รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 254 อนาถโดยแท้ วิญญาณนักบุญสิงสู่ร่างหมู!

บทที่ 254 อนาถโดยแท้ วิญญาณนักบุญสิงสู่ร่างหมู!

บทที่ 254 อนาถโดยแท้ วิญญาณนักบุญสิงสู่ร่างหมู!

บัดซบ!

เหตุใดคันศรในมือเซี่ยเหยียนถึงมีระดับขั้นสูงส่งปานนั้น!?

โดยเฉพาะเรื่องที่เขาคิดไม่ตกเลยคือ ขอบเขตของเซี่ยเหยียนที่หาได้สูงไม่ ไฉนจึงสามารถรีดเร้นพลังของยอดคันศรระดับสูงส่งเยี่ยงนั้นออกมาได้ไหว?

คันศรระดับสูงส่งเยี่ยงนั้น แม้แต่ขอบเขตเทวายังยากจะดึงออกมาได้!

หลิงเซิ่งจิตใจว้าวุ่น อารมณ์ย่ำแย่ถึงขีดสุด

“หลิงเซิ่งช่วยข้าด้วย!”

หนิงเจี๋ยร่ำไห้ตะโกนขอความช่วยเหลือจากหลิงเซิ่ง

ขุมปราณชีวิตของเขากำลังรั่วไหลออกไปอย่างมหาศาล ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาต้องตายตกอยู่ที่นี่!

แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงดิ้นรนขนาดไหน ก็สลัดไม่ออก ถูกศรอาบแสงเล่มนั้นตรึงไว้กับยอดเขาอย่างแน่นหนา

“ช่วยเจ้ารึ ช่วยกับผีน่ะสิ!”

หลิงเซิ่งด่ากราด ฝืนรวบรวมวิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลาย ดูดกลืนวิญญาณของหนิงเจี๋ยเพื่อเพิ่มพูนพลังให้วิญญาณนักบุญของเขา

จากนั้นวิญญาณนักบุญของเขาก็ทะยานออกจากร่างหนิงเจี๋ยอย่างรวดเร็ว!

เมื่อวิญญาณถูกดูดกลืน ร่างหนิงเจี๋ยก็มอดม้วยในทันที

ก่อนตาย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะได้พบจุดจบเช่นนี้ ต้องมาถูกหลิงเซิ่งดูดกลืนวิญญาณ!

นอกจากนี้ก่อนตาย ภายในใจของเขายังเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

เซี่ยเหยียนคือคู่เวรของเขาโดยแท้ คราวก่อนเขาก็พ่ายในมือเซี่ยเหยียน คราวนี้เขาก็ต้องพ่ายในมือเซี่ยเหยียนอีกแล้ว!

หากรู้เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาคงไม่มาหาเรื่องเซี่ยเหยียนอีก!

แต่ทั้งหมดนี้กลับเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง

หลิงเซิ่งเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง ไม่ละล้าละลังแม้แต่น้อย พริบตาที่ดูดกลืนวิญญาณได้ก็ทะยานหนีไปทันที

“หืม?​ นั่นอะไร?”

คิ้วเรียวของเซี่ยเหยียนขมวด เห็นเพียงลำแสงศักดิ์สิทธิ์ลำหนึ่งทะยานออกมาจากตัวหนิงเจี๋ย ก่อนจะอันตรธานหายไป

นางหันมองหนิงเจี๋ยอีกครั้ง ก็พบว่าเขาตายไปแล้ว

“แย่แล้ว ดูเหมือนนั่นน่าจะเป็นวิญญาณนักบุญ!”

นัยน์ตาเวิงอู๋โยวสั่นไหว เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณนักบุญจากลำแสงศักดิ์สิทธิ์นั้น ซ้ำยังเห็นเงาของผู้เฒ่าคนหนึ่งราง ๆ

“เข้าใจแล้ว! มิน่าเล่าหนิงเจี๋ยผู้นี้ถึงมีพลังทวีคูณมหาศาล ที่แท้เป็นเพราะเขามีวิญญาณนักบุญอาศัยอยู่ในร่างนี่เอง!” เขากล่าวต่อ ในหัวนึกถึงภาพการณ์เมื่อครั้งพลังของหนิงเจี๋ยเพิ่มพูนทวีคูณ

ครานั้น หนิงเจี๋ยมิได้รับยาลูกกลอนใด ๆ มิได้ใช่วิชาค่ายกล หรือใช้อภินิหารใด ๆ จู่ๆ พลังก็ทวีคูณขึ้นเสียอย่างนั้น เขายังประหลาดใจอยู่ว่าหนิงเจี๋ยทำได้อย่างไร

บัดนี้ได้เห็นวิญญาณนักบุญ ถึงเข้าใจทุกอย่างได้อย่างกระจ่าง!

สาเหตุที่พลังของหนิงเจี๋ยทวีคูณ เป็นเพราะวิญญาณนักบุญตนนี้นี่เอง!

วิญญาณนักบุญตนนี้ให้หนิงเจี๋ยยืมพลัง!

“ข้าก็เข้าใจแล้ว! มิน่าก่อนหน้านี้หนิงเจี๋ยถึงตะโกนว่า ‘หลิงเซิ่งช่วยข้าด้วย’! วิญญาณนักบุญตนนั้นคงจะเป็นหลิงเซิ่ง”

เซี่ยเหยียนพยักหน้า

หลังจากตรึงหนิงเจี๋ยไว้บนยอดเขาแล้ว นางก็พุ่งตัวไปอยู่ที่ยอดเขาทันที ก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนของหนิงเจี๋ย

“แย่แล้ว! หลิงเซิ่งผู้นั้นทะยานไปทางเมืองชิงซาน!”

สีหน้าเซี่ยเหยียนเปลี่ยนไปอย่างมาก นางไม่มีเวลาให้ไตร่ตรองสิ่งใดอีก รีบเหินไปทางเมืองชิงซานทันที

แต่หาได้กังวลว่า หลิงเซิ่งจะทำร้ายท่านเซียนเข้า

น่าขัน ระดับขั้นของท่านเซียนสูงส่งเพียงใด อย่าว่าแต่หลิงเซิ่งผู้นี้เลย ต่อให้เป็นตัวตนระดับจักรพรรดิก็มิได้ยิ่งใหญ่สำหรับท่านเซียน!

ทว่านางเพียงกลัวว่า หลิงเซิ่งผู้นี้จะเข้าไปรบกวนท่านเซียนต่างหาก!

หลิงเซิ่งผู้หนีออกไปนั้นไม่กล้าหยุดชะงักแม้แต่น้อย ถึงแม้มันจะเพิ่มพลังขึ้นมาได้นิดหน่อยจากการดูดกลืนวิญญาณของหนิงเจี๋ย

กระนั้นคันศรที่เซี่ยเหยียนยิงมานั้นน่ากลัวเกินไป พลังที่ได้จากการดูดกลืนวิญญาณหนิงเจี๋ยไม่เพียงพอแม้แต่น้อย วิญญาณนักบุญของเขายังคงสลายต่อไปอย่างรวดเร็ว!

หากปล่อยให้สลายเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาจักแตกดับ มลายหายไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง!

“ระยำนัก!”

เขาสบถก่นด่า ใจรู้สึกระทมอย่างยิ่ง

หลังจากวิญญาณนักบุญของเขาฟื้นพลังกลับมาแล้ว เขาก็สามารถไปจากร่างของหนิงเจี๋ย และเดินเหินได้อย่างอิสระ

พลังแกร่งกล้าจากวิญญาณนักบุญสามารถค้ำจุนให้เขาเคลื่อนไหวในปฐพีนี้โดยไม่ต้องมีกายเนื้อก็ได้

แต่เขาคำนึงว่าวิญญาณนักบุญเพิ่งฟื้นพลัง ยังไม่มั่นคงเท่าใด จำต้องรอให้มั่นคงอยู่ในร่างหนิงเจี๋ยไปอีกสักพักแล้วค่อยว่ากัน เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาอื่นตามมา

บวกกับหนิงเจี๋ยกล่าวว่าต้องการกลับมาแก้แค้น เขาเองก็หมายตาสมบัติชั้นยอดของหลี่จิ่วเต้า จึงมิได้ไปจากร่างกายของหนิงเจี๋ยในทันที แต่เลือกที่จะอยู่ต่อ

ทว่าผู้ใดเล่าจะคิดว่า คันศรในมือเซี่ยเหยียนจะน่ากลัวปานฉะนี้ ศรเดียวก็จัดการเขากับหนิงเจี๋ยได้เสียอยู่หมัด!

เขาไม่บรรลุเป้าหมายไม่พอ ยังเสียหายอย่างหนักหนาสาหัสอีกด้วย!

“อ๊ากกก!”

เขาแผดเสียงคำรามกราดเกรี้ยว สำนึกเสียใจอย่างที่สุด!

ครานั้นตนมัวรอความมั่นคงเพื่ออะไร!

เวลานั้น หากเขาไม่มัวแต่คิดว่าจะอาศัยในร่างของหนิงเจี๋ยต่อจนสถานการณ์มั่นคงแล้วค่อยว่ากัน แต่ไปจากร่างของหนิงเจี๋ยทันที เขาไฉนเลยจะมีสภาพอนาถาเยี่ยงนี้!

ในกาลเวลาอันแสนยาวนาน เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณนักบุญเขาอุตส่าห์ฟื้นพลังขึ้นมาได้บ้าง จนสติของเขาปรากฏอีกครั้ง ต่อมา เขาได้มาซึ่งหญ้านวปรภพ จนสร้างวิญญาณนักบุญขึ้นได้ใหม่

ผลสุดท้าย เขายังไม่ทันได้ทำสิ่งใด วิญญาณนักบุญก็ถูกทำร้ายสาหัสอีกครั้ง ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้สูญเปล่า!

ปัญหาคือ หากตอนนี้เขาไม่หาทางหยุดยั้งการเสื่อมสลายของวิญญาณนักบุญ เขาจักแตกดับ มลายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง!

“ต้องหากายเนื้อก่อน!”

วิญญาณนักบุญของเขาเสื่อมสลายเร็วเกินไป ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ จำต้องหากายเนื้อสิงสู่ก่อน แล้วค่อยหลอมรวมวิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลายให้มั่นคงขึ้นมา

ไม่หากายเนื้อก็ได้ ทว่าหากเป็นเช่นนั้นเขาจักรักษาวิญญาณนักบุญไว้ได้เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น และกลายเป็นเหมือนในอดีต สติเข้าสู่การนิทรา ต้องค่อย ๆ ฟื้นพลังทีละนิดโดยอาศัยกาลเวลาอันยาวนาน

เขาไม่ต้องการมีประสบการณ์เช่นนั้นอีกแล้ว

สติเข้าสู่การนิทรา จนเขาไม่รับรู้เหตุการณ์ภายนอกแม้แต่น้อย ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะโชคดี สามารถยืนหยัดจนถึงยามที่สติตื่นขึ้นอีกครั้งเหมือนคราวก่อนได้อีกครั้งหรือไม่

หากเขาถูกผู้ฝึกตนหรืออสูรตนใดพบเข้า แล้วหลอมวิญญาณของเขา เขาได้จบเห่จริง ๆ แน่…

คราวก่อนเขาไม่มีทางเลือก

นักบุญเฒ่าพวกนั้นหมายมั่นจะฆ่าเขาโดยยอมแลกด้วยชีวิต เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณนักบุญอุตส่าห์หนีรอดออกมาได้ ทว่าก็ได้เพียงแค่นั้น ทันทีที่หนีออกไป เขาก็สูญสิ้นสติ จมอยู่ในห้วงนิทรา

โชคดีที่นักบุญเฒ่าเหล่านั้นเพิ่งผ่านสงคราม มิได้อยู่ในสภาวะที่ดีเท่าใด จึงมิได้ไล่ตามเขามา ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางรอดมาได้

ทว่าหนนี้ต่างออกไป

หนนี้เขามีโอกาสเลือก!

แม้ว่าวิญญาณนักบุญของเขาแตกสลายรุนแรง กระนั้นมิได้รุนแรงเท่าครั้งก่อนและยังไม่ถึงขั้นสูญเสียสติไป

“เมื่อถึงคราวซวย ดื่มน้ำยังติดฟันได้! เหตุใดถึงไม่เห็นใครสักคนเลยเล่า!”

เขาร้อนใจแทบทนไม่ไหว ทะยานมาทั้งทางยังมิได้พบผู้ใด

“สัตว์อสูรก็ได้!”

ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์อสูร ขอเพียงมีกายเนื้อเป็นพอ

ความเสียหายที่เกิดจากวิญญาณออกจากร่างสาหัสมาก เขาไม่มีวิธีทำให้วิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลายมั่นคงได้ด้วยร่างวิญญาณ

“บัดซบ! สวรรค์ต้องการเป็นปรปักษ์กับข้าหรือ!?”

เขากล่าวอย่างมีโทสะ เพิ่งบอกไปว่าสัตว์อสูรก็ได้ แล้วเขาก็มาเห็นสัตว์ตัวหนึ่งจริง ๆ!

ทว่ามิใช่สัตว์ชั้นดีแต่อย่างใด หากแต่เป็นหมูป่าตัวหนึ่ง!

เขาเป็นถึงนักบุญ แต่ต้องมาสิงสู่วิญญาณในร่างหมูจริงหรือ?

หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เขาจะมีหน้าไปพบผู้ใดอีก!

“หมูก็หมู ถึงอย่างไรก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราว ขอเพียงข้าฟื้นพลังอีกหน่อย ข้าก็จะออกจากร่างหมู ไปสิงสู่ร่างมนุษย์”

เขาไม่อยากสิงสู่วิญญาณในร่างหมู แต่เพราะจนปัญญาและหมดหนทาง วิญญาณนักบุญของเขาเสื่อมสลายในอัตราที่เร็วเกินไป หากไม่ยอมเข้าไปในร่างหมู เขาจะรักษาวิญญาณนักบุญไว้ได้เพียงเสี้ยวเดียว และสติก็จะถูกบังคับให้เข้าสู่ห้วงนิทรา

ท้ายที่สุด เขากัดฟันพุ่งเข้าไปในร่างหมูป่าตัวนั้น

อี๊ดอี๊ด!

หลังจากเข้ามาอยู่ในร่างหมู หลิงเซิ่งก็ได้ยินวิญญาณหมูป่าร้องอี๊ด ๆ ใส่เขา

“อี๊ดกับป้าแกสิ! เวรเอ๊ย น่ารำคาญจริง!”

เขาลบล้างวิญญาณหมูป่าได้ด้วยฝ่ามือเดียว

หมูป่าตัวนี้เป็นเพียงหมูป่าธรรมดา การลบล้างวิญญาณหมูป่าธรรมดาจึงมิใช่เรื่องหนักหนาสำหรับเขา

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท