พระราชวังอู๋มีขนาดกว้างใหญ่มาก แบ่งพื้นที่มุมหนึ่งออกมาสร้างเป็นพระตำหนักขององค์รัชทายาท ดังนั้นการเดินทางไปยังตำหนักของฮองเฮาจึงต้องเดินทางระยะหนึ่ง
เมื่อได้ยินว่าพวกเขาเดินทางมา ฮองเฮาดีใจอย่างมาก นางจัดโต๊ะสำรับอย่างอารมณ์ดี ปล่อยให้หลานๆ กินดื่มเล่นกัน จากนั้นเข้าไปยังตำหนักด้านข้างเพื่อพูดคุยกับองค์รัชทายาท
พระชายาไม่มีคุณสมบัติที่จะติดตามเข้าไป นางนั่งดูเด็กๆ อยู่ข้างนอกพร้อมกับเหล่านางใน
ภายในตำหนักด้านข้างมีเพียงพวกเขาแม่และลูกชาย องค์รัชทายาทเอ่ยถามทันที “เสด็จแม่ เกิดเรื่องใดขึ้น เหตุใดเสด็จพ่อจึงให้ความสำคัญกับน้องสามอย่างกะทันหันเช่นนี้”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ฮองเฮาก็ขุ่นเคืองมากเช่นกัน “ไม่ใช่เพราะเจ้าไม่อยู่นานหรือ”
องค์รัชทายาทหัวเราะ ส่ายหัว เขารู้จักฮ่องเต้ดียิ่งกว่าฮองเฮาเสียอีก
“ไม่ใช่ ยิ่งกระหม่อมไม่อยู่เคียงข้างเสด็จพ่อ เสด็จพ่อก็จะยิ่งคิดถึงกระหม่อม” เขาพูด “เสด็จพ่อรักน้องสามจริง แต่ไม่ควรให้ความสำคัญขนาดนั้น” พูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ “คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้กระหม่อมทูลผิดไป ทำให้เสด็จพ่อไม่พอพระทัย”
ก่อนหน้านี้เข้าห้ามปรามฮ่องเต้ในการใช้กลยุทธ์คัดเลือกขุนนางจากความสามารถ เดิมทีฮ่องเต้รับฟังแล้ว แต่เมื่อถูกแม่ทัพหน้ากากเหล็กก่อกวน ทำให้ฮ่องเต้หวั่นไหวอีกครั้ง หลังจากราชสำนักหารือกันแล้ว เพื่อยุติเรื่องนี้ จึงตัดสินใจจัดการประลองในแต่ละแคว้น ซึ่งแต่ละแคว้นจะคัดเลือกบัณฑิตสามัญชนเพียงสามราย
สามรายเป็นจำนวนที่น้อยจนสามารถเพิกเฉยได้ แต่ชนชั้นสูงและสามัญชนถือว่าได้รับการปลอบประโลม เรื่องนี้ถูกแก้ไขแล้ว เมื่อเทียบกับการห้ามปรามของเขา ผลลัพธ์เป็นอันน่าพึงพอใจมากกว่า
ดังนั้นเสด็จพ่อคงโทษเขาที่ทำได้ไม่ดีพอ
“เหตุใดจึงเป็นความผิดของเจ้า” ฮองเฮาได้ยินจึงโกรธมาก “เห็นได้ชัดว่าเป็นความผิดของพวกเขา เดิมทีไม่มีเรื่องเหล่านี้ ล้วนเป็นปัญหาที่องค์ชายสามและเฉินตันจูก่อขึ้นมา”
องค์รัชทายาทไม่คิดเรื่องนี้อีก “อย่างไรกระหม่อมจะไปยอมรับความผิดกับเสด็จพ่อ”
ฮองเฮาห้ามปราม “เจ้าอย่าไป ฝ่าบาททรงไม่ชอบให้ผู้อื่นยอมรับผิดกับเขา โดยเฉพาะตอนที่เขาไม่พูดสิ่งใด หากเจ้าไปยอมรับผิดเช่นนี้ พระองค์จะทรงคิดว่าเจ้ากำลังตำหนิเขา”
สีหน้าขององค์รัชทายาทเศร้าเล็กน้อย “กระหม่อมไม่รู้ต้องทำอย่างไรแล้ว เสด็จแม่ เวลานี้ต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตำหนิเขา แต่หลายวันนี้ เขายืนอยู่ที่พระราชสำนักอย่างทำตัวไม่ถูก
ฮองเฮามองดูสีหน้าเคร่งเครียดของโอรสด้วยความสงสาร คนมากมายต่างอิจฉาและเกลียดชังองค์รัชทายาทที่เป็นองค์ชายองค์โต มีชีวิตที่ดี ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ แต่โอรสคนนี้ต้องแบกรับความตื่นตระหนกและความกลัวมากมายเพราะความโปรดปรานนี้ ในฐานะโอรสองค์โตของฮ่องเต้ ทั้งเกรงกลัวการสวรรคตอย่างกะทันหันของฮ่องเต้ ทั้งเกรงกลัวตนเองต้องตายเพราะกลอุบายของผู้อื่น นับแต่รู้ความมา เด็กน้อยผู้นี้ไม่เคยหลับสนิทแม้แต่น้อย
องค์รัชทายาทบอกว่าเวลานี้แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้แล้ว ฮองเฮาเข้าใจความหาย ในอดีตเหล่าท่านอ๋องมีอำนาจบีบบังคับพระราชสำนัก ขุนนางมีใจเดียวกัน ภายในสายตาของฮ่องเต้มีเพียงโอรสคนโต มองว่าเขาเป็นชีวิตที่ยืดขยาย แต่เวลานี้เหล่าท่านอ๋องถูกปราบปราม ต้าเซี่ยรวมเป็นหนึ่งเดียว ชีวิตของฮ่องเต้ไม่ถูกคุกคามอีกต่อไป การสืบทอดของต้าเซี่ยไม่จำเป็นต้องอาศัยโอรสคนโตอีก สายตาของฮ่องเต้เริ่มจับจ้องไปยังโอรสองค์อื่น
อย่าหวัง! สายตาของฮองเฮาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่นางยิ้มด้วยความรักให้องค์รัชทายาท “เจ้าอย่าคิดมาก เจ้าเพิ่งเดินทางมาจากซีจิง ควรจะคุ้นชินกับที่นี่ก่อน”
องค์รัชทายาทตอบรับ ตรัสกับฮองเฮาด้วยความรัก “ก่อนหน้านี้กระหม่อมอยู่ซีจิงคนเดียว กระหม่อมไม่รู้สึกต้องว่าเกรงกลัวต่อสิ่งใด ไม่คิดว่าเมื่อได้พบเสด็จแม่ กระหม่อมจะกลายเป็นเหมือนเด็ก ตื่นตระหนกแม้แต่เรื่องเล็กน้อย”
ฮองเฮายิ้ม “มีแม่อยู่ เจ้าเติบใหญ่เพียงใดก็ยังเป็นเด็ก”
เมื่อได้ยินว่าองค์รัชทายาทมาหาฮองเฮา ฮ่องเต้ทรงงานเสร็จก็รีบเดินทางมา แต่ภายในตำหนักมีเพียงฮองเฮาคนเดียว
“ให้พวกเขากลับไปแล้วเพคะ” ฮองเฮากุมหน้าผาก “เด็กๆ เสียงดังเกินไป หม่อนฉันปวดหัวยิ่งนัก”
ฮ่องเต้หัวเราะ “บัดนี้ภายในพระราชวังก็มีเพียงพวกเขาสองคน เจ้าก็รู้สึกปวดหัวแล้ว หากโอรสทั้งห้าต่างแต่งงาน คงจะคึกคักกว่าเดิม”
เมื่อนึกถึงภาพนั้น ฮ่องเต้รู้สึกปรารถนายิ่งนัก ก่อนจะพยักหน้า เวลานี้เรื่องของเหล่าท่านอ๋องจบสิ้นแล้ว ถึงเวลาต้องคำนึกถึงเรื่องแต่งงานของเหล่าโอรสของเขาแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่พูดถึงเรื่องงานแต่งของพวกเขา เพื่อต้องการหลีกเลี่ยงทายาทที่มากเกินไป…
เขาชอบที่จะมีบุตรหลานมากมาย อีกทั้งยังขอให้องค์รัชทายาทรีบแต่งงานมีโอรสอย่างรวดเร็ว แต่ในเวลานั้นถ้าองค์ชายคนอื่นแต่งงานมีโอรสด้วย รุ่นหลานมีมากเกินไปก็เป็นภัยคุกคามเช่นกัน เมื่อถึงเวลาหากมีคนหนึ่งถูกเหล่าท่านอ๋องจับเอาไว้ ย่อมสามารถประกาศกร้าวว่าเป็นเชื้อสายตรง ทำให้แผ่นดินโกลาหลได้
“รอจวบจนเทศกาลซ่างซื่อ[1] เสร็จสิ้นให้แต่ละตระกูลส่งหญิงสาวที่อายุเหมาะสมเข้ามา เจ้าลองดูให้เล่อหยง ซิวหยง อืม ซิวหยงยังไม่ต้องพูดถึง เลือกพระชายาที่เหมาะสมให้เล่อหยง เต๋อหยงก็พอ…”
ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังพูดอยู่นั้น ฮองเฮาทำหน้าขุ่นเคืองอยู่เสมอ แต่ไม่ได้พูดสิ่งใด เมื่อได้ยินพระองค์ทรงพูดถึงการคัดเลือกพระชายาให้เหล่าองค์ชาย หลังจากองค์ชายสองก็เป็นองค์ชายสาม แต่ฮ่องเต้กลับข้ามองค์ชายสามไป ไฟโกรธของฮองเฮาจึงควบคุมไว้ไม่ได้
ไม่พูดถึง เหตุใดจึงไม่พูดถึงองค์ชายสาม ไม่ให้เขาสร้างครอบครัว ให้เขาสร้างอาชีพหรือ
“รีบให้พวกเขาแต่งงานมีบุตร เพราะเห็นว่าองค์รัชทายาทมาแล้ว มีผู้ดูแลเด็กในพระราชวังหรือเพคะ” ฮองเฮาพูดขัดจังหวะฮ่องเต้
ฮ่องเต้ตะลึงไปครู่หนึ่ง ความสุขที่เต็มเปี่ยมของเขาถูกสาดน้ำเย็นอย่างไร้เหตุผล…“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“หม่อมฉันจะหมายความว่าอย่างไรได้เพคะ องค์รัชทายาททรงงานในซีจิงเสร็จ เดินทางมาถึงเมืองหลวงจึงไม่เป็นที่ต้องการแล้ว แต่ละวันถูกเพิกเฉย ไม่ให้เขาทำสิ่งใด พาเด็กๆ มาเล่นในตำหนักหม่อมฉันทุกวัน…” ฮองเฮายืนขึ้นด้วยความโกรธ “ฝ่าบาท หากพระองค์ต้องการถอดตำแหน่งเขา ก็ตรัสมาเถิดเพคะ พวกหม่อมฉันจะได้กลับซีจิงไป”
ฮ่องเต้โมโหอย่างมาก “เหลวไหล!”
อาจเพราะว่าฮองเฮาแก่กว่าฮ่องเต้หลายปี หรือบางทีนางอาจเคยชินกับการโต้เถียง ฮองเฮาไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย นางปิดหน้าร้องไห้ “บัดนี้ฝ่าบาททรงรังเกียจหม่อมฉันแล้ว เหลวไหลหรือ? หม่อมฉันมีบุตรให้ฝ่าบาท เวลานี้หมดประโยชน์แล้ว ฝ่าบาทถอดตำแหน่งหม่อมฉันเถิดเพคะ”
ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างโกรธจัด
ตอนที่ฮองเฮาพูดขัดฮ่องเต้ นางในที่อยู่ในตำหนักรีบขับไล่คนด้านนอกออกไปทันที คุกเข่าอยู่ด้านนอกตำหนักอย่างห่างไกล ไม่นานนัก พวกนางก็เห็นฮ่องเต้จากไปอย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้จากไปแล้ว แต่ทุกคนยังไม่ลุกขึ้นยืน เมื่อได้ยินเสียงของกระทบกันดังขึ้นในพระตำหนัก รอจนฮองเฮาระบายความโกรธจนหมด จึงเข้าไปรับใช้
ภาพเหตุการณ์นี้พบเห็นได้บ่อยครั้งในหลายปีนี้ เหล่านางในต่างคุ้นชิน
ฮ่องเต้ยังไม่ชิน เขาขมวดคิ้วด้วยความโกรธ “เรื่องเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ข้าถอดตำแหน่งฮองเฮา คิดว่าข้าไม่กล้าหรือ”
ขันทีจิ้นจงถอนหายใจ “ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะไม่กล้าได้อย่างไร ฝ่าบาทเพียงแต่เสียดาย”
“ถึงข้าไม่มีความรักต่อนาง แต่ข้าก็ยังมีคุณธรรมต่อนาง นางเป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างข้าในยามยากลำบากที่สุด มีองค์รัชทายาทให้ข้า ข้าไปทำให้นางโกรธเมื่อใดกัน มักทำท่าทางราวกับข้าทำผิดต่อนาง...” ฮ่องเต้ดูโกรธจนไม่รู้จะพูดสิ่งใด เขาตบโต๊ะเสียงดัง “ข้ายังทำผิดต่อนางหรือ สิ่งที่นางเคยทำ…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดกะทันหัน ขันทีจิ้นจงรีบนำชามาทันเวลา
“ฝ่าบาท เสวยชาสักถ้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เขาเกลี้ยกล่อม “อย่าได้โกรธเลย อย่าได้โกรธเลย”
ฮ่องเต้หยิบชาขึ้นมาจิบ
“เหนียงเหนียงแค่สับสนเล็กน้อย ตอนนั้นฝ่าบาทเลือกนางก็ไม่ใช่เพราะความรู้และคุณธรรมของนาง” ขันทีจิ้นจงกล่าวเสียงเบา “เหนียงเหนียงได้รับความเคารพ ความดูแลจากฝ่าบาท ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เมื่อชีวิตคนสุขสบายเกินไป อารมณ์จึงยิ่งรุนแรง เรื่องเล็กน้อยก็โกรธได้…”
ฮ่องเต้โยนถ้วยชาลงบนโต๊ะ “ไร้เหตุผลสิ้นดี”
ในขณะที่ทางนี้กำลังสนทนากัน ด้านนอกมีขันทีทูลขึ้น “องค์รัชทายาทรอเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เย้ยหยัน “เห็นหรือไม่ ปัญหาที่นางก่อ มีแต่จะสร้างปัญหาให้จิ่นหยง นางทะเลาะกับข้า ผู้ที่เศร้าโศกที่สุดคือผู้ใด คือจิ่นหยง”
ขันทีจิ้นจงถอนหายใจ “เหนียงเหนียงเป็นคนเช่นไร ฝ่าบาทกระจ่างดี มิเช่นนั้น ชีวิตขององค์รัชทายาทจะยิ่งยากขึ้น”
“จิ่นหยงถูกข้าเลี้ยงมากับมือ” ฮ่องเต้พูดพร้อมโบกมือ “ไปบอกเขา เรื่องนี้เป็นเรื่องของพวกข้า ผู้ที่เป็นบุตรไม่ต้องสนใจ ให้เขาไปทำเรื่องของตนเองก็พอ”
ขันทีจิ้นจงตอบรับ ก่อนจะถูกฮ่องเต้เรียกเอาไว้ องค์รัชทายาทเป็นคนซื่อตรง เพียงแค่บอกอาจไม่ได้ ฮ่องเต้ชี้ไปที่กองฎีกาบนโต๊ะ
“ให้เขาดูสิ่งเหล่านี้ จัดการมันเสีย”
…
ในพระตำหนักองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ตั้งใจอ่านฎีกาอย่างมาก ภายในดวงตาปราศจากความกังวลแม้แต่น้อย
การมีมารดาที่สับสนเป็นปัญหาสำหรับหลายคน แต่สำหรับเขา ทุกครั้งที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทะเลาะกัน เสด็จพ่อของเขาจะยิ่งสงสารเขามากขึ้น
—————————————————————————–
[1] เทศกาลซ่างซื่อ หมายถึง เทศกาลในวันที่ 3 เดือน 3 ตามปฏิทินสุริยคติ เป็นเทศกาลในสมัยโบราณ ผู้คนจะอาบน้ำริมแม่น้ำเพื่อขจัดโรคภัยไข้เจ็บ