คนที่อยู่ในเรือนเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าก็ไม่สู้ดีเท่าไรนัก ป้ารับใช้ทั้งสองพากันเดินเข้ามาในห้องชั้นใน
เมื่อเห็นเฉียวเหลียนฝัง นายและบ่าวที่คนหนึ่งนอนคนหนึ่งยืนอยู่นั้น ป้าเถียนก็ได้พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “ที่แท้อี๋เหนียงตื่นมาตั้งนานแล้ว” นางพูดขึ้นราวกับว่าไม่รู้ตัวว่าได้พูดสิ่งที่ไม่เหมาะสมออกมา สีหน้าไม่สะทกสะท้าน จากนั้นก็ได้เห็นว่าบนเก้าอี้มีถ้วยใบเล็กที่มีส่วนผสมสีน้ำตาลคล้ายยาน้ำเหลืออยู่ข้างใน ก็รู้ว่าซิ่วหยวนได้ป้อนยาให้กับเฉียวเหลียนฝังเรียบร้อยแล้ว นางจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ที่พวกบ่าวรีบกลับมาก็เพราะเป็นห่วงยาของอี๋เหนียง หากรู้แต่เนิ่นๆ ก็คงจะอยู่ที่นั่นต่ออีกสักหน่อยแล้วเจ้าค่ะ!”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วก็โมโห กำลังคิดอยากจะพูดประชดอ้อมๆ สักหน่อย แต่ป้าวั่นที่อยู่ข้างๆ กลับยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าน่ะได้ไปสมใจแล้ว ไม่รู้จักขอบคุณแล้วยังมาพูดจาเช่นนี้อีก หากไม่ใช่เพราะต้องรีบกลับมาให้ทันเวลาทานยาของเฉียวอี๋เหนียง เกรงว่าคงจะไม่ได้เสียเหรียญทองแดงไปแค่สองพวงหรอกกระมัง”
“ใครบอกเล่า” ป้าเถียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก “เหวินอี๋เหนียงมีเซียนจ๋ายต่งจื้อ[1]ที่ศักดิ์สิทธิ์เลื่องชื่ออยู่ด้วย หากเล่นต่ออีกสักหน่อย มันก็ไม่แน่หรอกว่าใครจะเป็นคนชนะ”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ
ปินจวี๋แต่งงานออกเรือน…เหวินเซียงเหลียนก็ไปด้วยหรือ
ในใจของนางมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องนี้ จึงไม่ได้สนใจเรื่องที่ป้ารับใช้ทั้งสองเสียมารยาท
นางพูดขึ้นเสียงเบาว่า “เหวินอี๋เหนียงไปที่ตรอกจินอวี๋ด้วยหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” ป้าเถียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้มีแค่เหวินอี๋เหนียงที่ไปด้วยนะเจ้าคะ แม้แต่ป้าตู้ก็ไป บ่าวได้ยินจู๋เซียงบอกว่าฮูหยินได้เชิญนางไปช่วยหวีผมเจ้าสาวให้ปินจวี๋ด้วย!” ใบหน้าปรากฏแววตาที่อิจฉาเล็กน้อย “หากตอนที่บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของบ่าวแต่งงานออกเรือนก็สามารถเชิญป้าตู้ให้มาช่วยหวีผมเจ้าสาวได้ก็คงจะดีไม่น้อย!”
ในใจของเฉียวเหลียนฝังรู้สึกสับสนงุนงงไปหมด
ป้าตู้ก็ไปด้วย เช่นนั้นไท่ฮูหยิน…
สีหน้าของนางเคร่งขรึมลงไปชั่วขณะ
จากนั้นก็ได้ยินป้าเถียนที่อยู่ข้างๆ เล่าต่อไปว่า “…ฉินอี๋เหนียงไม่ได้มา แต่ก็ได้ให้เงินสามสิบตำลึงให้กับปินจวี๋ไว้เป็นเงินก้นถุงเหมือนเช่นเหวินอี๋เหนียง ฟังจากน้ำเสียงของเหวินอี๋เหนียงแล้ว ในตอนแรกพวกนางตั้งใจจะให้มากกว่านี้ แต่เพราะไท่ฮูหยินให้เงินปินจวี๋สี่สิบตำลึงก่อนหน้านี้แล้ว จึงไม่ควรเกินหน้าเกินตา ดังนั้นจึงให้เพียงสามสิบตำลึง ฮูหยินเองก็ไม่อยากจะเกินหน้าเกินตา จึงให้สามสิบหกตำลึงเจ้าค่ะ”
เมื่อเฉียวเหลียนฝังสองนายบ่าวได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
ทั้งสองหันมาสบตากัน สีหน้าเคร่งขรึมอย่างไม่ได้นัดหมาย
ป้าวั่นก็ได้พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เฉียวอี๋เหนียง บ่าวว่าท่านเองก็ควรไปร่วมสนุกกับพวกเขาดีหรือไม่เจ้าคะ! แม้แต่อี้อี๋เหนียงก็ได้ให้เงินไปยี่สิบตำลึง เหลือท่านคนเดียวเช่นนี้ คงดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก!”
ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่ซิ่วหยวนรู้ดีที่สุด เฉียวเหลียนฝังเหลือเงินใช้จ่ายส่วนตัวเพียงยี่สิบตำลึงเท่านั้น อย่าว่าแต่จะควักเงินส่วนนี้ออกมาไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าจะควักออกมาได้ ก็ต้องนำเงินส่วนนี้ไปสร้างหน้าสร้างตาให้กับสืออีเหนียง เรื่องเช่นนี้นางคงจะไม่ยอมทำอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางจึงยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “ทุกวันนี้อี๋เหนียงของข้าถูกกักบริเวณ…จะออกไปข้างนอกได้อย่างไรกันเล่า! หากท่านโหวเกิดรู้เรื่องเข้า…” พูดจบ นางก็แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนและลำบากใจออกมา
“ไม่ต้องกังวลใจไปเจ้าค่ะ” ป้าวั่นได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “มิเช่นนั้น เหวินอี๋เหนียงก็คงจะไม่ไปที่ตรอกจินอวี๋หรอกเจ้าค่ะ!” คำพูดบอกเป็นนัยว่าที่เหวินอี๋เหนียงออกจวนได้ก็เพราะได้รับอนุญาตจากสวีลิ่งอี๋แล้ว
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วก็ชะงักไปชั่วขณะ
ซิ่วหยวนไม่กล้าที่จะตัดสินใจแทน จึงจ้องมองไปยังเฉียวเหลียนฝังด้วยสีหน้าที่ลังเล
“ช่างเถิด!” ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉียวเหลียนฝังก็ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “ข้าเป็นคนที่มีความผิด งดออกไปยุ่มย่ามข้างนอกจะดีกว่า!” พูดจบนางก็หลับตาลงช้าๆ ด้วยสีหน้าที่อ่อนเพลีย ถือเป็นการปฏิเสธคำเสนอของป้าทั้งสองอย่างสุภาพ
ป้าวั่นยังคงไม่ตายใจ นางจึงเรียกขึ้นว่า “เฉียวอี๋เหนียง” ขณะที่กำลังจะโน้มน้าวอยู่นั้น ป้าเถียนก็ได้เข้ามาดึงแขนเสื้อของป้าวั่นไว้ “ในเมื่ออี๋เหนียงเหนื่อยแล้ว พวกเราก็ถอยออกไปก่อนเถอะ!” พูดจบก็ได้หันไปส่งสายตาให้กับป้าวั่น ป้าวั่นจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่เดินเข้าไปเก็บถ้วยยา ย่อตัวทำความเคารพแล้วถอยออกจากห้องไปพร้อมกับป้าเถียน
เมื่อทั้งคู่ออกไปแล้ว เฉียวเหลียนฝังก็ลืมตาขึ้นมาทันที
นางโกรธจนหน้าดำหน้าแดงพลางกัดฟันกรอดด้วยความโมโห
“คุณหนู!” ซิ่วหยวนจ้องนางด้วยความกังวลใจ
“ข้าไม่เป็นอะไร!” เฉียวเหลียนฝังพูดกลบเกลื่อนไปว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจข้า ข้านอนพักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น!”
ซิ่วหยวนไม่กล้าพูดอะไรมาก นางเข้าไปช่วยประคองเฉียวเหลียนฝังเอนตัวลงนอนช้าๆ อย่างเบามือ เสร็จแล้วก็หย่อนตัวนั่งเฝ้าเฉียวเหลียนฝังพลางปักผ้าบนเก้าอี้ไม้อยู่ข้างเตียง
เฉียวเหลียนฝังหลับไม่ค่อยสนิทเท่าไรนัก นางคอยพลิกตัวไปมาไม่หยุด
ซิ่วหยวนรู้ว่านางทรมานใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจนางอย่างไรดี
เป็นอี๋เหนียงเหมือนๆ กัน คนหนึ่งสามารถควักเงินสามสิบตำลึงออกมาได้ง่ายๆ แต่อีกคนหนึ่งกลับต้องขลาดกลัวไม่กล้าใช้เกินแม้แต่สลึงเดียว เป็นอี๋เหนียงเหมือนๆ กัน คนหนึ่งเป็นตัวแทนบ้านคุณชายสี่ไปเซ่นไหว้ให้เสี่ยวหลาน อีกคนเป็นตัวแทนบ้านคุณชายสี่ไปอวยพรและร่วมแสดงความยินดีกับปินจวี๋ แต่คนๆ นี้กลับต้องถูกกักบริเวณอยู่แต่ในเรือน เป็นอี๋เหนียงเหมือนๆ กัน แต่คนหนึ่งกลับให้กำเนิดบุตรชายคนโตของตระกูล ส่วนบุตรสาวก็ได้ไท่ฮูหยินช่วยเลี้ยงดู ปล่อยให้เวลาผ่านไปช้าๆ วันคืนที่ดีก็เดินทางมาถึง แต่คนๆ นี้กลับถูกให้ร้ายจนขาดที่พึ่งพิง ยิ่งคิดความนึกคิดของซิ่วหยวนก็เริ่มเลอะเลือนและพร่ามัว จะว่าไปแล้ว ทุกอย่างก็เพราะพวกนางประเมินค่าหญิงผู้นั้นต่ำเกินไป คิดเพียงว่าแค่คว้าหัวใจของท่านโหวมาได้ก็เพียงพอแล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกหญิงผู้นั้นขวางกั้นกลางเอาไว้ อย่าว่าแต่ไร้ซึ่งการช่วยเหลือเลย แค่ขอแก้ต่างต่อหน้าท่านโหวเพียงไม่กี่คำก็ยังทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ก็อย่าไปพูดถึงเรื่องการแสดงความสามารถหรือคิดหากลอุบายวิธีอื่นใดที่จะทำให้ท่านโหวเปลี่ยนใจกลับมาเลย
เมื่อความคิดเช่นนี้เล่นผ่านเข้ามาในหัว นางก็นึกไปถึงคำพูดของสืออีเหนียงที่ทักนางว่านางนั้นอายุไม่น้อยแล้ว
คุณหนูเป็นอนุคนโปรดของท่านโหว ส่วนนางก็เป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนู สืออีเหนียงไม่หาเรื่องคุณหนู แต่กลับเลือกที่จะหาเรื่องนางแทน
คำพูดนั้นเป็นดั่งมีดที่ห้อยอยู่เหนือหัว ไม่รู้ว่ามันจะร่วงลงมาเมื่อไร ซิ่วหยวนจึงรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไปหมด นอนไม่หลับแทบทุกคืน นางคาดหวังเพียงว่าคุณหนูของนางจะให้กำเนิดคุณชายน้อยสักคน ต่อหน้าท่านโหวก็จะได้พูดอะไรได้บ้าง หรือสามารถที่จะช่วงชิงเพื่อตัวเองได้ แต่ตอนนี้…
นางยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว รู้สึกว่าใบหน้าของตนนั้นเปียกชุ่มไปหมด อีกทั้งยังกลัวว่าจะรบกวนเฉียวเหลียนฝังเข้า จึงได้แต่ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาเงียบๆ เบาๆ
แต่แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดีดตัวดังขึ้นมาจากข้างๆ
ซิ่วหยวนรีบหันขวับไปดู
ก็เห็นใบหน้าของเฉียวเหลียนฝังนั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เฉียวเหลียนฝังได้หยิบหมอนอิงและหมอนหนุนติดมือมาพร้อมกับขว้างปาไปทั่ว
ซิ่วหยวนตกใจเป็นอย่างมาก นางรีบวางผ้าปักในมือลงพร้อมกับรีบเข้าไปจับตัวของเฉียวเหลียนฝังไว้ “คุณหนู คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าค่ะ”
“ข้ามันโง่ โง่เสียจริง” น้ำตาของเฉียวเหลียนฝังร่วงหล่นราวกับเม็ดฝนก็ไม่ปาน “ท่านแม่คอยโน้มน้าวและเกลี้ยกล่อมข้าตั้งหลายครั้งหลายหน แต่ข้าก็ไม่เคยจะรับฟังเลย…ข้าเชื่อว่าขอแค่ท่านโหวดีกับข้า ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีก…แต่ข้ากลับไม่เคยคิดเลยว่า ข้าอาจจะไม่ต้องการ แต่ผู้อื่นอาจจะต้องการ ข้าอาจจะไม่ไปทำร้ายผู้อื่น แต่เมื่อผู้อื่นเห็นว่าท่านโหวดีกับข้า ก็อาจจะมาทำร้ายข้าได้ เฉกเช่นวันนี้ที่ก่อให้เกิดเป็นความผิดอันใหญ่หลวง ขาดความรักใครเอ็นดูของท่านโหวไป มานั่งร้องไห้เสียใจก็คงจะไม่ทันแล้ว…” จากนั้นก็ได้หันไปกอดซิ่วหยวนพร้อมกับร้องไห้เสียงดังขึ้นมา
เมื่อซิ่วหยวนเห็นไหล่ที่ผอมบางและสั่นเทาของนางที่ครั้งหนึ่งเคยวิจิตรงดงาม ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ตามด้วยความรู้สึกที่เศร้าโศก
“คุณหนู ไม่เจ้าค่ะ” นางปลอบประโลมเฉียวเหลียนฝังนับครั้งไม่ถ้วน “ท่านโหวเพียงแค่โกรธเคืองคุณหนูชั่วคราวก็เท่านั้น รอเวลาผ่านไปสักพัก พอท่านโหวหายขุ่นเคืองแล้ว ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง! คุณหนู ท่านอย่าร้องไห้เลย สุขภาพร่างกายสำคัญที่สุด…”
“ใช่แล้ว” ในขณะที่ซิ่วหยวนกำลังนึกว่าตนคงจะต้องโน้มน้าวปลอบใจเฉียวเหลียนฝังต่อไปอีกพักใหญ่ แต่แล้วจู่ๆ เฉียวเหลียนฝังก็หยุดร้องไห้ไป “เจ้าพูดถูก ท่านโหวโกรธเคืองข้าเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น” ซิ่วหยวนเห็นเฉียวเหลียนฝังค่อยๆ นั่งตัวตรงขึ้นมา ดวงตาที่น้ำตาคลอเบ้าก็ท่วมท้นไปด้วยแววตาที่แน่วแน่ “ฉะนั้น ข้าจะไปเจอท่านโหว!”
ซิ่วหยวนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ตอนนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเฉียวเหลียนฝังจะอาละวาดโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ในเมื่อป้าตู้ก็ไปร่วมงานแต่งของปินจวี๋แล้ว เห็นได้ชัดว่าไท่ฮูหยินยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับสืออีเหนียงเป็นที่เรียบร้อย สืออีเหนียงก็ค่อยๆ ล้อมรอบเรือนแห่งนี้ไว้ นางและคุณหนูตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากไร้ซึ่งความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น ยังมีฉินอี๋เหนียงอีกคน นางเชื่อและศรัทธาไต้ซือจี้หนิงแท้ๆ แต่กลับแนะนำพวกนางว่านักบวชลัทธิเต๋าฉังชุนมียาตำรับเฉพาะที่ช่วยให้มีบุตรชายได้ เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาร้าย เรื่องเล็กเรื่องน้อยที่เกิดขึ้นในจวนทั้งหมดนั้นไม่สามารถปิดบังนางได้แม้แต่เรื่องเดียว ในใจนางคิดอะไรอยู่ ใครก็ไม่อาจล่วงรู้ได้…ตนและคุณหนูมีศัตรูที่อยู่เบื้องหลัง หากว่าคุณหนูของนางไม่สามารถอดทนให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ เกรงว่าสิ่งที่ต้องเผชิญนั้นคงจะเข้ามาประชิดครบทุกรอบด้านเป็นแน่
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซิ่วหยวนจึงทำได้แค่เพียงพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “คุณหนู พวกเราค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปนะเจ้าคะ…”
“ไม่” เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ
ซิ่วหยวนได้ยินแล้วก็รู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก นางรีบตะโกนขึ้นเบาๆ ว่า “คุณหนู” เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นสีหน้าของเฉียวเหลียนฝังเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “ไม่ เราจะไม่ใจเย็นค่อยเป็นค่อยไป แต่เราจะวางแผนและจัดการรับมือปัญหาระยะยาว!” ใบหน้าที่ละมุนและงดงามของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะคำพูดประโยคนั้น
“คุณหนู…” นางรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมาในใจของเฉียวเหลียนฝังอย่างกะทันหัน ทำให้เฉียวเหลียนฝังเปลี่ยนไปไม่เป็นเหมือนเช่นเคย ดูเหมือนจะเป็นเฉียวเหลียนฝังที่สุขุมเยือกเย็นและเข้มแข็งเพียบพร้อมอย่างที่นางเคยอยากให้เป็นมาโดยตลอด ทำให้นางรู้สึกดีใจ กังวลใจและหวาดกลัว ครบครันในเวลาเดียวกัน เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้
“ยังมีฉินหลิวเป่านังบ่าวชั้นต่ำนั่น!” ใบหน้าของเฉียวเหลียนฝังค่อยๆ เปลี่ยนรูปอย่างช้าๆ ด้วยความเคียดแค้น “นางทำร้ายข้าจนเป็นเช่นนี้ ข้าไม่มีวันปล่อยนางไว้แน่!”
*****
“…โคมไฟทอง พัดเขียวและคันร่ม ไม่ขาดแม้แต่อย่างเดียว นี่คือส่วนประกอบทั้งชุดที่สมบูรณ์แบบ งานเลี้ยงมงคลใช้ไปร่วมสิบถ้วย เลี้ยงอาหารสิบโต๊ะ” สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยเป็นแม่ชักแม่สื่อและคนเตรียมเกี้ยวของฝ่ายหญิง รายงานสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดีปรีดา “ของขวัญเจอหน้าของทางฝั่งแม่สามีคือกำไรเงินหนักสองตำลึงหนึ่งคู่ ส่วนของพ่อสามีนั้นเป็นเงินแท่งเล็กสองแท่ง ของใช้ในบ้านก็เพียบพร้อมหมดแล้ว ปินจวี๋แต่งเข้าไปไม่ลำบากอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “การใช้ชีวิตในภายภาคหน้า พวกเขาก็ต้องพึ่งตัวเองแล้ว”
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ บุรุษที่ดีจะไม่แบ่งสมบัติเก่าของบิดามารดามาใช้ และสตรีที่ดีจะไม่เรียกร้องสินสอดทองหมั้นและยังคงสวมเสื้อผ้าที่เป็นสินเดิม ฮูหยินคิดเผื่อพวกเขาจนหมดแล้ว ชีวิตภายภาคหน้าพวกเขาต้องพึ่งตัวเองแล้ว แต่บ่าวเห็นว่านต้าเสี่ยนนั้นเป็นคนซื่อสัตย์ ส่วนปินจวี๋ก็เคยได้รับการอบรมสอนสั่งจากฮูหยินมา ชีวิตภายภาคหน้าของพวกเขาจะต้องเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงหัวเราะเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ ชวนนางเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “ข้าได้ยินมาว่าเจียงปิ่งเจิ้งออกไปหาอะไรทำข้างนอก ครอบครัวของเขาเป็นคนดูแลงานที่เรือนข้าทั้งหมดหรือ”
เรื่องนี้เป็นหลิวหยวนรุ่ยเองที่เป็นคนนำข่าวนี้ไปเล่าถึงหูสืออีเหนียง นางจึงยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้บ่าวเองก็เคยได้ยินมา เพียงแต่ว่าช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง จึงไม่มีเวลาเข้าไปดู จะให้บ่าวหาเวลาว่างเข้าไปช่วยฮูหยินดูเสียหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
ตอนนี้ฉังเสวียจื้อรับหน้าที่เป็นบ่าวรับใช้ชายดูแลลานนอก
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นสะใภ้วัยกลางคน ไปออกหน้าพูดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ข้าว่าให้เด็กๆ เข้าไปแอบสืบถามดีกว่ากระมัง!”
หลิวไท่ผิงบุตรชายของหลิวหยวนรุ่ยรับหน้าที่ออกไปทำงานจุกจิกทั่วไปที่ลานนอก
นางได้ยินแล้วก็ค่อนข้างผิดหวัง แต่ก็กลับมาดีอกดีใจอีกครั้งพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “ขอบคุณฮูหยินที่ไว้ใจเขา บ่าวจะไปฝากเรื่องนี้กับเขาประเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
เพราะนางยังแอบกังวลใจว่าสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยผู้นี้จะเป็นคนที่ไม่มีความอดทนอดกลั้น
——————–
[1]เซียนจ๋ายต่งจื้อสุธนกุมาร อัครสาวกเบื้องซ้ายของพระโพธิสัตว์กวนอิม