ยามเช้าหลังจากที่คนส่งจดหมายออกไปแล้ว สืออีเหนียงก็ได้เรียกฉังเสวียจื้ออีกครั้ง “ไปสืบมาทีว่าค่าตอบแทนรายปีของอาจารย์ที่สอนในสำนักศึกษาชาติวงศ์ของจวนจงซานโหวสกุลถังเท่าไร”
คนที่นางให้ไปส่งจดหมายนั้นก็กลับมาตอนเที่ยงพอดี คนที่เดินทางกลับมาด้วยนั้นคือหลัวเจิ้นซิ่ง
“พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าบอกว่าเจ้ามีเรื่องด่วนจะปรึกษาข้า บ่าวรับใช้เลยเรียกข้ากลับจากสำนักศึกษา” สืออีเหนียงเป็นคนที่จัดการธุระได้อย่างสุขุมและเป็นระบบระเบียบไม่วู่วามมาโดยตลอด น้อยนักที่จะมีเรื่องด่วนเช่นนี้ สีหน้าท่าทางของเขาค่อนข้างเคร่งขรึม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรืออย่างไรกัน”
สืออีเหนียงเชิญหลัวเจิ้นซิ่งไปพูดคุยที่ห้องปีกทิศตะวันออก จากนั้นก็ได้เล่าสถานการณ์ของจุนเกอให้เขาฟัง “…อยากให้พี่ใหญ่ช่วยแนะนำอาจารย์จ้าวให้กับท่านโหวเจ้าค่ะ!”
หลัวเจิ้นซิ่งลังเลเล็กน้อย “ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าจินของสำนักศึกษาฮั่นหลินย่วนแนะนำอาจารย์ให้ท่านโหวตั้งหลายท่าน แต่ท่านโหวกลับไม่ถูกใจเลยสักคน…”
“ท่านอาของอาจารย์จ้าวเป็นลูกศิษย์ของใต้เท้าหลิ่ว มีพื้นฐานการสอนของตระกูล” สืออีเหนียงอธิบาย “อวี้เกอดื้อรั้นขนาดนี้ ยังนับถือและเคารพอาจารย์จ้าวเป็นอย่างมาก ข้าว่าการสอนนักเรียนจะต้องมีทักษะพอสมควร จุนเกอจะเสียเวลากว่านี้ไม่ได้แล้ว ยิ่งถ่วงเวลาเขาก็จะยิ่งไม่มีความมั่นใจ จะยิ่งทำให้ท่านโหวไม่ชอบใจมากขึ้นไปอีก”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น ฉังเสวียจื้อก็กลับมารายงานผลพอดี
สืออีเหนียงไม่ได้ปิดบังหลัวเจิ้นซิ่ง นางได้เรียกฉังเสวียจื้อเข้ามาด้านใน
เขารีบทำความเคารพต่อหลัวเจิ้นซิ่งทันที จากนั้นก็ได้เรียนสืออีเหนียงว่า “ค่าตอบแทนที่จวนจงซานโหวว่าจ้างอาจารย์ราวสิบสองตำลึงต่อปี เสื้อผ้าอาภรณ์สี่ชุดครบสี่ฤดู และยังให้บ่าวรับใช้คอยตามปรนนิบัติเขาหนึ่งคนด้วยขอรับ”
สองพี่น้องหันมาสบตากันด้วยความแปลกใจ
ตอนที่อาจารย์จ้าวสอนตำราอยู่ที่จวนจงซานโหว เขาได้รับค่าตอบแทนสิบห้าตำลึง แต่พอว่าจ้างอาจารย์คนใหม่กลับให้ค่าตอบแทนเพียงแค่สิบสองตำลึง สำหรับความทารุณโหดของตระกูลพวกเขาที่มีต่อผู้คนนั้น ยังยอมที่จะออกเงินมากกว่าตั้งสามตำลึงเพื่อที่จะว่าจ้างอาจารย์จ้าว…
สืออีเหนียงและหลัวเจิ้นซิ่งต่างก็เห็นถึงแววตาที่มุ่งมั่นจากสายตาของกันและกัน
หลัวเจิ้นซิ่งตบแผ่นอกเสียงดังพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง! ข้าจะคิดหาวิธีเชิญเขามาให้ได้”
น้าของจุนเกอออกหน้าแทน แน่นอนว่าย่อมดีกว่าแม่เลี้ยงอย่างนางออกหน้า
“เรื่องค่าตอบแทน จะเท่าไรก็คุยกันได้” สืออีเหนียงพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด “ส่วนทางฝั่งท่านโหว…ก็เพียงแค่บอกว่าท่านเป็นห่วงการเล่าเรียนของจุนเกอ ข้าและท่านสองพี่น้องพบปะเจอหน้าจึงได้พูดคุยถึงเรื่องนี้ ท่านจึงเกิดเป็นห่วงขึ้นมา!”
หลัวเจิ้นซิ่งเข้าใจถึงเจตนาอย่างแท้จริง “วางใจเถิด ทางฝั่งท่านโหวข้ารู้ว่าต้องพูดอย่างไร” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “เหตุใดจึงไม่เห็นท่านโหวเลย”
“ท่านโหวอยู่ที่ลานนอกเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่จวนกำลังเตรียมตัวจะปลูกสร้างเรือนปีกใหม่ให้หลัวเจิ้นซิ่งฟัง “…วันนี้มีไม้มาส่งที่จวน”
“หากเด็กๆ พักอยู่กับเจ้าทั้งหมด ก็คงจะคับแคบไปหน่อย” หลัวเจิ้นซิ่งพูดขึ้นพลางพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องของจุนเกอขึ้นมา “ใช่ว่าจะท่องตำราไม่ได้เสียหน่อย ทำไมถึงกลัวอาจารย์ได้” น้ำเสียงของเขาดูไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ “นั่นน่ะสิ!” ตอนสืออีเหนียงยังเด็กก็มีความตั้งใจที่จะเข้าเรียนและเข้าสอบ เพราะสามารถอวดบิดามารดาได้ และบิดามารดาเองก็สามารถนำไปอวดกับคนอื่นได้อีกด้วย “เมื่อก่อนก็เคยได้ยินมา…”
“เมื่อก่อนเคยได้ยินอะไรมาหรือ” หลัวเจิ้นซิ่งถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
สืออีเหนียงพึ่งรู้สึกตัวว่าตนนั้นได้เผลอหลุดปากไป จึงรีบแสร้งเลอะเลือนเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน “เมื่อก่อนข้าเหมือนเคยได้ยินมาว่ามีนักเรียนกลัวการเจอกับอาจารย์มาก เพียงแต่ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้กับตา…” พอดีกับที่ป้ารับใช้เข้ามารับคำสั่ง “…วันมะรืนก็เป็นเทศกาลซานเย่ว์ซานแล้ว ที่จวนเตรียมตัวจะเชิญคณะเต๋ออินปาน คณะฉังเซิงปานและคณะเจี๋ยเซียงตู้มาแสดงละครงิ้ว จึงมีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ”
หลัวเจิ้นซิ่งได้ยินแล้วก็ลุกขึ้นขอตัวลากลับ “เช่นนั้นเจ้าก็ไปจัดการเถิด ระวังสุขภาพด้วย!”
สืออีเหนียงก็เชื้อเชิญเขาให้อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อน “…ไม่ได้รีบร้อนถึงเพียงนั้นเจ้าค่ะ”
หลังจากที่หลัวเจิ้นซิ่งได้รับข่าวแล้ว เขาก็รีบมาทันที นึกขึ้นได้ว่าตอนบ่ายยังต้องไปเข้าเรียนที่สำนักศึกษาต่อ จึงไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
สืออีเหนียงทานมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เช้าแล้ว ก็เลยให้ห้องครัวทำอาหารประเภทเนื้อสัตว์สี่อย่าง ประเภทผักสองอย่างและน้ำแกงหนึ่งอย่างมาต้อนรับหลัวเจิ้นซิ่ง
หลัวเจิ้นซิ่งเพิ่งจะหย่อนตัวนั่งลง สวีลิ่งอี๋ก็มาถึงพอดี
“มาถึงตั้งแต่เมื่อใด” จากนั้นเขาก็ได้หันไปตำหนิสืออีเหนียงว่า “เหตุใดถึงไม่ให้เด็กรับใช้ไปเรียนข้าสักคำ”
“ข้าเป็นคนห้ามไม่ให้น้องหญิงสิบเอ็ดไปเรียนเอง” หลัวเจิ้นซิ่งกลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายว่า “ได้ยินว่าท่านกำลังยุ่งกับเรื่องปลูกสร้างเรือนข้างใหม่ ข้าจึงไม่ได้เรียกท่านโหว”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หันไปสั่งกับสืออีเหนียงว่า “ไปนำสุราไท่ไป๋ลู่ที่ข้าพึ่งได้จากวังคราวก่อนมาหน่อย แล้วก็เพิ่มตะเกียบให้ข้าสักคู่”
หลัวเจิ้นซิ่งรีบพูดขึ้นว่า “ช่วงบ่ายข้ายังต้องไปที่สำนักศึกษา ไม่สามารถดื่มสุราได้!”
สวีลิ่งอี๋เองก็ไม่บังคับ รับตะเกียบจากสืออีเหนียงทานข้าวเป็นเพื่อนหลัวเจิ้นซิ่งครึ่งถ้วย จากนั้นก็พากันไปดื่มน้ำชาที่ห้องปีกทิศตะวันตก
“จุนเกอเข้าเรียนราวครึ่งเดือนแล้วเห็นจะได้ ข้าเลยตั้งใจมาดูเสียหน่อย” ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามธรรมชาติก็ดีแล้ว ไม่ต้องเลือกหาฤกษ์งามยามดีให้เสียเวลา หลัวเจิ้นซิ่งตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ ว่า “ฟังจากน้ำเสียงของน้องหญิงสิบเอ็ด จุนเกอค่อนข้างน่าเป็นห่วงหรือ”
สวีลิ่งอี๋หันไปมองสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าไปได้ใครมา! พี่สาวของเจ้าฉลาดหลักแหลมและหัวไว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง ข้าเองก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดอ่อนแอเช่นนั้น”
หลัวเจิ้นซิ่งจึงถือโอกาสนี้พูดถึงอาจารย์จ้าวขึ้นมา “…ให้ข้าไปช่วยทาบทามอาจารย์จ้าวหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋กลับไม่มีปฏิกิริยาสนใจมากเท่าไรนัก “ถึงเวลาค่อยว่าก็แล้วกัน”
หลัวเจิ้นซิ่งแอบกลัดกลุ้มร้อนใจ แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรมากกว่านี้ได้ หลังจากนั้นก็ได้พูดคุยถึงเรื่องประเด็นร้อนของราชสำนักที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจมากที่สุด ก็คือเรื่องยกเลิกคำสั่งปิดทะเล เมื่อเห็นว่าเริ่มสายแล้ว จึงได้ลุกขึ้นขอตัวลากลับ
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะพูดกับสืออีเหนียงว่า “จุนเกอก็แค่ยังไม่คุ้นชิน เวลาผ่านนานไปเขาก็จะดีขึ้นเอง ไม่จำเป็นต้องบอกเจิ้นซิ่งหรอกกระมัง!”
“ข้าก็เพียงแค่ร้อนใจเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงจึงได้เล่าเรื่องที่จุนเกอท่องตำรา ‘เด็กน้อยเรียนรู้’ ให้นางฟังอย่างคล่องปากให้สวีลิ่งอี๋ฟัง จากนั้นนางก็บ่นพึมพำว่า “เวลาท่านโหวฉุนเฉียวขึ้นมา อย่าว่าแต่จุนเกอเลย แม้แต่ข้าเองก็ยังรู้สึกกลัวเสียด้วยซ้ำ!”
