ตอนที่ 274 ไปศุลกากรอีกครั้ง
หลินม่ายมองว่าวิธีที่เจ้าของร้านและหวังหรงเลือกใช้อาจจะคล้ายของป้าหูก็จริง แต่ยังทำได้ไม่ดีเท่า
ป้าหูขายซาลาเปาไส้เยอะในราคาถูก และยังมีไส้ให้เลือกมากมาย
หวังหรงกับเจ้าของร้านคนใหม่อยากจะขายตัดราคาแต่ยังไม่กล้าที่จะยอมขาดทุน มีแต่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถูกเอาเปรียบแล้วไม่พอใจ
ลูกค้ามักจะบอกต่อทั้งเรื่องดีและไม่ดีกันอยู่แล้ว แบบนี้จะมีผลกับชื่อเสียงของร้านได้
ร้านข้าง ๆ คิดแผนการมาเพื่อทำลายเธอ แต่ดูเหมือนว่าแผนการพวกนี้จะไปทำลายตัวเองเสียมากกว่า
เมื่อวานเฉินเฟิงบอกว่าสามารถขายเนสกาแฟได้ทั้งหมดวันนี้ เลยบอกให้เธอไปรับเงิน
หลินม่ายจึงสวมหมวกกันแดดหยิบตะกร้าไปที่ตลาด
เธอต้องการกุ้งสดกับปลาหมึกแห้งมาทำอาหาร
ไม่ไกลออกไป เจ้าของร้านคนหนึ่งก็รีบตรงเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวหลิน เธอช่วยขายสาหร่ายในตลาดสดของเธอให้เราในราคาส่งบ้างได้ไหม”
เมื่อมีคนเริ่มประเด็น เจ้าของร้านคนอื่น ๆ ก็มารุมล้อม
ทุกคนต่างต้องการสาหร่ายอย่างดีในราคาถูก
สาหร่ายพวกนี้เป็นวัตถุดิบหลักของเมนูยำสาหร่าย เครื่องเคียงที่ได้รับความนิยมมากในร้านอาหาร
หลินม่ายส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันขายให้ไม่ได้หรอกค่ะ ของหายากมาก ค่าขนส่งก็แพง ถ้าขายราคาส่งให้ก็เหมือนแจกฟรี ฉันยังต้องจ่ายค่าแรงให้พนักงานด้วย”
ถ้าเป็นผลผลิตทางการเกษตรอย่างพวกข้าวโพด ยังพอจะขายราคาส่งได้
เพราะหาซื้อไม่ยากและยังได้ช่วยชาวเมืองซื่อเหม่ย
แต่สาหร่ายแค่จะหามาวางที่ตลาดยังยาก นับประสาอะไรกับการแบ่งขายส่งให้คนอื่น
เจ้าของร้านหลายคนเริ่มไม่พอใจ
เมื่อมาถึงที่สำนักงานของตลาด หลินม่ายก็พบเฉินเฟิงนั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับกระเป๋าขนาดใหญ่สองใบที่พื้น
ชายหนุ่มกินเกี๊ยวในมือเสร็จก็ใช้เท้าเขี่ยกระเป๋านั่น
“เนสกาแฟตกลงกันที่ราคากระป๋องละ 8 หยวน มี 60,000 กระป๋อง เป็นเงิน 480,000 หยวน พร้อมดอกเบี้ย เท่ากับว่าในกระเป๋าแต่ละใบมีเงิน 240,000 หยวน”
หลังจากอธิบายเรียบร้อยก็ส่งรายละเอียดบัญชีทั้งหมดให้หลินม่าย
หญิงสาวมองบัญชีนั้นอย่างรวดเร็วแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “บัญชีพวกนี้มีทั้งชื่อลูกค้าแล้วก็ข้อมูลติดต่อ ฉันเป็นคนความจำดีแบบชั่วพริบตา คุณไม่กลัวว่าฉันจะแอบจำข้อมูลไปติดต่อซื้อขายกับเขาเองเหรอ?”
เฉินเฟิงขึ้นเสียงอย่างเย้ยหยัน “ถ้าพวกเขายอมร่วมมือก็เอาเถอะ”
หลินม่ายยิ้มจาง ๆ แล้วหันไปสุ่มเปิดกระเป๋า “ใจดีจัง ขายส่งยังได้ตั้งแปดหยวน!”
เฉินเฟิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ฉันว่ามันยังถูกไป พวกนั้นน่าจะขายได้สักสิบห้าหยวนนะ”
หลินม่ายพึมพำ “มันใกล้จะหมดอายุแล้ว ขายแพงขนาดนี้ ไม่มีจิตสำนึกบ้างเลยหรือไง”
“ยังไม่หมดอายุไม่ใช่เหรอ?” เฉินเฟิงหยิบปาท่องโก๋ขึ้นมากัดแล้วเคี้ยวเสียงดัง จากนั้นก็ลุกขึ้นจากโซฟา “เอาเงินไปฝากธนาคารกัน”
เคี้ยวเพียงสามครั้งเขาก็กินปาท่องโก๋หมด
ทั้งคู่ถือกระเป๋าเงินคนละใบออกจากสำนักงานโดยเอาเท้ายันประตูเปิดออก
เหลียนเฉียวที่มองทั้งคู่อยู่ไม่ไกลก็รู้สึกไม่สบายใจ
ตั้งแต่หล่อนบอกให้เฉินเฟิงทำงานคนเดียวตอนนั้น เขาก็เย็นชากับหล่อนมาก
เมื่อมาถึงธนาคาร ชายหนุ่มฝากเงิน 240,000 หยวน ส่วนหลินม่ายฝาก 200,000 หยวน อีก 30,000 ต้องคืนให้ฟางจั๋วหราน และอีก 10,000 เป็นของเคอจื่อฉิง
。
ถ้าไม่ใช่เพราะเคอจื่อฉิง เธอคงไม่สามารถหาเงินเยอะขนาดนี้มาได้ จึงควรจะมอบซองแดงใบโต ๆ เป็นการขอบคุณหล่อน
เพราะเป็นการฝากเงินจำนวนมาก พนักงานที่ให้บริการจึงค่อนข้างอึ้งไป
หลังทั้งคู่ฝากเงินเรียบร้อยแล้ว เฉินเฟิงก็รู้สึกเป็นห่วง ไม่อยากให้หลินม่ายเดินทางคนเดียวโดยที่มีเงินสี่หมื่นติดตัวไปด้วย
หลินม่ายลังเลนิดหน่อย “ฉันยังต้องไปซื้อกุ้งสดกับปลาหมึกแห้ง”
“ไม่ต้องไปแล้ว เดี๋ยวให้คนเอาไปส่งให้”
พอได้ยินแบบนั้น เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมให้เขาพาไปส่งบ้าน
เฉินเฟิงไปส่งหญิงสาวที่ร้าน แล้วกลับไปที่ตลาด เอากุ้งสดและปลาหมึกแห้งแล้วกำลังจะออกไป โดยไม่ได้สังเกตว่าเหลียนเฉียวมองอยู่ด้านหลัง
เหลียนเฉียวมองไปที่กุ้งและปลาหมึกในมือเขา แล้วเริ่มถาม “เอาไปทำอะไรเหรอคะ?”
คนไม่ทำอาหารอย่างเขาจะเอาของพวกนี้ไปทำไม
“เอาไปให้หลินม่าย” เฉินเฟิงตอบตามตรง
“เดี๋ยวฉันจัดการเองค่ะ” เหลียนเฉียวจะหยิบวัตถุดิบมาถือ
“ไม่ต้องหรอก” เฉินเฟิงหลบเลี่ยงแล้วเดินจากไป
เหลียนเฉียวมองตามแผ่นหลังของเขาไป ความไม่พอใจในแววตาของหล่อนฉายรุนแรงขึ้น กำมือทั้งสองข้างแน่น ไม่รู้สึกเจ็บสักนิดแม้ว่าเล็บจะจิกเข้าเนื้อแล้วก็ตาม
ฟางจั๋วหรานกลับมากินมื้อเที่ยงที่ร้าน หลินม่ายก็คืนเงินให้เขาอย่างมีความสุข
ชายหนุ่มไม่สามารถปฏิเสธเธอได้ จึงต้องรับมันมา
ถึงอย่างนั้นเขาก็ตั้งใจจะเก็บเงินนี่ไว้เป็นสินสอดให้เธอตอนแต่งงาน
เขาเริ่มถามขึ้นว่า “คุณขายกาแฟทั้งหมดที่ได้จากศุลกากรไปแล้วเหรอ?”
“เปล่า มีแค่เนสกาแฟที่ขายหมดแล้ว” หลินม่ายตอบอย่างอารมณ์ดี “คุณคิดว่าได้เงินเท่าไรคะ?”
“หกเจ็ดหมื่น?”
ฟางจั๋วหรานเดาจากท่าทางอารมณ์ดีของเธอโดยไม่ได้คิดคำนวณใด ๆ
หลินม่ายกระซิบตอบ “มากกว่าสองแสนค่ะ!”
คุณหมอหนุ่มประหลาดใจทันที “เยอะจัง!”
เงินมากกว่าสองแสนเป็นเงินที่เยอะมากสำหรับคนทั่ว ๆ ไป
หลินม่ายเม้มริมฝีปากอย่างพึงพอใจ “พรุ่งนี้ฉันอยากไปซื้อของที่กว่างโจว
ถ้ามีเวลา คุณช่วยติดต่อเคอจื่อฉิงให้หน่อยได้ไหมคะ ให้หล่อนมารับฉันตอนค่ำ ๆ จะได้ไม่ต้องลางานเหมือนคราวที่แล้ว”
เนื่องจากต้องถือเงินจำนวนมากไปด้วย ไม่ได้มีแค่เสื้อผ้าที่ต้องซื้อเท่านั้น แต่ยังวางแผนจะไปที่ศุลกากรเพื่อซื้อของอย่างอื่น ๆ อีก
ฟางจั๋วหรานแนะนำ “ไม่ต้องถือเงินไปเยอะ ๆ หรอก ไปถึงที่นั่นแล้วให้ผมส่งเงินไปให้แบบคราวที่แล้วดีกว่า จะได้ปลอดภัย”
หลินม่ายพยักหน้าตามแล้วมอบเงินหมื่นหยวนที่เหลือของเคอจื่อฉิงให้กับแฟนหนุ่ม ขอให้เขาส่งเงินนี้ให้ด้วย และเตรียมเงินสดไปสามพันเท่านั้น
เงินสามพันหยวนนั้นเตรียมไว้สำหรับมอบให้หัวหน้าสือ
เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีต้องมีสินน้ำใจตอบแทน!
ตอนนี้ยังไม่สายที่จะสร้างไมตรีไว้ จึงต้องเตรียมเงินไปให้หล่อนในครั้งนี้
คืนต่อมา หลินม่ายก็มาถึงกว่างโจว เมื่อเคอจื่อฉิงมารับเธอ ก็เริ่มพูดคุยกัน “อาจารย์ฟางโทรมาทันเวลาพอดี ถ้าโทรช้ากว่านี้ซักชั่วโมงของล็อตสุดท้ายคงขายให้คนอื่นไปแล้ว”
หลินม่ายประหลาดใจขึ้นมา “เร็วขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย!”
แม้เธอจะรู้ว่าสินค้าในด่านศุลกากรมีราคาถูก ใครที่พอมีเงินมักจะรีบซื้อไว้ แต่ล่าสุดเธอยังเห็นว่ามีของในโกดังสินค้าอีกมากมาย ไม่คิดว่าจะหมดเร็วขนาดนี้
เคอจื่อสิงเล่าต่อ “ไม่ได้ขายได้เร็วแบบนี้ทุกครั้งหรอก ของบางอย่างทิ้งไว้นานก็ยังขายไม่ได้”
หลินม่ายถามต่อ “มีของอะไรบ้างเหรอ?”
“ไวน์ต่างประเทศ เครื่องสำอาง บิสกิต ลูกกวาด แล้วก็พวกเสื้อผ้า แต่ก็ไม่ได้ราคาถูกเหมือนกะหล่ำปลีทุกอย่างหรอก”
หลินม่ายเอ่ยแซว “แต่ก็ดีกว่าเอาเงินไปซื้อกะหล่ำปลีจริง ๆ อยู่ดี”
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเคอจื่อฉิงไปทำงาน ก็พาหลินม่ายไปที่กรมศุลกากรด้วย
หลินม่ายยืนอยู่ข้างเจ้าหน้าที่สาวที่ยิ้มอย่างเป็นมิตรขณะพูดคุยกับหัวหน้าสือ “หัวหน้าสือคะ เพื่อนฉันอยากจะมาซื้อของอีกค่ะ”
หัวหน้าสือมองมาอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยนิ่ง ๆ “ให้ครั้งสุดท้ายนะ”
เคอจื่อฉิงค้อมศีรษะแล้วกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณค่ะหัวหน้า”
หลินม่ายก็รีบขอบคุณเช่นกัน
แต่หัวหน้าสือไม่ได้สนใจและยังวางท่าเย็นชา
พอเห็นแบบนั้น หลินม่ายจึงหยิบซองเงินสามพันหยวนออกมาวางบนโต๊ะ แล้วรีบจากไปพร้อมกับเคอจื่อสิง
หัวหน้าสือหยิบเงินออกมาดูแล้วเคาะมันด้วยรอยยิ้มพึงพอใจที่ฉายออกมาบนใบหน้า
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ดูท่าแล้วไม่น่ารอดนะยัยหรง ทุ่มหินทับเท้าตัวเองชัดๆ
คราวนี้จะซื้ออะไรจากด่านศุลกากรกลับไปขายล่ะเนี่ย
ไหหม่า(海馬)