ภายในตำหนักใหญ่โหวกเหวกเล็กน้อย ขันทีจิ้นจงต้องการเรียกหมอหลวง แต่ถูกฮ่องเต้ห้ามเอาไว้ เขาพลางกระแอมไอแล้วชี้ไปที่ด้านนอก “เรียกแม่ทัพหน้ากากเหล็กมา”
ขันทีจิ้นจงทำได้เพียงทำตามรับสั่ง การไอของฮ่องเต้ยังไม่หยุดลง สำลักหนักเสียจริง
“ฝ่าบาท” เฉินตันจูลุกขึ้นด้วยความเป็นห่วง นางพับแขนเสื้อขึ้น “หากพระองค์ไม่เรียกหมอหลวงก็ให้หม่อมฉันดู หม่อมฉันก็เป็นไต้ฟู มีทักษะทางการแพทย์สูงมาก…”
คุณหนูตันจู ท่านพูดน้อยลงสักสองประโยคเถิด ขันทีจิ้นจงโบกมือให้เฉินตันจูอย่างระอา
ฮ่องเต้พลางไอพลางชี้นิ้ว “เจ้าคุกเข่าลง!”
เฉินตันจูตอบรับอย่างเศร้าโศก ยังคงคุกเข่าต่ออยู่ตรงนั้น
ฮ่องเต้ไม่มองนาง สูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง กลั้นไอมองไปทางอื่น…
แม่ทัพหน้ากากเหล็กอยู่ไม่ไกลจากทางนี้ เขาได้ยินการเรียกเข้าเฝ้า จึงเดินทางมาอย่างเชื่องช้า ยืนอยู่ในตำหนักใหญ่
“บิดาบุญธรรมคืออันใด” ฮ่องเต้ถาม ชี้ไปที่เฉินตันจู “เจ้ากลายมาเป็นบิดาบุญธรรมของนางได้อย่างไร”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเหลือบมองเฉินตันจู เฉินตันจูก็แอบมองเขา เมื่อเห็นเขามองมา นางจึงรีบกุมหน้าอกเอาไว้ ทำสีหน้าเกรงกลัว “ตันจูเป็นห่วงท่านแม่ทัพ อยากมอบยาให้ท่านแม่ทัพด้วยตนเอง ใจร้อนไปชั่วขณะ จึงทูลฝ่าบาทว่าท่านแม่ทัพในใจของตันจูดุจดั่งบิดา…”
ฮ่องเต้ตบโต๊ะ “เฉินตันจูเจ้าหุบปาก ข้าให้แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด”
เฉินตันจูปิดปาก
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองไปยังฮ่องเต้ พูด “หมายความตามที่นางพูด”
ฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึกๆ สองครั้ง “หมายความว่าอย่างไร”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ความกตัญญู นางแค่พูดเกินจริงไปเท่านั้น” มองไปยังเฉินตันจู “บอกเจ้าแล้ว อย่าเรียกมั่วซั่ว”
เฉินตันจูตอบรับ ก้มศีรษะลง “ข้าผิดไปแล้ว”
เฉินตันจูบอกว่าผิดไปแล้วก็เหมือนไม่ได้พูดสิ่งใด ไม่เคยขัดขวางการกระทำผิดของนางในครั้งต่อไปได้ ฮ่องเต้ไม่สนใจ เพียงแค่ถลึงตาจ้องแม่ทัพหน้ากากเหล็ก จับคำพูดของเขา เอ่ยถาม “เคยบอกแล้ว? ดูท่าทางบิดากับบุตรบุญธรรมไม่ได้เป็นแค่วันสองวัน?”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดราวกับกลั้วหัวเราะ “มิใช่ ฝ่าบาท อย่าทรงคิดมาก”
ทางเฉินตันจูปิดปากเงียบไม่พูดสิ่งใด เพียงพยักหน้าระรัว ใช้สีหน้าแสดงความรู้สึกว่าสิ่งที่ท่านแม่ทัพกล่าวนั้นเป็นความจริง
ดูจากท่าทางของพวกเจ้าแล้ว เหมือนไม่ให้คนคิดมากได้อย่างไร ฮ่องเต้เอนหลังพิงบัลลังก์หลับตาลง ขันทีจิ้นจงรีบลูบหน้าอกให้เขา “ฝ่าบาท ให้หมอหลวงมาดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบ “ฝ่าบาท อย่าโกรธกับเรื่องเล็กน้อยนี้”
ใช่ เรียกพ่อบุญธรรมจะเป็นอันใดไป เฉินตันจูคิดในใจ พยักหน้าตาม อดไม่ได้ที่จะพูด “ฝ่าบาท พระองค์ทรงเป็นเหมือนบิดาในหัวใจของตันจูเช่นกัน ตันจูเคารพและรักท่านเหมือนบิดาเช่นกัน”
ฮ่องเต้ลืมตาด้วยความโกรธอีกครั้ง ชี้ไปที่เฉินตันจู “เจ้า เจ้า…ออกไป ไสหัวออกไป”
ขันทีจิ้นจงรีบโบกมือให้เฉินตันจู “คุณหนูตันจู ท่านหยุดพูดแล้วรีบถอยออกไปเถิด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพยักหน้าให้เฉินตันจู “ออกไปเถิด”
เฉินตันจูยิ้มให้เขา กระซิบ “ตันจูได้เห็นท่านพ่อบุญธรรมก็สบายใจแล้ว” หลังจากนั้น นางก็ลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับวิ่ง ไม่มีผู้ใดลงโทษนางที่ตะโกนเรียกพ่อบุญธรรมออกมาได้
ขันทีอาจี๋ยืนอยู่นอกตำหนักใหญ่ ก่อนจะได้ยินเสียงฮ่องเต้ไล่คุณหนูตันจูออกมาตามคาด
คุณหนูตันจูวิ่งออกมา สีหน้ายังคงไม่มีความเกรงกลัว อีกทั้งยังมองซ้ายขวาด้วยรอยยิ้ม…
ฝ่าบาทรับสั่งให้นางออกไป คือให้นางออกจากตำหนักใหญ่ ไม่ใช่พระราชวังใช่หรือไม่ เช่นนั้นนางสามารถไปหาองค์หญิงกับองค์ชายสามได้ใช่หรือไม่
“คุณหนูตันจู!” อาจี๋กระทืบเท้าด้วยสีหน้าดำทะมึน “ท่านรีบออกไปเถิด อย่าได้เดินไปเรื่อย”
เขาชี้ไปที่องครักษ์ที่ยืนนิ่งอยู่รอบตัวอีกครั้ง ก่อนจะมององครักษ์ที่ยืนอยู่กับเฉินตันจู
“ระวังฝ่าบาทรับสั่งให้คนคุมตัวท่านออกไป”
เฉินตันจูยิ้มให้ขันทีอาจี๋ “ข้ารู้ ข้ารู้” ก่อนจะแนะนำ “อาจี๋ เจ้าไปบอกกับองค์หญิงจินเหยาให้ข้าได้หรือไม่”
อาจี๋แทบอยากจะอยู่ห่างจากเฉินตันจูสิบจั้ง “คุณหนูตันจู ท่านรีบไปเถิด”
แม้ว่าอาจี๋ปฏิเสธที่จะช่วย แต่หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว นางก็เห็นองค์หญิงจินเหยาและองค์ชายสามเดินมาจากอีกด้านหนึ่ง
“เอ๊ะ?” องค์หญิงจินเหยาทำหน้าประหลาดใจ “ตันจูเจ้ามาได้อย่างไร” ก่อนจะยืดตัวขึ้น “ข้ากับพี่สามมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ” พูดพลางมองขันทีข้างตัวเฉินตันจู “เสด็จพ่อทรงยุ่งหรือไม่ กงกงช่วยทูลให้พวกข้าที”
อาจี๋ครุ่นคิดในใจ หากเวลานี้เขาไม่ทำตามกฎที่อาจารย์สอน เข้าไปทูลฝ่าบาทข้างใน ดูว่าฝ่าบาทจะด่าพวกท่านทันทีหรือไม่
เฉินตันจูจับมือองค์หญิงจินเหยาเอาไว้ พูดอย่างจริงจัง “องค์หญิง น่าเสียดายที่พวกท่านมาช้า ฝ่าบาททรงยุ่งมาก กำลังหารือเรื่องสำคัญกับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก รอก่อนค่อยเข้าไปทูลเถิด”
องค์หญิงจินเหยาก้าวถอยหลังทันที “ท่านแม่ทัพอยู่หรือ เช่นนั้นคงรบกวนไม่ได้”
จากนั้นทั้งสองคนอดมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาไม่ได้
อาจี๋ยืนอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เอาเถิด ตามใจ เขาเป็นแค่ขันที จะควบคุมผู้ใดได้ แค่จำกฎของตนเองเอาไว้ก็พอ
องค์ชายสามพูดด้วยรอยยิ้ม “ดีใจที่ได้พบเจ้าเร็วเช่นนี้ ข้าคิดว่าต้องไปเยี่ยมเจ้าที่ซีจิงเสียแล้ว”
เฉินตันจูยยิ้มให้เขา “หม่อมฉันกลัวว่าองค์ชายจะเป็นห่วง จึงเข้ามาพบท่าน”
องค์หญิงจินเหยาส่งเสียง “ข้าไม่เป็นห่วงเจ้าหรือ”
“องค์หญิงท่านก็เป็นห่วง” เฉินตันจูหัวเราะ “ย่อมต้องเป็นห่วงเช่นกัน”
องค์หญิงจินเหยายิ้ม เอื้อมมือไปลูบผมข้างหูของเฉินตันจู ถอนหายใจ “เรื่องนี้จบลงเช่นนี้ดียิ่งนัก ถึงแม้จะกลับไปหาตระกูลในเมืองซีจิง ก็ไม่ควรกลับไปด้วยความผิด”
อันที่จริงไม่ว่ามีความผิดหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเวลานี้นางยังกลับไปไม่ได้ เฉินตันจูจับมือองค์หญิงจินเหยายิ้มเบาๆ
“พี่สาม ท่านมีข่าวดีจะบอกตันจูไม่ใช่หรือ” องค์หญิงจินเหยามององค์ชายสามด้วยรอยยิ้ม นางเป็นน้องสาวที่ดี
องค์ชายสามยิ้ม “ถึงแม้คุณหนูตันจูน่าจะรู้แล้ว แต่ข้ายังอยากเล่าให้ฟังด้วยตนเอง”
เฉินตันจูมองเขาด้วยรอยยิ้ม พยักหน้า “ดีๆ ข่าวดีอันใดกันเพคะ รีบบอกหม่อมฉันมา”
องค์ชายสามกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้รับการแต่งตั้งจากเสด็จพ่อให้รับผิดชอบการประลองในแต่ละแคว้น”
เฉินตันจูดวงตาแดงก่ำ พูดด้วยความจริงใจ “องค์ชาย ท่านโปรดเหนื่อยใจเล็กน้อย เพื่อให้คนอย่างจางเหยาสามารถแสดงความสามารถของตนเพื่อบ้านเมืองและราษฎร ไม่ถูกกีดกันการศึกษาเพราะชนชั้นจนต้องร่อนเร่พเนจร”
องค์ชายสามหยุดยิ้ม พยักหน้าอย่างจริงจัง “ได้”
องค์หญิงจินเหยามองเฉินตันจูสลับกับองค์ชายสาม พูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าทั้งสองคนเหมาะสมกันเสียจริง”
เหมาะสม? เฉินตันจูดึงสติกลับมา ไม่เพียงดวงตาที่แดงก่ำ ใบหน้าก็แดงก่ำด้วย “แน่นอน หม่อมฉันและองค์ชายสามล้วนเป็นคนที่ดีมาก แน่นอน องค์หญิงด้วย มิเช่นนั้น พวกเราทั้งสามคนจะเป็นสหายกันได้อย่างไร”
จินเหยาเอื้อมมือออกไปบีบแก้มของนาง “เจ้าพูดได้ดี”
องค์ชายสามยิ้ม แต่ไม่พูดสิ่งใด
“อ่อ จริงสิ” องค์หญิงจินเหยานึกถึงเรื่องสำคัญ “เจ้าถูกเสด็จพ่อไล่ออกมาอีกแล้วหรือ? เจ้าพูดสิ่งใดทำให้เสด็จพ่อขุ่นเคืองอีก”
เฉินตันจูทำหน้าเศร้า “ครั้งนี้หม่อมฉันไม่ได้พูดสิ่งใดจริงๆ แค่มาส่งยาให้แม่ทัพหน้ากากเหล็ก และขอบคุณเขา ฝ่าบาทไม่อยากให้หม่อมฉันพบแม่ทัพหน้ากากเหล็ก หม่อมฉันจึงบอกว่าต้องพบด้วยตนเองมีความจริงใจมากกว่า เพราะว่าหม่อมฉันเห็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นบิดาบุญธรรม…”
นางยังพูดไม่ทันจบ องค์หญิงจินเหยาทำสีหน้าตกตะลึง จากนั้นตะโกนเหมือนกับฮ่องเต้ “พ่อบุญธรรม? เจ้าเรียกท่านแม่ทัพว่าพ่อบุญธรรม?”
“มีอันใดหรือ” เฉินตันจูมองนางอย่างสงสัย
องค์ชายสามก็มองมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “มีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ ท่านแม่ทัพมีฐานะสูงจะทำให้ฝ่าบาทเข้าใจผิดหรือ หากเป็นชายชาตรี อาจไม่เหมาะสมนัก เพราะอาจต้องสงสัยว่าสมรู้ร่วมคิด แต่คุณหนูตันจูเป็นหญิงสาว คงจะไม่ดีหรือไม่”
องค์หญิงจินเหยาสูดหายใจเข้าลึกๆ สูดจมูกส่ายหัว “พี่สามพูดถูก แต่แค่รู้สึกว่า แม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นพ่อบุญธรรม…” นางพูดพลางหัวเราะออกมา “น่าขันยิ่งนัก”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นพ่อบุญธรรมมันน่าขบขันอย่างไร
หลังจากเฉินตันจูออกจากตำหนักใหญ่ไป ภายในตำหนักก็ไม่คึกคักอีกต่อไป ไม่มีผู้ใดพูด แม่ทัพหน้ากากเหล็กยืนมองฮ่องเต้อยู่ด้านล่าง ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มองแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ขันทีจิ้นจงมองคนทั้งสอง จากนั้นหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
ทันทีที่เขาหัวเราะออกมา เขารีบก้มหน้า ปิดปากเอาไว้ “ขออภัยฝ่าบาท กระหม่อมอดกลั้นไม่ไหวเสียจริง”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตำหนิเขา เพียงแต่หน้าอกหายใจหนักสองที มองแม่ทัพหน้ากากเหล็กพลางกัดฟันแน่น “ท่านแม่ทัพช่างร้ายกาจ กลายเป็นพ่อบุญธรรม มีบุตรสาวเสียแล้ว”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กก้มศีรษะกล่าว “กระหม่อมอายุมากเพียงนี้มีบุตรสาวย่อมไม่เหงา ถือเป็นเรื่องน่ายินดี”
ฮ่องเต้ส่งเสียง “ข้ายินดีด้วย”
แม่หน้ากากเหล็กกระแอมไอเบาๆ “ยินดีกับฝ่าบาทด้วย”
คำแสดงความยินดีนี้ทำให้ขันทีจิ้นจงอดหัวเราะไม่ได้ ฮ่องเต้ไม่มีสิ่งใดสามารถหยิบได้ จึงแย่งไม้ของขันทีจิ้นจงโยนลงไป
“ข้าให้เจ้ายินดี เจ้ายังยินดี…”
ไม้ตกลงตรงหน้าของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก แต่ไม่โดนตัวเขา
ฮ่องเต้ยืนขึ้นด้วยความโกรธ อยากจะเดินลงมาตีด้วยตนเอง
ขันทีจิ้นจงรีบรั้งเอาไว้ “ฝ่าบาท ทรงระงับความโกรธ ทรงระงับความโกรธพ่ะย่ะค่ะ” ก่อนจะโบกมือให้แม่ทัพหน้ากากเหล็ก “ท่านแม่ทัพ ท่านรีบถอยออกไปเถิด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กโค้งคำนับ ก่อนจะถามถึงสัมภาระที่วางอยู่ด้านข้าง “สิ่งนี้คือความกตัญญูจากบุตรสาวข้าใช่หรือไม่ ข้าขอรับไป”
พูดจบไม่รอแม้แต่คำตอบ เขาหยิบสัมภาระขึ้นมาด้วยความว่องไวผิดแปลกไปจากอายุของคนชรา จากนั้นเดินออกไปด้านนอก ด้านหลังมีเสียงสิ่งของกระทบลงพื้น เป็นเสียงที่ฮ่องเต้โยนหินฝนหมึกลงมา…