เมื่อเห็นว่าจุนเกอท่องตำราไม่ได้ สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เข้าไปช่วยประคองไท่ฮูหยินไปยังห้องปีกทิศตะวันออก
จุนเกอก้มหน้าก้มตายืนอยู่ที่เดิมน้ำตาคลอเบ้า
สืออีเหนียงเดินเข้าไปย่อตัวลงตรงหน้าเขาพร้อมกับถามขึ้นว่า “รู้สึกกลัวใช่หรือไม่!”
จุนเกอพยักหน้าเบาๆ ดวงตาเป็นประกายไปด้วยน้ำตา “ข้าท่องเป็นขอรับ”
สืออีเหนียงจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เช่นนั้นไว้เราค่อยหาเวลาไปท่องให้ท่านพ่อฟังดีหรือไม่”
จุนเกอรีบพยักหน้าไม่หยุด
สืออีเหนียงจึงจูงมือของเขาไว้ “พวกเราไปทานข้าวกัน!”
แต่จุนเกอยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับไปไหน “หากว่าข้า…หากว่าข้ายังท่องไม่ได้ล่ะขอรับ”
“เราไม่ท่องต่อหน้าผู้คนมากมาย เราแอบไปท่องให้ท่านพ่อของเจ้าฟังคนเดียว จุนเกอก็ยังลืมอีกหรือ” สืออีเหนียงถามเขาเสียงเบา
จุนเกอก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม “ตอนท่านที่อาจารย์ถามข้า ข้าก็ท่องไม่ได้เช่นกันขอรับ!”
สืออีเหนียงรู้สึกใจหายวาบขึ้นมาทันที
หากเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ถือว่าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก
แต่เวลาเช่นนี้ เราไม่ควรที่จะกดดันเด็กจนเกินไป
“เช่นนั้นเจ้าท่องให้ข้าฟัง ได้หรือไม่” สืออีเหนียงลองถามเขาดู
จุนเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบกลับไปว่า “ขอรับ” ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างฝืน
สืออีเหนียงนึกถึงตอนช่วงปีใหม่ เขาท่องตำรา ‘เด็กน้อยเรียนรู้’ ต่อหน้าทุกคน…
“พวกเราไปทานข้าวกันก่อน” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับกอดจุนเกอไว้ “ตอนนี้เราไม่ต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้ ตั้งใจทานข้าวดีๆ มิเช่นนั้น หากท่านพ่อเห็นเจ้าใช้ตะเกียบเขี่ยข้าวไปมา ก็จะโมโหเพิ่มขึ้นไปอีก ตำราเจ้าก็ท่องไม่ได้แล้ว พวกเราไปตั้งใจทานข้าวกันก่อนดีกว่า!”
“ขอรับ!” จุนเกอขานรับเสียงเบา จูงมือสืออีเหนียงตรงไปยังห้องปีกทิศตะวันออกอย่างเชื่อฟัง
ฮูหยินสองที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ได้หันกลับมามองอยู่ครู่หนึ่ง
อาจเป็นเพราะได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมของสืออีเหนียง ครั้งนี้จุนเกอจึงตั้งอกตั้งใจทานข้าวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูสุขุมสง่างามมีความเป็นลูกผู้ดี ในทางกลับกันสวีซื่อเจี้ยที่อยู่ข้างๆ นั้นก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาตั้งอกตั้งใจทานอาหารอย่างมูมมาม สาวใช้จะช่วยป้อน แต่เขากลับไม่ยอมให้ป้อน เม็ดข้าวที่เขาทำหล่นลงไปบนโต๊ะ ก็เก็บขึ้นมาทานจนหมด ดูแล้วช่างน่าอนาถใจยิ่งนัก
ความสงสารปรากฏขึ้นบนแววตาของไท่ฮูหยิน
ฮูหยินห้ากลับหันหน้าหนี ราวกับว่ามองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น
สวีลิ่งอี๋จะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วก็กลืนคำพูดลงคอไป ขณะที่กำลังเดินทางกลับไปที่เรือนพร้อมสืออีเหนียงอยู่นั้น สวีลิ่งอี๋ก็ได้พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าว่าหลังจากย้ายไปที่ห้องลี่จิ่งเซวียนแล้ว ควรหาข้ออ้างอย่าให้เจี้ยเกอทานข้าวร่วมโต๊ะจะดีกว่า ให้ป้ารับใช้ผู้ดูแลอบรมสั่งสอนเขาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
เด็กก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่รู้ คนเป็นบิดามารดาควรช่วยเขาปกป้องรักษาไว้ถึงจะถูก
สืออีเหนียงเองก็รู้สึกเห็นด้วย จากนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องของจุนเกอขึ้นมา “…ข้าลองถามเขาตามลำพังแล้ว เขาบอกว่าค่อนข้างรู้สึกกลัว ก็เลยท่องไม่ได้…”
“รู้สึกกลัว รู้สึกกลัว!” สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วหว่างคิ้วของเขาก็เต็มไปด้วยสีหน้าที่เหลืออดเต็มที “ไม่ใช่เพราะกลัวก็เพราะกังวลใจ มิฉะนั้นก็รู้สึกเครียดและกดดันเกินไป เขาอายุตั้งเท่าไรแล้ว ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ได้หรือ”
หยิบยกปัญหามาพูดแต่กลับไม่สามารถจัดการแก้ไขได้ ก็อย่าพูดถึงปัญหานี้อีกจะเป็นการดีที่สุด
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องสนทนา “จะว่าไปแล้ว เทศกาลซานเย่ว์ซานก็คือวันเกิดของเจี้ยเกอพอดี”
สวีลิ่งอี๋จำได้เสียที่ไหนกัน เขาตอบกลับเพียงว่า “อืม” สั้นๆ เพียงคำเดียว จากนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ถือโอกาสนี้จัดงานให้เขาด้วยเลย เจ้าดูว่าจะต้องใช้เงินเท่าไร ข้าจะได้ให้พ่อบ้านไป๋ไปเบิกมา”
สืออีเหนียงนึกถึงสีหน้าของคุณชายห้าและฮูหยินห้าขึ้นมาแล้ว…สิ่งที่สวีซื่อเจี้ยต้องการไม่ใช่ป่าวประกาศแต่เป็นการเก็บเงียบ
สืออีเหนียงจึงหยิบยกข้ออ้างของฮูหยินสองมาพูด “เด็กอายุยังน้อย จัดงานเอิกเกริกใหญ่โตจะทำให้เสียลาภได้ ข้าว่าถึงเวลานั้นก็ต้มหมี่อายุยืนให้เขาสักชามก็พอเจ้าค่ะ!”
“เจ้าตัดสินใจเองก็พอแล้ว!” สวีลิ่งอี๋หันไปมองเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังจูงมือสวีซื่อเจี้ยเดินอยู่ข้างหน้า “ในเมื่อมาอยู่กับเราแล้ว ก็ไม่ควรให้เขาลำบากถึงจะถูก”
สืออีเหนียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หลังจากกลับถึงเรือนแล้ว ฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียงก็ได้มาคารวะ สืออีเหนียงจึงพูดถึงเรื่องย้ายที่พักชั่วคราวกับพวกนาง จากนั้นก็ได้สั่งให้ลี่ว์อวิ๋นไปแจ้งเรื่องนี้กับเฉียวเหลียนฝัง
เหวินอี๋เหนียงไม่มีความเห็นที่แตกต่าง แต่ฉินอี๋เหนียงกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ลังเลว่า “ข้า…ข้าขอดูวันก่อนแล้วค่อยย้ายได้หรือไม่”
สืออีเหนียงฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ
เหวินอี๋เหนียงจึงยิ้มขึ้นพร้อมกับอธิบายว่า “ฉินอี๋เหนียงกราบไหว้บูชาพระโพธิสัตว์อยู่ในเรือนเจ้าค่ะ”
ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ไม่กีดกันความเชื่อของผู้อื่น
“เช่นนั้นฉินอี๋เหนียงก็รีบตัดสินใจให้เสร็จในเร็ววัน จะได้ไม่ไปกระทบฤกษ์งามยามดีในการลงมือต่อเติมและซ่อมแซม”
ฉินอี๋เหนียงขานรับและถอยออกไป กลางดึกนางก็เริ่มเผากระดาษเหลือง[1]และสวดมนต์อธิษฐาน
ส่วนเหวินอี๋เหนียงหลังจากกลับไปถึงเรือนแล้ว ก็ได้เย็บผ้าคาดเอวกับชิวหง ตงหง อวี้เอ๋อร์และคนอื่นๆ ตลอดทั้งคืน
“ผ้าคาดเอวอยู่ คนก็จะอยู่ หากผ้าคาดเอวไม่อยู่แล้ว คนก็อย่าได้มีชีวิตอยู่ต่อเลย”
“เจ้าค่ะ!” เพราะผ้าคาดเอวแต่ละผืนที่อยู่ในมือของชิวหงและคนอื่นๆ นั้นต่างบรรจุไปด้วยตั๋วเงินราคาสองแสนตำลึง เวลาปักเย็บจึงค่อนข้างมีอาการสั่นเทา
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ “ท่านโหว…ย้ายไปพักที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน ส่วนข้ากับอี๋เหนียงทั้งสองย้ายไปพักที่ลานหนงเซียงหรือ”
“เจ้าค่ะ! เฉียวอี๋เหนียง” ลี่ว์อวิ๋นตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ได้ยินว่าเป็นความคิดเห็นของไท่ฮูหยินเจ้าค่ะ”
เฉียวเหลียนฝังชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็ได้ให้ซิ่วหยวนไปนำเศษเงินก้อนมาสองก้อนเพื่อเป็นค่าน้ำใจและส่งนางที่หน้าประตู
ลี่ว์อวิ๋นเห็นแล้วก็รู้สึกขนลุกซู่ไปหมด จากนั้นก็ได้กลับไปเรียนเรื่องนี้กับสืออีเหนียง “…จู่ๆ ก็มาตกเงินรางวัลให้บ่าวเจ้าค่ะ!”
“นางให้เงินรางวัลเจ้า เจ้าก็รับไว้เถิด!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
คนเราจะหลีกเลี่ยงเรื่องเช่นนี้ได้ทุกครั้งเสียที่ไหนกัน
อย่างไรเสียชีวิตของนางก็ยังคงต้องดำรงต่อไป
ลี่ว์อวิ๋นขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ไปรินน้ำชาอุ่นๆ มาให้สืออีเหนียง นางและหู่พั่วก็ได้เริ่มเขียนรายชื่อแขกที่จะเชิญมาร่วมงานในเทศกาลซานเย่ว์ซาน แขกที่เชิญมาร่วมงานล้วนแล้วแต่เป็นแขกเก่าเสียส่วนใหญ่
สืออีเหนียงเห็นว่าตัวอักษรของหู่พั่วนับวันก็ยิ่งสวยขึ้น
“ฝึกฝนต่ออีกสักหน่อยก็สามารถเขียนเทียบเชิญได้แล้ว” น้ำเสียงฟังดูชื่นใจเป็นอย่างมาก
หู่พั่วเม้มปากยิ้มขึ้นบางๆ แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยคำพูดของหงซิ่ว ‘…พอเยี่ยนหรงได้ยินว่า ฮูหยินเป็นสตรีที่ชอบศึกษาไขว่คว้าหาความรู้ ดังนั้นในทุกๆ เช้านางก็จะใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการเรียนอักษร ฝนตกแดดออกก็ไม่เคยย่อท้อ หมอกน้ำค้างลงหรือพายุหิมะพัดกระหน่ำก็ไม่เคยหยุดพักเลยเจ้าค่ะ!’
นางกำลังจับจ้องตำแหน่งของปินจวี๋หลังจากที่ปินจวี๋แต่งงานออกไปแล้วสินะ!
หู่พั่วก็นึกถึงปินจวี๋ขึ้นมา…
“ฮูหยิน พี่ปินจวี๋กลับสกุลเดิมหลังแต่งงานวันที่เก้าหรือวันที่สิบสองเจ้าคะ”
หากกลับสกุลเดิมหลังแต่งงานในวันที่เก้า ก็จะตรงกับวันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนสาม หากกลับสกุลเดิมหลังแต่งงานในวันที่สิบสอง ก็จะตรงกับวันขึ้นห้าค่ำเดือนสาม
“ข้าให้นางกลับสกุลเดิมตอนครบเดือนพอดี”
หู่พั่วได้ยินแล้วก็ชะงักไปชั่วขณะ
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตอนแรกข้าเองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ รู้สึกเพียงว่านางพักอยู่ไกล ไปกลับต้องใช้เวลาทั้งวันเห็นจะได้ อีกอย่างตอนนั้นก็ถึงปลายเดือนสามพอดี เป็นช่วงเวลาที่ดอกไม้ใบหญ้ากำลังผลิบาน นางยังสามารถท่องเที่ยวชื่นชมธรรมชาติได้อีกด้วย”
หู่พั่วได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้าง “พี่ปินจวี๋เป็นคนที่มีบุญวาสนาโดยแท้”
แต่ในใจของนางกลับคิดว่าฮูหยินไม่ลืมมิตรภาพในอดีตเช่นนี้ ดูแล้วคงจะต้องร่วมมือกับจู๋เซียงคิดหาวิธีเสียหน่อยแล้ว
หากจะนับคนที่ฉลาดหัวไวในจวนนี้ ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คน…
และในเวลานี้สืออีเหนียงยังคงจ้องมองรายชื่อที่คุ้นเคยที่เรียงรายอยู่บนกระดาษแดงโรยผงทอง สีหน้าและแววตาของนางดูค่อนข้างเหม่อลอย
และแล้วก็ถึงวันขึ้นสามค่ำเดือนสามอีกครั้ง
ครั้งแรกที่เจอสวีลิ่งอี๋ ก็ตรงกับเทศกาลซานเย่ว์ซานเช่นกัน
วันนั้นมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย
เริ่มจากสือเหนียงที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น จากนั้นก็มีเรื่องเกิดขึ้นที่เรือนเล็ก
เทศกาลซานเย่ว์ซาน สำหรับหลายๆ คนแล้ว ถือเป็นฤดูกาลของการท่องเที่ยวชื่นชมธรรมชาติแห่งฤดูใบไม้ผลิจัดขึ้นปกติทั่วไป และสำหรับใครหลายๆ คน ก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิต หยวนเหนียง เฉียวเหลียนฝัง สือเหนียง หลานถิง เฉาเอ๋อร์ หลินหมิงหย่วน…หรือแม้กระทั่งเหวินเหลียน ใบหน้าที่คุ้นเคยและแปลกหน้าค่อยๆ แล่นผ่านเข้ามาในความคิดของสืออีเหนียงทีละคน
สืออีเหนียงรีบสะบัดหน้าแรงๆ เพื่อสลัดเอาความทรงจำเหล่านั้นทิ้งไป
สำหรับเรื่องในอดีต ส่วนน้อยมากที่นางจะหลงใหลและเคลิบเคลิ้มไปกับความทรงจำในอดีตเหล่านั้น
นางหันไปสั่งกับหู่พั่วให้ไปหาเสื้อผ้าเรียบง่ายมาสักสองสามตัว “พรุ่งนี้เช้าเราไปดูจุนเกอกัน!”
หู่พั่วได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
สถานศึกษาเรียนรู้ชาติวงศ์ของจวนสกุลสวีมีชื่อว่าเรือนฝึกฝนอบรมบ่มเพาะ ตั้งอยู่ในลานนอกระหว่างกลางของมุมทิศเหนือและทิศใต้ ขึ้นชื่อว่าสถานศึกษาเรียนรู้ชาติวงศ์ แต่คนจากจวนสกุลสวีกลับมีเพียงสวีซื่ออวี้และจุนเกอที่ศึกษาอยู่ที่นั่นเท่านั้น ส่วนนักเรียนคนอื่นๆ อีกเจ็ดแปดคนนั้นส่วนหนึ่งมาจากบุตรหลานของเหล่าขุนนางชั้นผู้น้อยและเหล่าขุนนางระดับล่างในราชสำนัก แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นวุ่นวายสลับซับซ้อน แต่อย่างไรเสียก็ถือว่ามีคนนอกมาร่วมด้วย
“ข้ามีความรู้สึกว่าสถานการณ์ของจุนเกอไม่ค่อยปกติเท่าไรนัก…” ก่อนหน้านี้สืออีเหนียงไม่เคยพิจารณาและไตร่ตรองถึงเรื่องนี้เลย นางพูดขึ้นอย่างครุ่นคิดว่า “เหตุใดเวลาที่อาจารย์ผู้สอนให้เขาท่องตำราแล้วเขาถึงท่องไม่ได้…กับท่านโหวถือว่ามีความหวาดกลัว…แต่กับอาจารย์ท่านนั้นก็มีความหวาดกลัวด้วยหรืออย่างไรกัน”
“ลองเรียกคุณชายน้อยสองมาถามดูดีหรือไม่เจ้าคะ” หู่พั่วพูดขึ้น “คุณชายน้อยสองและคุณชายน้อยสี่เรียนหนังสือตำราด้วยกัน คงจะพอรู้เรื่องบ้าง!”
“อย่างไรเสียก็ถือว่าเป็นอาจารย์ของตน” สืออีเหนียงส่ายหน้าเบาๆ “หากว่ามีอะไรจริง คุณชายน้อยสองก็คงจะไม่สะดวกใจพูดเท่าไรนัก เหตุใดเราต้องไปทำให้เขาลำบากใจด้วยเล่า สู้เราไปแอบดูเงียบๆ แล้วค่อยมาปรึกษาวางแผนกันดีกว่า”
หู่พั่วขานรับ จากนั้นก็ไปค้นหาชุดเป่ยจื่อเรียบง่ายธรรมดาสีเขียวทะเลสาบที่เคยใส่ตอนอยู่จวนสกุลเดิมมาหนึ่งชุด
สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาพอดี เมื่อครู่นี้เขาพึ่งจะไปที่ห้องตำรามา
คนที่ติดตามเขาไปด้วยคือหลินปัวและจ้าวอิ่ง ในมือของทั้งคู่กำลังหอบกล่องกระดาษอยู่คนละสองสามกล่อง
จากนั้นเขาก็ได้สั่งให้หลินปัวและจ้าวอิ่งนำกล่องเหล่านั้นไปวางไว้บนเตียงเตาในห้องชั้นใน
สืออีเหนียงเดินเข้าไปย่อตัวทำความเคารพเขา ยิ้มพร้อมถามขึ้นว่า “ท่านโหวเอาสิ่งใดมาด้วยหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋จึงกวักมือเรียกสืออีเหนียงเข้าไปดู “น้องห้าเป็นคนทำ เห็นบอกว่าเป็นแบบจำลองของเรือน ส่งมาตอนเที่ยงของวันนี้” จากนั้นเขาก็ได้ชี้ให้สืออีเหนียงดู “ตรงนี้เป็นหน้าต่าง ตรงนี้คือประตู ส่วนตรงนี้เป็นเรือนหลัก…” ฝีไม้ลายมือละเมียดละไมดูเหมือนจริงเป็นอย่างมาก แม้แต่ลายฉลุบนหน้าต่างยังสลักเป็นลายดอกเหมยอย่างชัดเจน
“คุณชายห้าฝีมือยอดเยี่ยมยิ่งนัก” สืออีเหนียงกล่าวชื่นชมด้วยใจจริง
แต่สวีลิ่งอี๋กลับพูดขึ้นว่า “หากเขานำความตั้งใจเหล่านี้มาใช้กับธุระในจวนบ้างก็คงจะดี”
แต่สืออีเหนียงกลับเข้าใจสวีลิ่งควนได้
ในเมื่อทำดีหรือทำไม่ดีก็ราคาเท่ากัน สู้เอาความตั้งใจไปทุ่มเทให้กับสิ่งที่ตัวเองรักเพื่อหาความสุขยังดีเสียกว่า
จากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็ได้พูดถึงเรื่องที่จะเตรียมปลูกต้นไม้และดอกไม้ไว้ตรงไหนบ้าง
สืออีเหนียงเองก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
ทั้งสองคุยกันไปครึ่งค่อนวันเห็นจะได้ พอได้ยินเสียงกลองบอกเวลาจึงค่อยพากันไปนอนพักผ่อน
วันถัดมา สืออีเหนียงมวยผมขึ้นด้วยทรงเรียบง่าย จากนั้นก็พาหู่พั่ว ลี่ว์อวิ๋นและป้ารับใช้ติดตามไปด้วยอีกสามสี่คน ตรงไปยังสำนักศึกษาชาติวงศ์
เพราะได้กำชับตั้งแต่แรกแล้วว่าให้ไปกันอย่างเงียบๆ ทุกคนจึงใช้ทางเดินหลังเรือนแทน
ในเรือนเงียบสนิทไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ ท่านอาจารย์กำลังสอนบทความใน ‘คัมภีร์มหาบุรุษ’ ที่ว่า ‘ทุกสรรพสิ่งมีจุดเริ่มต้นฉันใด ก็ย่อมมีจุดสิ้นสุดฉันนั้น’
น้ำเสียงของเขาดังก้องกังวาน ฟังดูหนักแน่นและเฉียบขาด ความรู้ถือว่าใช้ได้ อ้างอิงคัมภีร์ ใช้วิธีอธิบายด้วยการยกตัวอย่างและเปรียบเทียบ เขาค่อยๆ สอนด้วยคำพูดคำจาที่ฉะฉานคล่องแคล่วว่องไว ฟังแล้วค่อนข้างทรงพลัง วาจาสละสลวย ละเอียดรัดกุมอย่างเหมาะสม ข้อเสียคือแข็งกระด้างและตายตัวจนเกินไป ไม่ค่อยดึงดูดความสนใจของผู้ฟังเท่าไรนัก ระหว่างนั้นเขาเองก็ได้เรียกนักเรียนลุกขึ้นมาตอบคำถามเป็นระยะๆ บางคนตอบได้ดี บางคนตอบได้แย่ คนที่ตอบได้ดีเขาก็ยังคงเก็บสีหน้าสุขุมและนิ่งสงบ คนที่ตอบได้แย่ก็อบรมสั่งสอนเสียยกใหญ่ในตอนนั้นเลย อีกอย่างน้ำเสียงก็ค่อนข้างดุเดือด และวาจาก็ค่อนข้างรุนแรง
สืออีเหนียงค่อยๆ เดินออกจากสำนักศึกษาชาติวงศ์อย่างเบามือเบาเท้า
หลังจากทานข้าวมื้อค่ำแล้วก็ได้ส่งจุนเกอกลับไปยังที่พักของเขา จากนั้นก็ได้ให้เขาท่อง ‘เด็กน้อยเรียนรู้’ ให้ตนฟัง
จุนเกอท่องรวดเดียวหกบท ไม่หยุดชะงักแม้แต่นิดเดียว
ตอนกลางคืนสืออีเหนียงก็ได้ถามสวีลิ่งอี๋ว่า “ท่านบอกว่าจะเปลี่ยนอาจารย์ให้จุนเกอมิใช่หรือ เปลี่ยนแล้วหรือยังเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ส่ายหน้าเล็กน้อย “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ คนนี้ถึงแม้ว่าจะมีความรู้ทั่วๆ ไป แต่มีดีตรงที่ว่าเป็นคนซื่อสัตย์และสง่าผ่าเผย นี่ไม่ได้เป็นการสอบจอหงวน ให้เขาสอนชั่วคราวไปก่อนก็แล้วกัน!”
ในเมื่อเขาถูกใจคุณลักษณะของอาจารย์ท่านนี้ สืออีเหนียงจึงกลืนคำพูดที่ต้องการจะพูดเมื่อครู่นี้ลงคอไป
———————-
[1]กระดาษเหลือง หรืออ่วงแซจี๊ เป็นกระดาษสีเหลืองมีอักษรจีนสีแดงเป็นวงกลมพิมพ์อักษรคาถาตรงกลาง ใช้เผาไหว้วิญญาณ