สวีลิ่งอี๋พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
เมื่อสืออีเหนียงเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร จึงพูดโน้มน้าวเขาต่อว่า “ท่านโหว พี่ใหญ่ก็แค่หวังดีกับจุนเกอ อย่างน้อยท่านโหวก็ควรจะเห็นเจ้าตัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะได้ไม่เป็นการเสียน้ำใจพี่ใหญ่” พูดจบก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเพียงแค่ความคิดฝ่ายเดียวของพี่ใหญ่เท่านั้น อาจารย์จ้าวจะยอมรับปากหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นสูง
สืออีเหนียงกล่าวถึงอาจารย์จ้าวให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “ตอนที่อาจารย์จ้าวออกจากเมืองหลวง ก็มีคนที่เลื่อมใสในอาจารย์จ้าว เชื้อเชิญเขาไปเป็นอาจารย์สอนที่จวน ตอนนั้นเขาได้รับการขอร้องจากท่านอาสะใภ้สามให้ส่งน้องห้าและน้องหกกลับซีซาน จึงได้ใช้ข้ออ้างนี้มาเป็นเหตุผลเพื่อปฏิเสธไป ดังนั้นพอพี่ใหญ่ได้ยินข้าเล่าว่าจุนเกอกลัวอาจารย์ ก็ได้นึกถึงน้องห้าและน้องหกที่ดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง จึงมีความคิดที่จะเชื้อเชิญอาจารย์จ้าวขึ้นมา”
เมื่อได้ยินแล้วสวีลิ่งอี๋ก็เกิดรู้สึกสนใจขึ้นมาจริงๆ เขาพยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นก็รอให้เจอเจ้าตัวก่อน แล้วค่อยว่ากัน”
มีโอกาสได้ลองย่อมดีกว่าอยู่แล้ว!
สืออีเหนียงถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก
สายตาของสวีลิ่งอี๋ก็จับจ้องไปยังจดหมายที่เขียนได้เพียงครึ่งเดียวบนโต๊ะเตียงเตานั่น
“เขียนให้คุณหนูเจ็ดสกุลกานเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงรีบอธิบายด้วยรอยยิ้ม “หลังจากนั้นนางก็ได้เขียนจดหมายมาเชื้อเชิญข้าไปเป็นแขกที่จวนของนาง…ครั้งนี้จึงอยากจะเชื้อเชิญนางมาร่วมงานด้วย…วันที่ยี่สิบหกเดือนสามเป็นวันแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ไม่รู้ว่านางจะมาได้หรือไม่!” น้ำเสียงของนางกลับปนไปด้วยความผิดหวัง
รู้จักกันในวันที่สามเดือนสาม เทศกาลหนี่ว์เอ๋อร์เจี๋ยสินะ!
สวีลิ่งอี๋นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้น สีหน้าแววตาของเขาดูหมองหม่นลงไปอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็ได้พูดปลอบใจสืออีเหนียงว่า “จวนสกุลเหลียงอยู่ในเมืองเยี่ยนจิง วันข้างหน้ายังมีโอกาสอีกมากมาย!”
สืออีเหนียงเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก นางจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ข้าเองก็คิดเช่นนี้เจ้าค่ะ ดังนั้นจึงเขียนจดหมายให้นาง ดูว่านางมาได้หรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้นก็ได้ถามสืออีเหนียงว่าเตรียมงานไปถึงไหนแล้ว “…หากว่ายุ่งจนไม่ทันจริงๆ ก็เรียกจ้าวอิ่งมาช่วย ในตอนแรกเขาอยู่ฝ่ายรายงาน ข้าเห็นว่าฉลาดหัวไว ก็เลยให้มาติดตามข้างกาย เขาติดตามข้ามานาน ความรู้ประสบการณ์ก็ถือว่ามากทีเดียว”
คงเพราะห่วงว่าตนจัดงานเช่นนี้ครั้งแรก จึงกลัวว่าประสบการณ์ไม่พอกระมัง
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ล้วนแล้วแต่จัดตามแบบเดิมทั้งสิ้น ประสบการณ์ของเหล่าบรรดาท่านป้าผู้ดูแลแต่ละคนก็ถือว่าไม่น้อยเลย ข้าดูแล้วคงจะไม่มีอะไรมากเจ้าค่ะ!”
ถึงแม้ว่าในใจจะรู้สึกซาบซึ้ง แต่กลับไม่กล้ารับน้ำใจ ให้จ้าวอิ่งมาช่วยงาน แน่นอนว่าคงจะสำเร็จลุล่วงได้อย่างรวดเร็ว แต่สำหรับผู้อื่น มันจะกลายเป็นจุดอ่อนที่จะใช้เป็นเหตุผลมาโจมตีนาง
สวีลิ่งอี๋เห็นแววตาของนางเป็นประกายแวววาว สีหน้าสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก ทำได้เพียงกำชับกับจ้าวอิ่งว่าถึงเวลาให้มาดูแลด้วย มีเรื่องอันใดให้ช่วยก็รีบเข้าไปช่วย
ตกบ่าย คุณชายห้าก็ได้นำชื่อเพลงของคณะละครงิ้วทั้งสามคณะมา
คณะเต๋ออินปานขับร้องเพลง ‘บันทึกรักลายปักเสื้อนวม’ คณะฉังเซิงปานขับร้องเพลง ‘บันทึกศึกชิงอำนาจ’ คณะเจี๋ยเซียงตู้ขับร้องเพลง ‘บันทึกเตาเผาร้าง’
เขาค่อนข้างเป็นห่วงว่าถึงเวลานั้นสืออีเหนียงจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ จึงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้ากำชับไว้หมดแล้ว คณะละครงิ้วทั้งสามคณะให้ซื่อเป่าเป็นคนดูแล เขาติดตามข้าวิ่งเรื่องละครงิ้วตั้งแต่ตอนอายุยังน้อย จึงค่อนข้างสนิทกับเหล่าบรรดาคณะละครงิ้ว ถึงเวลานั้นพี่สะใภ้สี่เพียงแค่ทักทายและต้อนรับผู้หลักผู้ใหญ่ก็พอแล้ว!”
ก็แค่ที่จวนมีการแสดงร้องรำทำเพลง สืออีเหนียงเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว แต่เจตนาดีของสวีลิ่งควนก็ควรจะรับเอาไว้ นางจึงกล่าวขอบคุณเขาด้วยความจริงใจ จากนั้นก็เดินไปส่งเขาที่หน้าประตูด้วยตัวเอง
สามารถยื่นมือช่วยเหลือสืออีเหนียงได้ สวีลิ่งควนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ขากลับจึงเดินตัวเบาอย่างอารมณ์ดี
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
เมื่อกลับมาถึงเรือน ลี่ว์อวิ๋นก็ได้นำเสื้อผ้าจากห้องเย็บปักถักร้อยมา
เสื้ออ่าวบางสีชมพูคอเสื้อแบบซ้ายทับขวา กระโปรงผ้าไหมสีเขียวอมฟ้า เมื่อสวมลงไปบนตัวของสืออีเหนียงแล้ว ราวกับดอกไม้ตูมในฤดูใบไม้ผลิที่กำลังเบ่งบาน
ชุดเป้ยจื่อสีเขียวนกยูง กระโปรงผ้าทอสีน้ำเงินอ่อน สดใสเป็นธรรมชาติ ราวกับกิ่งไม้ที่พึ่งแตกยอดอ่อนเหนือศีรษะนอกหน้าต่างนั่น
เสื้ออ่าวเล็กคอปิดสีเหลืองผลซิ่ง กระโปรงจับจีบจันทราทรงกลดสีม่วงสด ฉูดฉาดงดงาม หรูหราและดูมีราคา
สืออีเหนียงพอใจเป็นอย่างมาก นางหันไปสั่งกับเยี่ยนหรงว่า “วันแรกมวยผมทรงโบตั๋น เตรียมหวีสับประดับไข่มุกมาสองเล่มก็พอ วันที่สองมวยผมทรงก้นหอย เตรียมชุดเครื่องเงินประดับผมดอกซิ่งสีแดงก็พอ ส่วนวันที่สามมวยผมทรงกลม ใช้ชุดเครื่องประดับผมพลอยทับทิม”
ลี่ว์อวิ๋นรีบพยักหน้าทันควัน จากนั้นสืออีเหนียงก็ได้ถามถึงเจินเจี่ยเอ๋อร์ขึ้นมา “ของของนางเตรียมเสร็จหมดแล้วหรือยัง”
“เตรียมเสร็จหมดเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ!” นางตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ทำตามที่ท่านสั่งไว้ ชุดเป้ยจื่อสีขาวผลซิ่งหนึ่งชุด ชุดเป้ยจื่อสีฟ้าปักเลื่อมทองหนึ่งชุด และชุดอ่าวกระดุมหน้าสีเหลืองอ่อนอีกหนึ่งชุดเจ้าค่ะ”
จากนั้นสืออีเหนียงก็ได้ให้ลี่ว์อวิ๋นไปเชิญเหวินอี๋เหนียงมา
“ถึงเวลานั้นเกรงว่าคุณหนูของแต่ละจวนคงจะมาจนครบหมด” นางกำชับเหวินอี๋เหนียงอย่างละเอียดถี่ถ้วน “เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นคุณหนูใหญ่ของจวนเรา แน่นอนว่าต้องให้นางช่วยต้อนรับแขกอยู่ด้านหน้า เพียงแต่ว่าตอนนี้นางยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์เพื่อแสดงความกตัญญู จะให้อยู่ที่โถงเตี่ยนชวนก็ดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก ข้าจึงอยากให้พวกนางประจำอยู่ที่ท่าเรือหลิวฟัง เจ้าเองก็รู้ ท่าเรือหลิวฟังเป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมสถานที่หนึ่ง พายเรือ เล่นว่าวหรือตกปลาก็สะดวกเป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่าสถานที่ที่ใกล้กับน้ำไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรนัก วันนั้นให้ป้าตู้พาจุนเกอและเจี้ยเกอไปเล่นที่ห้องลี่จิ่งเซวียนของคุณชายน้อยสอง คนอื่นข้าไม่ค่อยไว้ใจเท่าไร จึงทำได้เพียงไหว้วานเจ้าให้ช่วยสอดส่องดูแลด้วย” จากนั้นก็ได้ย้ำกับนางว่า “เดือนสี่หลังจากที่สิ้นสุดพิธีไว้ทุกข์ของพี่หญิงใหญ่แล้ว ก็จะต้องเริ่มปรึกษาหารือถึงเรื่องหมั้นหมายของเจินเจี่ยเอ๋อร์ งานที่จะถึงนี้ แขกมากมายมารวมตัวกันอย่างล้นหลาม ถือเป็นโอกาสที่ดี เจ้าเองต้องสังเกตให้ดีแล้ว”
คำพูดถูกพูดออกมาชัดเจนเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเหวินอี๋เหนียงเองก็เป็นคนที่ฉลาดเป็นอย่างมาก แน่นอนว่านางจะต้องรับปากอย่างเต็มใจ จากนั้นก็เดินออกจากเรือนไปอย่างดีอกดีใจ หลังจากที่เหวินอี๋เหนียงกลับไปแล้ว ก็ได้รื้อค้นเสื้อผ้าในหีบให้วุ่น แน่นอนว่าชุดที่ใส่จะต้องไม่เรียบง่ายเกินไป จนขายหน้าจวนสกุลสวีเอาได้ และจะต้องไม่ฉูดฉาดหรูหราเกินงาม จนไปเกินหน้าเกินตาสืออีเหนียง จึงเหนื่อยชิวหงและตงหงทั้งสองคนค้นหาชุดทั้งคืน
ส่วนทางฝั่งของสืออีเหนียงก็ได้เรียกฉินอี๋เหนียงมา “ทางฝั่งคุณชายน้อยสองมีป้าตู้อยู่ดูแล เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป เหวินอี๋เหนียงเองก็จะช่วยดูแลเจินเจี่ยเอ๋อร์อีกแรง ในเรือนใหญ่มีแค่เจ้ากับเฉียวอี๋เหนียงก็พอ…”
ไม่รอให้นางพูดจบ ฉินอี๋เหนียงก็รีบพูดขึ้นว่า “เช่นนั้น…เช่นนั้นข้าไปอยู่เป็นเพื่อนอี้อี๋เหนียงดีกว่ากระมัง! นางอยู่เฝ้าเรือนใหญ่โตคนเดียว ในใจคงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดวิตกกังวลใจ”
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปสั่งกับเยี่ยนหรงว่า “ถึงเวลานั้น ในเรือนจะมีแค่ฉินอี๋เหนียงและเฉียวอี๋เหนียงที่อยู่ดูแล เจ้าต้องคอยจับตาดูสาวใช้ที่เข้าเวรและแม่เฒ่าให้ดี เดี๋ยวพอได้ยินเสียงค้อนเสียงกลองที่โถงเตี่ยนชวนเข้า ก็พากันกรูไปดูจนหมด เจ้าอยู่เฝ้าที่เรือนใหญ่แทนข้าที”
เยี่ยนหรงรีบพยักหน้า “ฮูหยินวางใจได้เจ้าค่ะ มีบ่าวอยู่ทั้งคน!”