฉินเฟิงถือชามเร่อกันเมี่ยน พลางเดินไปที่ประตูห้องทำงาน ส่งเสียงเรียกออกไปข้างนอก พลันมีลูกน้องคนหนึ่งวิ่งเข้ามาทันที
เฉินเฟิงมอบหมายงาน “ไปขนถุงน่องที่โกดังมาห้าพันคู่”
ลูกน้องรับคำสั่งแล้วเดินออกไป
เฉินเฟิงกลับมานั่งที่โซฟา กินเร่อกันเมี่ยนเสียงซูดซาด
“ตลาดสดแห่งนี้ของเรามีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแค่หกคนไม่พอ ต้องเพิ่มอีกสี่คน เธอคิดว่าได้ไหม?”
หลินม่ายพูด “ในเมื่อนายเป็นผู้จัดการของตลาดสดแล้ว เรื่องพวกนี้ทั้งหมดจัดการตามที่นายคิดเลย ฉันจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง”
หลินม่ายมอบความไว้วางใจและสิทธิที่ใหญ่ที่สุดให้กับเขา
เฉินเฟิงไม่ได้พูดอะไร เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เมื่อนั้นหลินม่ายจึงพูดขึ้น ว่าแฟนหนุ่มของเธอฟางจั๋วหลานอยากจะเลี้ยงข้าวเขาสักมื้อ
เฉินเฟิงสีหน้าประหลาดใจ “ทำไมแฟนของเธอถึงอยากเลี้ยงข้าวฉันล่ะ?”
“นายช่วยฉันเอาไว้หลายครั้งหลายคราวแล้ว เขาเลยอยากจะขอบคุณนาย”
เฉินเฟิงปฏิเสธ “เขาไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันเองก็ไม่อยากไปกินข้าวด้วย”
หลินม่ายพูดโน้มน้าว “ไปเถอะน่า ก็แค่กินข้าวมื้อเดียวเท่านั้นเอง ไม่ได้จะตัดหัวนายเสียหน่อย ทำไมถึงไม่ไปล่ะ?”
เฉินเฟิงจ้องมองเธออยู่เนิ่นนาน “รอให้เหลียนเฉียวกลับมาแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
หลินม่ายพยักหน้าตกลง
ตอนที่ออกมาจากตลาดสด หลินม่ายก็เอาแตงโมลูกใหญ่สองลูก แคนตาลูปไม่กี่ลูก อีกทั้งถุงน่องขายาวที่เธอต้องการกลับบ้านไปด้วย
เพิ่งกลับมาถึงบ้านได้ไม่นาน โต้วโต้วก็จูงฉีฉีขึ้นไปที่ห้องนั่งเล่นชั้นบน เธอพูดกับหลินม่าย “คุณแม่คะ น้าเถามาหาค่ะ”
หลินม่ายเงยหน้ามองไป ก็เห็นเถาจืออวิ๋นกำลังเดินตามเข้ามาเช่นกัน
เธอให้โต้วโต้วกับฉีฉีลงไปให้โจวฉายอวิ๋นปอกแตงโมให้กันที่ชั้นล่าง แล้วเชิญเถาจืออวิ๋นนั่งลง
ทันทีที่เถาจืออวิ๋นนั่งลงก็บอกกับเธอ ว่าหน่วยงานของเธอสั่งทำโลโก้ที่โรงงานไหน
ทั้งยังบอกว่า โรงงานนั้นจำเป็นต้องสั่งทำโลโก้หนึ่งหมื่นชิ้นขึ้นไป
หลินม่ายถาม “ชิ้นละเท่าไหร่เหรอ?”
“สามเฟิน”
หนึ่งหมื่นชิ้นก็เป็นเงิน 300 หยวน ไม่ได้แพงนัก
หลินม่ายหยิบเงินหนึ่งพันหยวนส่งให้เถาจืออวิ๋น “ในเงินหนึ่งพันนี้มีค่าผ้าวัตถุดิบที่คุณซื้อมาทำเสื้อผ้าให้ฉัน แล้วยังมีค่าที่ช่วยฉันทำโลโก้ด้วยนะ”
เถาจืออวิ๋นรับเงินมาพลางถาม “ออกแบบโลโก้เสร็จแล้วหรือยัง? เอาให้ฉันสิ ฉันจะได้ช่วยเธอสั่งทำ”
หลินม่ายยิ้มอย่างเขินอาย “ยังเลยน่ะ พวกเรามาออกแบบกันตอนนี้เลยไม่ดีกว่าเหรอ?”
ทั้งสองคิดชื่อไว้มากมาย หารือปรึกษากันไปมา สุดท้ายก็ตัดสินใจใช้ชื่อว่า “ยูนีค” ที่หลินม่ายตั้งขึ้น
คำคำนี้นอกจากจะติดหูแล้ว ยังจำง่าย ที่สำคัญคือสละสลวย สดใหม่ และแหวกแนว
ยูนีคเป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษของ Unique มีความหมายว่า ‘ไม่เหมือนใคร’ ซึ่งตอบโจทย์ต่อทัศนคติการแสวงหาความงามเฉพาะตัวของผู้หญิงในยุคนี้อย่างมาก
หลินม่ายออกแบบไว้หลายโลโก้แล้วให้เถาจืออวิ๋นช่วยเลือกให้ทันที
เถาจืออวิ๋นเอาโลโก้ที่เธอออกแบบมาเลือกแล้วเลือกอีก
เธอชี้ไปที่สัญลักษณ์ที่รวมเงาของหญิงสาวและดอกไม้ดอกหนึ่งเข้าด้วยกันอย่างยอดเยี่ยมแล้วพูดขึ้น “อันนี้ก็ดีนะ ตรงประเด็น เรียบง่าย และยังสวยด้วย”
หลินม่ายพยักหน้า “งั้นก็เอาอันนี้เป็นโลโก้”
ทั้งสองคนแยกย้ายกันไปสองทาง เถาจืออวิ๋นช่วยเธอสั่งทำโลโก้ ส่วนเธอก็ไปที่สำนักงานพาณิชย์เพื่อจดทะเบียนการค้าและบริษัท
ตอนที่เถาจืออวิ๋นสองแม่ลูกจะไป หลินม่ายให้พวกเขาเอาแตงโมหนึ่งกับแคนตาลูปสองสามลูกไปด้วย
เถาจืออวิ๋นไม่เกร็งใจเธอ หยิบแตงโมและแคนตาลูป แล้วพาฉีฉีเดินจากไป
หลินม่ายสวมหมวกกันแดดแล้วไปยังสำนักงานพาณิชย์ เธอคิดอยู่ระหว่างทาง ว่าขอบเขตธุรกิจของเธอนับวันยิ่งกว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นก็จดทะเบียนบริษัทใหญ่ไปเสียเลย
ชื่อบริษัทเรียกว่าว่านทงก็ได้แล้ว แม้จะฟังดูพื้นๆ ไปหน่อย แต่ก็มีความหมายเป็นมงคล
ทำธุรกิจ สิ่งที่จำเป็นก็คือความเป็นสิริมงคลสมปรารถนา