เรื่องในราชสำนักยังไม่แพร่กระจายออกไป
สำหรับสามัญชนธรรมดาแล้ว เรื่องการกลับเมืองของแม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อันใด อย่างน้อยก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
สำหรับบัณฑิตส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้สนใจนัก โดยเฉพาะบัณฑิตสามัญชน ระยะนี้ล้วนกำลังยุ่งกับเรื่องใหญ่ของตนเอง
ภายในหอไจซิง มีคนเข้าออกมากมาย กิจการดีขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างมาก อีกทั้งมีบัณฑิตจำนวนมากขึ้น ภายในนั้นมีบัณฑิตจำนวนมากที่แต่งกายเหมือนไม่สามารถกินดื่มในหอไจซิงได้มากนัก…หอไจซิงและหอเหยาเย่ว์แข่งขันกันมานานหลายปี ล้วนเป็นหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่โออ่าที่สุดในเมืองหลวง
แต่ผ่านการประลองของบัณฑิตครั้งนี้ เจ้าของโรงเตี๊ยม ตัดสินใจให้เรื่องยิ่งใหญ่ในครั้งนี้อยู่เคียงคู่กับหอไจซิง เสียดายอย่างมากที่ไม่อาจรองรับบัณฑิตชนชั้นสูงเหมือนดั่งหอเหยาเย่ว์ ผู้ที่ผ่านไปมาล้วนมีฐานะร่ำรวยหรือมีฐานะสูงส่ง
“หากมีการประลองเช่นนี้ในทุกปีเล่า?” เหล่าเจ้าของโรงเตี๊ยมต่างครุ่นคิด “ครานี้เพียงคราเดียวก็คัดเลือกบัณฑิตสามัญชนออกมาได้ถึงสิบสามคน อนาคตรุ่งโรจน์ หากแต่ละปีมีการคัดเลือกออกมา เช่นนั้นเมื่อกาลเวลาผ่านไป ผู้มีเกียรติที่ออกจากหอไจซิงของพวกเรายิ่งมากขึ้น หอไจซิงของพวกเราย่อมต้องมีอนาคตรุ่งโรจน์”
เหล่าเจ้าของโรงเตี๊ยมต่างอยากหัวเราะ “จะมีการประลองเช่นนี้ทุกปีได้อย่างไร เฉินตันจูคงไม่อาจหาเรื่องกั๋วจื่อเจี้ยนทุกปีกระมัง”
อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มในปัจจุบัน การกระทำเช่นนี้มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย แม้ว่าจะสูญเงินบางส่วน แต่ความนิยมและชื่อเสียงที่ได้รับกลับมามีมากกว่า สำหรับอนาคต รออีกสองหรือสามปี เรื่องนี้ก็จะจางหาย จากนั้นจึงวางแผนระยะยาวย่อมได้
ดังนั้นหอไจซิงจึงจัดตั้งเวทีหนึ่งขึ้น เรียนเชิญอาจารย์หยูที่มีชื่อเสียงมาออกข้อสอบ ตราบใดที่มีบัณฑิตสามารถเขียนบทความชั้นดีส่งขึ้นมาได้ ย่อมสามารถมารับอาหารและเครื่องดื่มไปได้โดยไม่เสียเงิน
ซึ่งการกระทำนี้ช่วยให้เหล่าบัณฑิตสามัญชนที่ไร้เงินก็สามารถเดินทางมาจัดงานเลี้ยงที่หอไจซิงได้ อีกทั้งยังน่าอิจฉากว่าการจัดงานเลี้ยงอย่างที่ต้องเสียเงิน
ในช่วงเวลาหนึ่ง เหล่าบัณฑิตต่างหลั่งไหลเข้ามา คนอื่นต่างก็อยากมาดูบทความของเหล่าบัณฑิต สัมผัสกับกลิ่นอายของความสุนทรี ภายในหอไจซิงเต็มไปด้วยแขกมากมาย มีคนจำนวนมากต้องจองล่วงหน้าหากต้องการเดินทางมาทานอาหาร
กลุ่มบัณฑิตหนึ่งที่มีทั้งคนสวมเสื้อผ้าเก่าและเสื้อผ้าใหม่เดินเข้ามา เด็กต้อนรับแขกในร้านเดิมทีต้องการบอกว่าไม่มีที่นั่งแล้ว หากต้องการเขียนบทกวี ต้องจองอีกสามวันให้หลัง แต่เมื่อเดินเข้าใกล้ เขาได้เห็นชายหน้ายาว ผิวสีเหลือง คิ้วน้อยผู้หนึ่ง…
“คุณชายพัน” เหล่าเด็กต้อนรับในร้านต่างเดินยิ้มเข้ามา ทำท่าเชิญ “ห้องของท่านเตรียมไว้แล้วขอรับ”
เจ้าของโรงเตี๊ยมเดินออกมาทักทายด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายพันไม่ได้มาหลายวันแล้วนะขอรับ”
พันหยงคำนับตอบพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้ข้ายุ่งเล็กน้อย การบ้านก็มีมาก” ก่อนจะถาม “ห้องที่ใหญ่ที่สุดหรือไม่”
เวลานี้บัณฑิตที่ทั้งขี้เหร่ทั้งยากจน ร่อนเร่พเนจรไปทั่วคนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาเป็นบัณฑิตที่ฮ่องเต้กำหนด อีกทั้งเป็นศิษย์ภายใต้สวีลั่วจือ ถึงแม้ในเวลานี้ยังไม่ได้รับตำแหน่ง แต่ตำแหน่งขุนนางรองจากระดับหกเป็นต้นมามีให้เขาเลือกมากมาย อีกทั้งเขายังสามารถสนทนากับองค์ชายสามได้…
เจ้าของโรงเตี๊ยมเป็นคนนำทางไปส่งพันหยงและพรรคพวกไปส่งที่ห้องส่วนตัวที่สูงและใหญ่ที่สุด ทุกวันนี้งานเลี้ยงของพันหยงไม่ได้เชิญตระกูลชนชั้นสูง หากแต่เป็นสหายที่ร่ำเรียนอย่างยากลำบากมาพร้อมกับเขา
หลังจากที่พันหยงได้มีอนาคตของตนเองแล้ว เขาไม่ได้ลืมสหายเหล่านี้ ทุกครั้งที่มีการไปมาหาสู่กับเหล่าชนชั้นสูง เขามักจะพยายามแนะนำเหล่าสหายของตนเองอย่างเต็มที่ อาศัยชื่อเสียงของบัณฑิตสามัญชนที่โด่งดังในเวลานี้ ทำให้เหล่าชนชั้นสูงยินยอมคบหา ดังนั้นเหล่าสหายล้วนมีอนาคตที่ไม่เลว มีคนได้เข้าศึกษาในสถานศึกษาอันมีชื่อเสียง บ้างได้มีอาจารย์ที่มีชื่อเสียง บ้างได้รับการเลื่อนยศ บ้างได้รับตำแหน่งในบางที่
วันนี้จึงมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองและอำลา
ถึงแม้ว่าตอนนี้ทุกคนที่นั่งอยู่ยังคงแต่งกายยากจนไปบ้าง แต่ก็แตกต่างไปจากการเข้าเมืองหลวงในครั้งแรกอย่างสิ้นเชิงแล้ว ตอนนั้นแม้แต่อนาคตยังคงสับสน แต่เวลานี้ภายในดวงตาของทุกคนเป็นประกาย ส่องสว่างให้เห็นหนทางด้านหน้าอย่างชัดเจน
“อาโฉ่วพูดถูก” สหายคนหนึ่งทั้งดีใจทั้งเศร้าโศก “พวกเราควรเดินทางมาเมืองหลวง มาเมืองหลวงเราจึงจะมีโอกาส หากไม่ใช่เขารั้งเอาไว้ ข้าคงจากไปเพราะอดทนไม่ไหวแล้ว”
สหายอีกคนพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่าได้เรียกอาโฉ่วอีก ไม่งาม ไม่งาม”
พันหยงพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่ละอายในรูปลักษณ์และชาติกำเนิด ต่อจากนี้หากทุกคนเรียกข้าว่าอาโฉ่ว ยังคงเป็นเกียรติของข้า”
หากเป็นเช่นนั้นย่อมแสดงว่าเขาเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายแล้ว อีกทั้งจะคงอยู่ตลอดไป ฟังดูเหมือนจะเป็นคำพูดโอ้อวด แต่สำหรับพันหยงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทุกคนต่างหัวเราะและยกแก้วขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง
“อาโฉ่วพูดถูก สิ่งนี้คือโอกาสของเรา” หนึ่งในคนที่อาศัยอยู่กับพันหยงที่นอกเมืองพูดขึ้น “ทุกสิ่งล้วนเริ่มต้นขึ้นจากเสียงที่พูดว่า ข้าคือฉู่ซิวหยง ที่ด้านนอกประตูนั้น”
ไม่เพียงแต่พวกเขาที่มีความคิดเช่นนี้ คนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมีประสบการณ์แบบเดียวกัน หวนคิดถึงช่วงเวลาที่ราวกับความฝันนั้น ก่อนจะรู้สึกกลัวเล็กน้อย หากเวลานั้นปฏิเสธองค์ชายสามไป ทุกสิ่งในวันนี้คงไม่เกิดขึ้น
“เมื่อครุ่นคิดในเวลานี้ คำมั่นขององค์ชายสามในเวลานั้นถือว่าลุล่วงแล้ว” คนหนึ่งพูด
องค์ชายสามตรัสว่าพระองค์จะเชิญฝ่าบาททรงแต่งตั้งพวกเขาให้เป็นข้าราชการ
ต่อมาเมื่อถึงเวลาประกาศผล ฮ่องเต้ปรากฏตัวขึ้นจริง อีกทั้งยังเรียกพบผู้ชนะ ชื่นชมยกย่องพวกเขา นอกจากผู้ชนะแล้ว บัณฑิตสามัญชนคนอื่นที่เข้าร่วมการแข่งขันด้วยนั้น ถึงแม้ไม่ได้มีอนาคตเหมือนพันหยงทั้งสิบสามคนที่ได้รับการคัดเลือก แต่พวกเขาก็ได้รับโอกาสที่หายาก
ปัจจุบันพันหยงใกล้ชิดกับองค์ชายสาม อีกทั้งเขาประทับใจในกิริยาท่าทางของอีกฝ่ายอย่างมาก เมื่อนึกถึงความเจ็บป่วยขององค์ชายสามก็เศร้าโศก เห็นได้ชัดว่าคนที่ร่ำรวยมากเพียงใดก็ยากที่จะสมหวังในทุกสิ่ง เขายกแก้วสุราขึ้น “พวกเราดื่มร่วมกัน อวยพรให้องค์ชายสาม”
คนที่นั่งอยู่ต่างลุกขึ้นพร้อมถือแก้วในมือด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่กำลังคึกคัก ประตูถูกผลักเปิดอย่างเร่งรีบ มีคนผู้หนึ่งบุกเข้ามา
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” คนผู้นั้นตะโกน
ทุกคนต่างตกตะลึง เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นอีก
“เมื่อครู่ ราชสำนัก ต้องการผลักดันการประลองของพวกเรา ไปยังแคว้นต่างๆ” คนผู้นั้นหอบหายใจจนพูดจับใจความไม่ได้ “แต่ละแคว้นต้องจัดการประลองหนึ่งครั้ง จากนั้น คัดเลือกขุนนางจากความสามารถ…”
ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึง บางคนถือแก้วสุราไว้ในมือ บางคนยกแก้วขึ้นจนถึงริมฝีปากของพวกเขา สีหน้าของพันหยงยิ่งตกตะลึงอย่างไม่อยากเชื่อ สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปยังผู้ที่บุกเข้ามาด้วยความเงียบ
จนกระทั่งมีคนคลายมือของเขาออก เสียงแก้วสุราตกกระทบพื้นดังเพล้ง ความชะงักภายในห้องแตกละเอียดทันที
“เกิดเรื่องใดขึ้น”
“จริงหรือ”
“ทุกแคว้นแต้องมีการประลอง?”
“ทุกแคว้นต้องคัดเลือกจากความสามารถ?”
…
ก่อนที่เหล่าบัณฑิตในหอไจซิงจะรู้ข่าว ตระกูลชนชั้นสูงจำนวนมากต่างรู้แล้ว พวกเขาต่างมีสีหน้าตกตะลึง กระวนกระวายและระอา
“เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้” มีคนถามอย่างโกรธเคือง “ฝ่าบาทไม่ได้ล้มเลิกความคิดไปแล้วหรือ”
“แม่ทัพหน้ากากเหล็กถูกเหล่าขุนนางซักถามเพราะเรื่องของเฉินตันจู ก่อเรื่องขึ้นด้วยความโกรธและอับอาย เยาะเย้ยชนชั้นสูงว่าพ่ายแพ้ บังคับฝ่าบาท ฝ่าบาทต้องการปลอบประโลมแม่ทัพหน้ากากเหล็ก อีกทั้งเพื่อเกียรติยศของพวกเรา จึงตัดสินให้แต่ละแคว้นจัดการประลอง” ชายชราผู้หนึ่งพูด เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ เขาดูแก่ชรามากขึ้น ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง “เพื่อพวกเรา ฝ่าบาทมีจิตใจโอบอ้อมเช่นนี้ พวกเรายังสามารถทำสิ่งใดได้ หากไม่ประลอง พวกเราอาจถูกกล่าวหาว่ากลัว หรือไม่รู้ผิดชอบชั่วดีย่อมได้”
คนอื่นต่างมองหน้ากัน ใช่ ทำอย่างไรได้ ไม่มีทางอื่น
“เวลานี้สิ่งที่ทำได้มีเพียงควบคุมจำนวนคน” คนหนึ่งพูดอย่างเฉลียวฉลาด “ในเมืองหลวงคัดเลือกออกมาเพียงสิบสามคน เช่นนั้นในแต่ละแคว้น ควบคุมจำนวนคนเอาไว้สามถึงห้าคน เช่นนี้ย่อมไม่น่ากังวล”
คนอื่นต่างตั้งสติได้ ในเมื่อเรื่องนี้ไม่อาจห้ามได้ เช่นนั้นย่อมต้องควบคุม ดังนั้นจึงวุ่นวายขึ้น “ยังมีเวลา! อย่าให้เรื่องนี้กลายเป็นธรรมเนียม”
“ผู้ตรวจด้วย ยังมีอีกหลายวิธี รายละเอียดมากมายสามารถทำได้” พวกเขาต่างกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในชั่วขณะหนึ่ง
ชายชราที่พูดก่อนหน้านี้ไม่พูดสิ่งใดอีก เขามองดูการสนทนารอบตัว สีหน้าเศร้าโศก ก่อนจะถอนหายใจยาว พร้อมนั่งพิงลงไปด้านหลัง กลยุทธ์การคัดเลือกขุนนางจากความสามารถเป็นเพียงต้นอ่อน ดูเหมือนจะอ่อนแออย่างมาก แต่ในเมื่อมันโผล่พ้นดินออกมาแล้ว เกรงว่าไม่อาจต้านทานการเจริญเติบโตเป็นต้นไม้สูงตระหง่านของมันได้
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แม่ทัพหน้ากากเหล็ก? องค์ชายสาม ไม่ เป็นเพราะว่าเฉินตันจู!
…
งานเลี้ยงของพันหยงสิ้นสุดลง ผู้คนจำนวนมากต่างจากไปเพื่อสืบข่าวที่ละเอียดมากขึ้น เหลือเพียงพันหยงและสหายทั้งสี่ในตอนแรกนั่งอยู่ด้วยสีหน้าตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าจิตใจของคนไม่อยู่กับตัวแล้ว
“เหตุใดพวกเจ้ายังไม่ไป” พันหยงถามขึ้นหลังจากได้สติ
ทันใดนั้นจึงมีคนลุกขึ้นพรวด “ใช่ ไป ข้าต้องไป”
อีกสองคนตั้งสติได้ หัวเราะ “ไปอันใดกัน ไม่ต้องไปสืบข่าว”
ชายคนนั้นส่ายหัว “ไม่ ข้าจะกลับจวน”
คนที่เหลือต่างตะลึง “กลับจวนไปทำอันใด เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ เจ้าเพิ่งได้รับการเมตตาจากใต้เท้าอู๋ ท่านให้คำมั่นกับเจ้าว่าจะให้เจ้าไปรับตำแหน่งขุนนางในแค้วนที่เขาดูแลอยู่…”
คนผู้นั้นทำสีหน้าบ้าคลั่ง “ไม่ ข้าจะไปสอบเอง! ข้าจะกลับบ้านเกิด ไปแค้วนที่เป็นบ้านเกิดของข้า เข้าร่วมการสอบ ข้าจะใช้ความรู้ของตนเอง ข้าต้องการสอบเข้าเป็นขุนนางของราชสำนักด้วยตนเอง ข้าจะเป็นขุนนางของโอรสสวรรค์ ข้าจะต้องเท่าเทียมกับใต้เท้าอู๋”
พูดพลางพุ่งตัวออกไป
เสียสติไปแล้วหรือ คนอื่นต่างลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ พวกเขาต่างคิดจะวิ่งตามรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ แต่พันหยงกลับห้ามปราม
“ให้เขาไปเถิด” เขาพูด ภายในดวงตามีน้ำตาหลั่งไหลลงมา “สิ่งนี้เป็นเส้นทางอนาคตที่พวกเราต้องการอย่างแท้จริง สิ่งนี้ถึงจะถือว่าเป็นโชคชะตาที่กอบกุมในมือของตนเอง”
กลับไปสอบก็สามารถคัดเลือกเป็นขุนนางเช่นเดียวกัน แต่เวลานี้เขาสามารถรับตำแหน่งได้แล้ว เหตุใดต้องกระทำการให้เสียเวลา เหล่าสหายต่างครุ่นคิดอย่างผงะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของพันหยง หรือเป็นเพราะน้ำตาอันไร้สาเหตุของพันหยง พวกเขาต่างขนลุกซู่อย่างห้ามไม่อยู่
เหมือนดั่งวันที่องค์ชายสามมาเยือน
พันหยงระลึกถึงวันนั้นอีกครั้ง ราวกับได้ยินเสียงมาเยือนจากด้านนอกประตูดังขึ้น แต่ครานี้ไม่ใช่เสียงขององค์ชายสาม หากแต่เป็นเสียงของหญิงสาว
หญิงสาวผู้นั้นตะโกนขอให้เขาเปิดประตู เมื่อเปิดประตูนี้ ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไป
“นับแต่นี้ไปจะไม่ถูกจำกัดด้วยชนชั้น ใช้เพียงความรู้ย่อมสามารถเข้ากั๋วจื่อเจี้ยน ย่อมสามารถเจริญก้าวหน้า รับราชการ!”
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แต่มีอีกหลายคน หลายร้อยคนล้วนแตกต่างออกไปจากเดิมแล้ว โชคชะตาของคนจำนวนมากกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป