รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 255 เมื่อพยัคฆ์ตกที่นั่งลำบาก แม้แต่สุนัขยังรังแกได้ หวาดกลัวจนมีปมในใจแล้ว!

บทที่ 255 เมื่อพยัคฆ์ตกที่นั่งลำบาก แม้แต่สุนัขยังรังแกได้ หวาดกลัวจนมีปมในใจแล้ว!

บทที่ 255 เมื่อพยัคฆ์ตกที่นั่งลำบาก แม้แต่สุนัขยังรังแกได้ หวาดกลัวจนมีปมในใจแล้ว!

หลังจากลบล้างวิญญาณหมูป่าไปแล้ว หลิงเซิ่งมิกล้าลังเลอีก รีบเร่งรีดเร้นพลังที่เหลืออยู่เพื่อทำให้วิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลายมีความมั่นคงขึ้น

การมีกายเนื้อสำคัญต่อวิญญาณมากพอสมควร

แม้ว่าวิญญาณของเขาเป็นวิญญาณนักบุญก็เช่นกัน

กฎแห่งสวรรค์และโลกต่อต้านวิญญาณไร้ร่างเช่นนี้ หลังจากเขาเข้ามาในร่างหมูป่า ในที่สุดก็ทำให้วิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลายมั่นคงได้ในที่สุด

ทว่าเขาต้องจ่ายด้วยราคาสูงลิ่ว พลังในตัวเหลือเพียงน้อยนิด คันศรที่เซี่ยเหยียนยิงออกมาน่ากลัวเหลือเกิน!

“แม้แต่วิญญาณนักบุญของข้ายังสู้ไม่ไหว!”

เขาสูดปากในใจ นึกย้อนกลับไปแล้วยังกลัวอยู่

เซี่ยเหยียนไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเขา จึงมิได้ระแวดระวังในตัวเขา ศรดอกนั้นยิงมาเพื่อจัดการหนิงเจี๋ยล้วน ๆ

หากเซี่ยเหยียนรู้ถึงการมีอยู่ของเขา แล้วยิงคันศรโดยหมายหัวเขาด้วย เขาไม่มีทางรอดมาได้

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

เขาที่มิใช่เป้าหมายหลัก เพียงแต่ได้รับลูกหลงเท่านั้นยังเกือบเสื่อมสลาย แค่คิดก็อกสั่นขวัญแขวน!

ผู้ฝึกตนต่ำต้อยที่อยู่แค่ขอบเขตพรตเต๋ากลับทำอันตรายเขาได้ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดเคยฝันเลย

แม้ว่าเขายังอยู่ในสภาวะร่างวิญญาณ กระนั้นเขาก็เป็นถึงนักบุญ

การเป็นนักบุญจำต้องครบเงื่อนไขทุกด้าน อย่างเช่นกายเนื้อ หทัยเต๋า วิญญาณ และอื่น ๆ อีกมากมาย

วิญญาณนักบุญของเขาผ่านการหลอมหญ้านวปรภพมาก่อน พลังฟื้นคืนมาได้นานแล้ว

ในสถานการณ์ปกติ ผู้ที่ยังไม่บรรลุเป็นนักบุญไม่อาจทำอันตรายเขาได้เลย

ต่อให้เป็นยอดเทวาก็ไม่ได้

ขอบเขตเทวามีทั้งหมดสี่ขั้นใหญ่ ขั้นเทวะ ขั้นจ้าวเทวา ขั้นราชันเทวา และขั้นยอดเทวา

เมื่อข้ามพ้นขอบเขตยอดเทวาไปสัมผัสกับขอบเขตนักบุญ จักได้เป็นว่าที่นักบุญ หากก้าวหน้าขึ้นไปอีก จักผันตัวจากว่าที่นักบุญเป็นนักบุญอย่างแท้จริง

ผู้มีระดับต่ำกว่านักบุญล้วนเป็นเพียงมดปลวก วาจานี้มิได้กล่าวส่ง ๆ นักบุญมีพลังพอจะทำลายฟ้าดิน ผู้ที่มิใช่นักบุญไม่มีทางสร้างผลกระทบได้เลย

ทว่าเซี่ยเหยียนกลับทำอันตรายเขาได้ ซ้ำร้ายยังมิใช่แค่นั้น หากนางมีความตั้งใจ เขาไม่ข้องใจเลยว่านางสามารถปลิดชีพเขาได้สบาย!

แน่นอนว่ามิใช่เพราะพลังที่เซี่ยนเหยียนครอบครอง ต้องกล่าวว่านางสามารถใช้คันศรวิเศษในมือปลิดชีพเขาได้สบาย

นี่เป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ตกเอาเสียเลย!

เซี่ยเหยียนใช้พลังจากคันศรวิเศษนั้นไหวได้เยี่ยงไร?

เรื่องนี้เกินกว่าความรู้ของเขาไปอย่างสิ้นเชิง!

“หลี่จิ่วเต้าย่อมต้องน่ากลัวกว่านี้เป็นแน่!”

วิญญาณของเขาสั่นระรัวเมื่อนึกถึงหลี่จิ่วเต้า เซี่ยเหยียนยังน่าพรั่นพรึงปานนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลี่จิ่วเต้า!

คันศรในมือเซี่ยเหยียนเป็นของขวัญจากหลี่จิ่วเต้า

สิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้เกี่ยวกับหลี่จิ่วเต้าคงเกิดข้อผิดพลาดร้ายแรง!

ในการคาดการณ์ของเขา หลี่จิ่วเต้ามิใช่นักบุญ มีระดับพลังต่ำกว่าขอบเขตนักบุญ

ทว่าบัดนี้ดูแล้ว เขาคงจะคิดผิดมหันต์

เซี่ยเหยียนเป็นเพียงผู้ฝึกตนต่ำต้อยขอบเขตพรตเต๋า พลังในตัวกระจอกงอกง่อย…

เขาคิดว่า ที่เซี่ยเหยียนสามารถรีดเร้นพลังคันศรวิเศษซึ่งมีอานุภาพเหนือกว่าอาวุธมหาจักรพรรดินั้นได้น่าจะเกี่ยวข้องกับหลี่จิ่วเต้า

ช่วยให้ผู้ฝึกตนขอบเขตพรตเต๋าเล็ก ๆ อย่างเซี่ยเหยียนรีดเร้นพลังคันศรวิเศษที่มีอานุภาพเหนือกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิ หลี่จิ่วเต้าย่อมต้องแข็งแกร่งเหลือคณา เกินกว่าความคาดหมายของเขาไปมาก!

“เฮ้อ ข้าหมายหัวคนใหญ่คนโตแสนสยองเช่นกัน!”

เขาถอนใจหนักหน่วง สำนึกเสียใจและนึกกลัวอย่างยิ่งยวด

ยังดีที่สุดท้ายเขาหนีมาได้

พ้นครั้งนี้ไป เขามิกล้าหมายหัวหลี่จิ่วเต้าอีก!

“จากนี้ไปต้องรอบคอบให้มาก รอจนได้เปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์ก่อน ข้าต้องรีบหาทางหล่อวิญญาณนักบุญ และกายาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นใหม่ ก่อนนั้น ข้าจำต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว!”

เขาเอ่ย “จะหาคนนิสัยเช่นหนิงเจี๋ยอีกไม่ได้ ต้องหาคนนิสัยซื่อสัตย์หน่อย”

ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะหนิงเจี๋ย หากมิใช่หนิงเจี๋ย ตอนนี้เขาคงไม่อยู่ในสภาพน่าเวทนาเยี่ยงนี้!

“ศพของมหาจักรพรรดิมีขุมสมบัติมหาศาล ตอนนี้ต้องยังไม่เน่าเปื่อยแน่ ๆ ไว้ข้าหล่อวิญญาณนักบุญและกายาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นใหม่ได้เมื่อใด อย่างไรข้าก็ต้องชิงศพมหาจักรพรรดิร่างนั้นมาอีกครั้ง!”

เขาเอ่ยต่อ ยังไม่ลืมเลือนศพมหาจักรพรรดิ และยังคิดถึงศพมหาจักรพรรดิอยู่

ขณะที่กำลังขบคิดเรื่องเหล่านี้ ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนตรงก้น

เขาหันไปมอง

แม่เจ้า!

ธนูดอกหนึ่ง!

หลิงเซิ่งตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างในบัดดล ตรงก้นหมูของเขามีธนูดอกหนึ่งปักอยู่!

เขาในตอนนี้หวาดกลัวต่อธนูยิ่ง ศรที่เซี่ยเหยียนยิงมานั้นสร้างปมในใจให้เขาร้ายแรง

ธนูดอกหนึ่งปักอยู่ที่ก้น เขาไม่มีเวลาคิดอันใดไปมากกว่านี้ นึกเพียงว่าเซี่ยเหยียนไล่ตามมา ก็กลัวจนวิ่งหนีอุตลุด!

พรวด!

เวลานั้นเอง ธนูอีกดอกพุ่งเข้ามา ปักเข้าที่ขาของเขา ร่างหมูของหลิงเซิ่งล้มตึงลงกับพื้น คิดจะหนียังหนีไม่ได้!

“ฮ่า ๆ หมูป่าตัวนี้อ้วนดีจริง”

“หมูป่าตัวอ้วนขนาดนี้ขายได้ราคาดีแน่!”

จากนั้น หลิงเซิ่งได้ยินเสียงคนคุยกันหลายเสียง

เขาหันไปมองแล้วนึกฉุนขึ้นมาทันที

หาใช่เซี่ยเหยียนที่ไล่ตามเข้ามาไม่ เป็นเพียงปุถุชนไม่กี่คนที่เห็นเขาเป็นเหยื่อ!

ไอ้บัดซบ เมื่อพยัคฆ์ตกที่นั่งลำบาก แม้แต่สุนัขยังรังแกได้!

ลำพังปุถุชนไม่กี่คนยังบังอาจทำกับเขาเยี่ยงนี้!

นึกถึงว่าเมื่อครู่เขากลัวจนหัวหดเพราะนายพรานปุถุชนสามสี่คนนี้แล้วแทบกลั้นความโกรธไว้ไม่ไหว

ทว่าโกรธก็ส่วนโกรธ บัดนี้เขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

พลังทั้งหมดที่เหลือของเขาล้วนใช่ไปกับการหล่อวิญญาณนักบุญขึ้นใหม่ เขาในตอนนี้อ่อนแออย่างมาก อย่าว่าแต่ฆ่าปุถุชนไม่กี่คนนี้เลย แม้กระทั่งส่งเสียงเป็นภาษามนุษย์ยังทำไม่ได้ เสียงที่เปล่งออกมาล้วนเป็นเสียง ‘อี๊ดอู๊ด’ ตามฉบับเสียงหมู

เวรเอ๊ย!

นักบุญผู้นี้โมโหนัก!

ข้าผู้เป็นนักบุญวันหนึ่งต้องมาร้องเหมือนหมู!

หลิงเซิ่งโกรธเกรี้ยวเหลือแสน อัปยศ อัปยศอย่างยิ่ง!

“ราคาหมูเป็น ๆ สูงกว่า มัดไว้แล้วนำกลับไปขายในเมือง!”

“ได้เลย”

นายพรานทั้งหลายปราดเปรียวคล่องแคล่ว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มัดหมูป่าสำเร็จ แล้วแบกกลับเมืองชิงซาน

หลิงเซิ่งมิได้หนีไปไกลนัก เขาหนีมาถึงเนินเขาเขียว นายพรานสามสี่คนนี้คือ นายพรานที่มาล่าสัตว์บนเนินเขาเขียว

“ถ้าถูกจับขายไปต้องพบชะตากรรมโดนเชือดแน่ ไม่ได้การ! ข้าต้องเร่งทำเวลา”

หลิงเซิ่งมิกล้าลังเล ฝึกฝนอย่างรวดเร็ว หมายจะฟื้นพลังขึ้นมาสักนิดหน่อยก่อนถูกเชือด เขาจักได้แยกจากร่างหมู ไปหาร่างอื่นสิงสู่

หากหมูป่าตาย เขาเองก็ไม่รอด!

“คุณชายอยู่หรือไม่”

เวลานั้น เซี่ยเหยียนมาถึงร้านของท่านเซียน พร้อมเดินเข้าไปในลานเล็กของท่านเซียน

“เอ๊ะ แม่นางเซี่ยเหยียนมาหรือนี่!”

ภายในลาน ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเห็นเซี่ยเหยียน จึงเอ่ยทักยิ้ม ๆ “แม่นางเซี่ยเหยียนวาสนาดียิ่ง มาได้พอดี มีลาภปากอีกแล้ว”

“สวัสดี แม่นางเซี่ยเหยียน!”

สือเฟิงก็อยู่ จึงกล่าวทักทายเซี่ยเหยียน

“คุณชายไม่อยู่หรือ”

เซี่ยเหยียนถาม

“ไม่อยู่ คุณชายเพิ่งออกไป เห็นว่าจะไปซื้อเนื้อ แม่นางเซี่ยเหยียนมาได้เวลาพอดี ประเดี๋ยวคุณชายกลับมาก็กินข้าวกันได้แล้ว”

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าวยิ้ม ๆ

ท่านเซียนขอให้เขากับสือเฟิงอยู่กินข้าวที่บ้าน เนื้อในบ้านไม่พอเท่าใด ท่านเซียนจึงบอกว่าจะไปซื้อเนื้อ ให้เขากับสือเฟิงรออยู่ที่บ้าน

“ข้าจะไปหาคุณชาย!”

เซี่ยเหยียนพูดจบก็รีบร้อนออกจากลานเล็ก

นางกลัวเหลือเกินว่าหลิงเซิ่งอะไรนั่นจะไปรบกวนท่านเซียน หากเป็นเช่นนั้น ความผิดของนางนับว่าใหญ่หลวงยิ่ง

“แม่นางเซี่ยเหยียนเปี่ยมด้วยบุญวาสนาจริง เป็นที่ชื่นชอบของคุณชายอย่างมาก!”

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมองแผ่นหลังที่จากไปของเซี่ยเหยียน แล้วเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ

“ใช่แล้ว!”

สือเฟิงเองก็สะท้อนใจอย่างมากเช่นกัน หากกล่าวถึงผู้มีวาสนา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเซี่ยเหยียนนั้นมีวาสนาที่สุด ได้อยู่ข้างกายท่านเซียนเสมอ

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท