หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 892 เซี่ยไห่หยางโจมตี!

บทที่ 892 เซี่ยไห่หยางโจมตี!

ระวังตัวไว้ก่อนดีกว่า! ร่างของหวังเป่าเล่อที่เพิ่งโผล่มานั้นคือกายสารัตถะที่แท้จริงของชายหนุ่ม เขาไม่เชื่อใจเซี่ยไห่หยางเต็มร้อย เป็นเหตุให้ต้องเรียกใช้ร่างอวตารที่สองก่อนจะเก็บกายสารัตถะที่แท้จริงเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ

ชายหนุ่มเลือกเก็บร่างที่แท้จริงเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บแทนที่จะเอาไปซ่อนในที่ไกลๆ หากศัตรูไปค้นหาเขาในบริเวณรอบข้าง ก็จะพบร่างตัวล่อไม่ใช่ร่างจริงที่อยู่ในกระเป๋าคลังเก็บ

คล้ายๆ การนำดวงไฟสองดวงมาซ้อนกันเอาไว้ ดวงไฟดวงแรกย่อมต้องบดบังการมีอยู่ของอีกดวงเอาไว้ อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อทำถึงขนาดปล่อยสารัตถะครึ่งหนึ่งเข้าไปในร่างตัวล่อเพื่อจะได้ดูสมจริงยิ่งขึ้น แน่นอนว่า ร่างนั้นก็ต้องแข็งแกร่งเอาการเช่นกัน

แน่นอนว่า แผนของเขาไม่ใช่ว่าไร้ช่องโหว่ หากอีกฝ่ายเข้ามาดูใกล้ๆ ก็คงสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล

เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาอ่านแผนการของเขาออก หวังเป่าเล่อต้องหยิบเหรียญตราสันติออกมาเพื่อดึงความสนใจของอีกฝ่าย ชายหนุ่มหนีเพื่อจะล่อให้ผู้อาวุโสไล่ตาม จากนั้นจึงใช้วงแหวนปราณเพื่อให้ผู้อาวุโสไม่ทันได้สนใจเรื่องความสมจริงของร่างกายเขา นี่เป็นวิธีที่ชายหนุ่มแอบซ่อนร่างจริงเอาไว้ตลอดการต่อสู้ในครั้งนี้

ตามแผนการตั้งต้น หากร่างตัวล่อต้องตายในระหว่างการต่อสู้ ชายหนุ่มก็คิดไว้แล้วว่า ผู้อาวุโสต้องมาค้นดูกระเป๋าคลังเก็บของเขาแน่นอน หวังเป่าเล่อก็จะใช้โอกาสนั้นลอบโจมตีผู้อาวุโสฝ่ายขวาอย่างฉับพลัน

ความแตกต่างเรื่องระดับปราณของทั้งคู่ทำให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถสังหารผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้ด้วยการลอบโจมตีอย่างฉับพลันของเขา ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็หวังเพียงจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเพื่อสร้างโอกาสหลบหนี เขาจะได้มีเวลามากขึ้น!

นี่คือแผนตั้งต้นของหวังเป่าเล่อ ต่อให้เหรียญตราสันติของเซี่ยไห่หยางไม่ทำงานก็ไม่ใช่ปัญหา ชายหนุ่มยังสร้างสถานการณ์ให้ตัวเองได้เปรียบได้อยู่ดี

แต่การเตรียมการเหล่านั้นไม่มีความหมายอีกต่อไป

หลังปรากฏตัวออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น ร่างตัวล่อสลายกลายเป็นหมอกและไหลเข้ารวมกับกายสารัตถะของเขา สิ่งของต่างๆ ที่ชายหนุ่มเก็บไว้ในกระเป๋าคลังเก็บลอยออกมาสวมใส่ให้เขาโดยอัตโนมัติ

“เซี่ยไห่หยาง ไหนๆ เจ้าก็วางแผนจะแสดงความสามารถให้ข้าดูอยู่แล้ว ข้าจะรอฟังข่าวดีก็แล้วกัน!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง เขานั่งลงและรอคอยอย่างเงียบงัน

ชายหนุ่มไม่ต้องรอนานนัก…ทันทีที่เขาทรุดตัวลงนั่ง ผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่ออกตัวมุ่งหน้าไปยังอวกาศก็เพิ่งกลับมาถึงดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ก่อนที่ชายชราจะได้ติดต่อกับปรมาจารย์ผ่านพลังของดารานิรันดร์ประดิษฐ์ คลื่นพลังการเคลื่อนย้ายจำนวนมากที่เขาไม่ได้เป็นคนสั่งก็ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

ผู้อาวุโสฝ่ายขวามีสีหน้าตื่นตกใจ ก่อนจะล่าถอยอย่างรวดเร็ว มีความระแวดระวังและหวาดกลัวปรากฏขึ้นในแววตา ความระแวดระวังนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตะลึงในอึดใจต่อมา ชายชราเฝ้ามองขณะที่คลื่นพลังเคลื่อนย้ายสั่นกระเพื่อมอยู่ในความว่างเปล่าตรงหน้า บุรุษผู้หนึ่งสืบเท้าออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายช้าๆ

ชายคนนั้นมีผมสั้นและยังอยู่ในวัยเยาว์ ตัวสูงมาตรฐาน ผมบนศีรษะนั้นเห็นได้ชัดว่าถูกจัดแต่งด้วยน้ำมันจำนวนมาก เพราะทรงผมนั้นสะท้อนแสงเจิดจรัสเสียจนดูเหมือนเป็นที่มาของแสงเสียเอง มันดึงดูดสายตาทุกคู่ให้จับจ้องไปอย่างสุดจะควบคุม

ชายหนุ่มจ้องมองไปรอบๆ หลังเดินออกมาจากประตูเคลื่อนย้าย จนกระทั่งสายตาของเขามาหยุดอยู่ที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวา ที่ตอนนี้มีสีหน้าตื่นกลัวและตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด

“สวัสดี!”

“เจ้าเป็นใคร” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาเริ่มหายใจรัวเร็ว ชายชราสัมผัสได้ว่าชายผู้นั้นอยู่เพียงขั้นบำรุงชีพจร ยังไม่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นด้วยซ้ำไป แต่ชายชราก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว ไม่สมเหตุสมผลสักนิดที่ผู้ฝึกตนขั้นบำรุงชีพจรจะเคลื่อนย้ายตนเองได้

ผู้อาวุโสเชื่อว่าตนรู้ว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงมีรูปลักษณ์เช่นนั้น แต่เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่กล้าที่จะเชื่อตนเอง

เซี่ยไห่หยางดูเหมือนจะมองไม่เห็นความกลัวในแววตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ชายหนุ่มยิ้มออกมาน้อยๆ และเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฟังดูราวกับเป็นนักธุรกิจที่กำลังพยายามขายสินค้า

“เซี่ยไห่หยางพร้อมให้บริการ สหายร่วมสำนักเต๋า ท่านอยากมาเป็นลูกค้าคนสำคัญของตระกูลเซี่ยหรือไม่ ท่านแค่จ่ายค่าธรรมเนียมก็สามารถมาเข้าร่วมได้ทันที ไม่สำคัญเลยว่าท่านจะประสบความยากลำบากใดๆ ในอนาคต ตระกูลเซี่ยจะอยู่เคียงท่านตราบใดที่ท่านมีเงินจ่าย”

“ลูกค้าคนสำคัญหรือ” สีหน้าของผู้อาวุโสฝ่ายขวาซีดขาวเมื่อได้ยินชื่อตระกูลเซี่ย ความกลัวในแววตาทวีความรุนแรงขึ้น เขาถึงกับซวนเซถอยหลังไปหลายก้าว แม้จะดูเหมือนเป็นการถอยตามสัญชาตญาณ แต่อันที่จริงแล้ว ชายชรากำลังสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือขวาที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลัง พร้อมๆ กับพยายามออกคำสั่งไปยังดารานิรันดร์ประดิษฐ์

“ใช่แล้ว ค่าธรรมเนียมถูกๆ แค่ผลึกสีชาดหนึ่งหมื่นชิ้นเท่านั้น” เซี่ยไห่หยางพูดด้วยรอยยิ้ม

“ข้าขอเวลาไปรวบรวมเงินก่อนได้หรือไม่…” ผู้อาวุโสฝ่ายขวามีสีหน้าบูดเบี้ยว ก่อนจะเอ่ยถามช้าๆ

“แปลว่าท่านไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมได้ในตอนนี้สินะ ถ้าเช่นนั้นก็ง่ายหน่อย ถ้าจะว่ากับตามตรง ข้าเองก็ไม่ได้ชอบกฎของตระกูลเท่าใดนัก เห็นได้ชัดว่าท่านกำลังเผชิญกับตัวปัญหา แต่ท่านก็ยังต้องอธิบายการกระทำของตนเองอยู่นั่น” จนถึงเมื่อครู่ สีหน้าของเซี่ยไห่หยางยังอบอุ่นและยิ้มแย้มอยู่ แต่เมื่อพูดจบ นัยน์ตาของชายหนุ่มก็ส่องประกายอันตราย แววตาของเขานั้นราวกับเป็นกริช ทั้งส่องประกายและแหลมคม

“ท่านไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อเข้าเป็นลูกค้าคนสำคัญของตระกูลเซี่ยได้ แต่ตอนที่ท่านเห็นเหรียญตราสันติของตระกูลเซี่ย ท่านก็ยังจู่โจมผู้ถือครองเหรียญตราแทนที่จะถอยออกไปหนึ่งร้อยปีแสง”

ถ้อยคำเหล่านั้นราวกับเป็นฟ้าฟาดลงกลางใจ ใบหน้าของผู้อาวุโสซีดเผือดไร้สีเลือดในทันที ชายชราถอยหลังอีกครั้งหนึ่ง มือขวาพลางขยับสร้างผนึกฝ่ามืออย่างเร่งรีบขณะที่ความกลัวเกาะกุมจิตใจ เขาพยายามอธิบายตนเอง

“ข้า…”

“ท่านมีเวลาสองชั่วโมงเพื่อตระเตรียมพิธีศพของตนเอง สองชั่วโมงหลังจากนี้ จงฆ่าตัวตายเสีย แล้วจัดแจงให้ใครสักคนส่งศีรษะของท่านมาให้ตระกูลเซี่ยด้วย” เซี่ยไห่หยางพูดอย่างเยือกเย็น เมินความพยายามจะแก้ตัวของผู้อาวุโสฝ่ายขวาไปโดยสิ้นเชิง เสียงของเซี่ยไห่หยางทั้งหนักแน่นและทรงอำนาจจนฟังดูเหมือนเป็นประกาศิต จากนั้นชายหนุ่มจึงกลับตัวหันหลังไปยังความว่างเปล่า เตรียมจะจากไป

คำพูดของชายหนุ่มเปรียบเสมือนสายฟ้านับล้านที่ฟาดลงบนร่างของผู้อาวุโสฝ่ายขวา จิตใจของชายชราสั่นไหวไปด้วยความตื่นตระหนกและตื้อชาขณะที่ร่างกายเขาสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ดวงตาทั้งสองแดงก่ำขึ้นมาทันที ความเกลียดชังที่เขาสัมผัสระหว่างการเผชิญหน้ากับหวังเป่าเล่อและความรู้สึกจนมุมบีบคั้นจนเขาใกล้จะเสียสติ ขณะนี้ผู้อาวุโสใกล้จะเป็นบ้าเต็มทน

ความบ้าคลั่งและกระหายเลือดฉาบเคลือบอยู่บนแววตาของชายชรา เขาเชื่อมต่อกับดารานิรันดร์ประดิษฐ์สำเร็จอีกครั้งและสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นมาคนเดียว ระดับปราณที่ต่ำเตี้ยของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่การอำพรางแต่เป็นของจริง การค้นพบนี้ทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวารู้สึกมั่นใจขึ้น อีกอย่างชายชราก็ยังรู้ด้วยว่า…เมื่อตระกูลเซี่ยมาเยือน เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตายเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้น…ผู้อาวุโสก็จะขอลองสู้เพื่อเอาชีวิตรอดสักครั้ง!

การเป็นนักโทษหนีคดีย่อมดีกว่าถูกส่งไปตาย!

จิตสังหารส่องประกายอยู่ในแววตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวา เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชายชราก็คำรามออกมา

“เจ้าจะบีบคั้นข้ามากเกินไปแล้ว!” เมื่อพูดจบ ชายชราก็ยกมือขวาขึ้นชี้ ดารานิรันดร์ประดิษฐ์สั่นไหวอย่างรุนแรง พลังอันมหาศาลไหลทะลักเข้าท่วมอากาศ ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาเซี่ยไห่หยาง พลังโจมตีนั้นรุนแรงราวกับจะสามารถทำลายสรรพชีวิตที่ขวางหน้ามันได้ทั้งหมด สลายทั้งกายเนื้อและวิญญาณให้เหลือเพียงฝุ่นผง

เซี่ยไห่หยางไม่สะทกสะท้านกับการจู่โจมที่พุ่งเข้ามา ชายหนุ่มไม่ได้หันกลับมามองด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่กระแอมกระไอเบาๆ จากนั้นหัตถ์มายาก็โผล่ออกมาจากแผ่นหลังก่อนชี้ไปยังผู้อาวุโสฝ่ายขวา

นัยน์ตาของชายชราเบิกโพลง เขาตัวสั่น ก่อนที่ความบ้าคลั่งและจิตสังหารในแววตาของผู้อาวุโสจะจางหาย ก่อนที่สติปัญญาของเขาจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างกายของเขา…ก็เริ่มแหลกสลาย ภายในพริบตาเดียว ร่างของผู้อาวุโสก็กร่อนจนกลายเป็นเศษฝุ่น ดวงวิญญาณเทพของเขาสลายตามกายเนื้อไปด้วย!

ชายชราไม่ได้ถูกสังหารด้วยพลังจากภายนอก กลับกัน มันเป็นเพราะดาวเคราะห์ภายในกายของเขาแตกสลาย ผลลัพธ์คือแรงสะท้อนกลับอันรุนแรง และเพราะเหตุนั้น ดาวเคราะห์ภายในกายจึงกลืนกินร่างกายของตนเอง ไม่มีทางเลยที่ชายชราจะหลบเลี่ยงหรือรับมือกับแรงสะท้อนกลับเช่นนี้ได้!

การตายของผู้อาวุโสทำให้คำสั่งที่เขาออกไว้ตอนแรกเสื่อมกำลัง ผนึกที่ครอบอารยธรรมวิญญาณโลกเอาไว้อ่อนแรงลงก่อนจะหายวับไปทันที

ขณะที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น เซี่ยไห่หยางไม่ได้หันศีรษะกลับไปมองแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยังคงเดินต่อไปในความว่างเปล่า ก่อนจะพูดออกมาแผ่วเบาเมื่อประตูเคลื่อนย้ายเปิดขึ้น

“ท่านคงเบื่อการมีชีวิตมากแล้วกระมัง ถึงได้ยอมทิ้งกระทั่งสองชั่วโมงสุดท้ายแห่งชีวิตตน”

เมื่อผู้อาวุโสฝ่ายขวาตายและผนึกรอบอารยธรรมวิญญาณโลกจางหาย หวังเป่าเล่อ ผู้ที่นั่งอยู่ภายในดวงไฟของตนเองก็ลืมตาโพลงขึ้น ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบนอารยธรรมวิญญาณโลก นัยน์ตาของเขาส่องประกาย ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนและโบกมือเพื่อปิดดวงไฟจากเหรียญตราสันติเสีย หวังเป่าเล่อจ้องออกไปยังจักรวาลด้วยดวงตาที่ส่องประกายเจิดจ้า

“ผนึกหายไปแล้ว…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง เสียงอันอบอุ่นของเซี่ยไห่หยางดังออกมาจากเหรียญตราสันติแทบจะพร้อมกัน

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ปัญหาของเจ้าคลี่คลายแล้ว ข้าสัญญากับเจ้าไว้ไม่ใช่หรือว่าจะปลดผนึกให้ภายในสองสัปดาห์ เป็นอย่างไรเล่า ข้าไม่ได้ทำให้เจ้าผิดหวังใช่หรือไม่”

“ผู้อาวุโสฝ่ายขวาเล่า” หวังเป่าเล่อหรี่ตาและถามออกไปหลังจากที่เงียบไปชั่วอึดใจ เซี่ยไห่หยางเหมือนว่าจะรอฟังคำถามนั้นอยู่แล้ว เขาหัวเราะก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“เขาฆ่าตัวตายไปแล้ว”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท