รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 263 อมิ…ต้าเต๋อฝอ ข้าพระพุทธไร้เกศา!

บทที่ 263 อมิ...ต้าเต๋อฝอ ข้าพระพุทธไร้เกศา!

บทที่ 263 อมิ…ต้าเต๋อฝอ ข้าพระพุทธไร้เกศา!

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!

หลังออกจากเมืองชิงซาน พวกอ้ายฉานเหินออกไปกันคนละทิศละทาง ปราณของแต่ละคนชวนตะลึงยิ่ง ขอบเขตพลังสูงส่ง

หากสิ่งมีชีวิตตนอื่นในเส้นทางฝึกตนได้เห็นภาพนี้ รับรองว่าต้องอึ้งจนกรามค้าง

เด็กอายุไม่กี่ขวบ กลับมีปราณดุดันถึงปานนี้ทุกคน ทรงพลังกว่าเจ้าสำนักหรือหัวหน้าพรรคเสียอีก น่ากลัวเกินไปแล้ว!

ในบรรดาเด็กเหล่านี้ ปราณของอ้ายฉานแกร่งกล้าที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย นางกระโจนผ่านชั้นเมฆอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็อยู่ห่างออกมาถึงพันลี้

บนเนินเขาเขียวใกล้เมืองชิงซานมีสัตว์ป่าอยู่นานาชนิด ทว่าพวกอ้ายฉานไม่มีใครเลือกขึ้นเนินเขาเขียวสักคนเดียว

พวกเขาในตอนนี้มีพลังแข็งแกร่งกันทั้งนั้น ไม่อยากไล่จับสัตว์ป่าธรรมดาในเนินเขาเขียว

พวกเขาต้องการจับสัตว์อสูร!

สัตว์อสูรก้าวสู่เส้นทางการฝึกตนแล้ว สมรรถภาพต่าง ๆ ย่อมดีกว่าสัตว์ป่าธรรมดา คุณภาพเนื้อย่อมอร่อยกว่าสัตว์ป่าธรรมดาเป็นร้อยเท่า ก่อนพวกเขาออกจากเมืองก็คิดไว้แล้วว่าจะไปจับสัตว์อสูร ไม่คิดเข้าไปจับสัตว์ป่าธรรมดาบนเนินเขาเขียว

ผ่านไปเพียงไม่นาน อ้ายฉานก็เหินเข้ามาในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง

ที่นี่คือเขาร้อยอสูร มีสัตว์อสูรอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้ฝึกตนมากมายเลือกจับสัตว์อสูรที่นี่

เมื่อครั้งอยู่ที่พรรคจื่อเสีย อาจารย์ปู่แห่งพรรคจื่อเสียได้สอนสั่งพวกเขาด้วยตนเองถึงสถานการณ์ภายในพื้นที่ต่าง ๆ ในแดนบูรพาทิศ นอกจากนี้ อาจารย์ปู่ยังได้อธิบายโครงสร้างคร่าว ๆ ของอาณาจักรแห่งนี้ให้พวกเขาได้ทราบ

พวกเขาก้าวสู่เส้นทางฝึกตนแล้ว เรื่องเหล่านี้คือเรื่องที่ผู้ฝึกตนจำเป็นต้องรู้

“คุณชายบอกว่าเนื้อวัวและเนื้อแกะเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดสำหรับกินกับสุกี้หม้อไฟ”

ตาของอ้ายฉานลุกวาว เหินไปมาอยู่บนเขาร้อยอสูร ค้นหาอสูรจำพวกวัวหรือแกะ

มอ!

ระหว่างที่เหิน อ้ายฉานได้ยินเสียงวัวร้อง นางรีบหมุนตัวเหินไปทางเสียงวัวร้อง

ไม่นานนัก นางก็ไปถึงที่นั่น และได้เห็นวัวดำตัวใหญ่ตัวหนึ่ง

“เจ้านี่แหละ!”

ฟันขาวสะอาดวาววามของอ้ายฉานเผยออกมา นางเหินไปหาวัวดำตัวใหญ่ดังฟิ้ว

ทว่าอีกด้านของวัวดำตัวใหญ่มีเงาร่างขนาดไม่ใหญ่มากกำลังพุ่งเข้าหามันเช่นกัน

วัวดำมีความสามารถไม่สามัญ ตอบสนองได้อย่างว่องไว มันสัมผัสได้ว่ามีคนสองคนกำลังกระโจนเข้ามาหามัน จึงเคลื่อนตัวออกไปในทันที ย้ายร่างออกจากที่เดิม

ตึง!

การจากไปอย่างกะทันหันของวัวดำตัวใหญ่เหนือความคาดหมายของทั้งอ้ายฉาน และเงาร่างนั้น ทั้งคู่จึงกระแทกเข้าด้วยกัน!

อ้ายฉานพุ่งเข้าไปโดยกำหมัดไว้ ส่วนเงาร่างนั้นฟาดฝ่ามือเข้ามา

หมัดของอ้ายฉานและฝ่ามือของเงาร่างปะทะเข้าด้วยกัน ทั้งคู่สะเทือนจนกลิ้งไปอีกทาง ตีลังกากับพื้น

“โอ๊ย ท่านภิกษุน้อยผู้นี้ล้มแรงยิ่ง! ข้าพระพุทธไร้เกศา ข้าต้าเต๋อฝอ*[1]เปี่ยมเมตตาที่สุด!”

เงาร่างนั้นโหวกเหวกอยู่บนพื้น

อ้ายฉานก็ล้มแรงเช่นกัน นางกำลังวิงเวียนมึนงง หลังได้ยินเสียงตะโกนโวยวายของเงาร่างนั้นก็สับสนขึ้นมาในบัดดล

ท่านภิกษุน้อย?

ข้าพระพุทธไร้เกศา?

ข้าต้าเต๋อฝอเปี่ยมเมตตาที่สุด?

อะไรกันนี่!

นางหันไปมองด้วยสีหน้าประหลาด หน้าตาประหลาดชอบกลยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นผู้ที่อยู่เบื้องหน้า

ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเป็นเด็กหัวโล้นที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับนาง!

“เอ๋ เมื่อครู่ท่านภิกษุน้อยผู้นี้เห็นเป็นวัวดำตัวใหญ่แท้ ๆ ไฉนถึงกลายเป็นน้องสาวคนสวยเช่นนี้เสียได้”

โล้นน้อยหันมาเห็นอ้ายฉานเช่นเดียวกัน สายตาเปี่ยมไปด้วยความฉงน

เขากระโจนขึ้นจากพื้น พลันปัดดินฝุ่นตามตัว ก่อนจะมองอ้ายฉายแล้วกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “ข้าพระพุทธไร้เกศา ต้าเต๋อฝอเปี่ยมเมตตาที่สุด นี่ เจ้าวัวดำตัวใหญ่ อย่าคิดว่าแปลงกายเป็นน้องสาวคนสวยแล้วท่านภิกษุน้อยผู้นี้จะหลงกล! ข้าไม่ติดกับเช่นนี้หรอก!”

อ้ายฉานหน้าดำคร่ำเครียด โล้นน้อยจากไหนกันนี่!

เณรน้อยจากแดนฝอหรือไร?

นางจำได้แล้ว อาจารย์ปู่เคยบอกนางว่าโลกแห่งนี้มีอยู่สามมหาดินแดนด้วยกัน หนึ่งคือดินแดนหยิน สองคือดินแดนฮวง สามคือดินแดนฝอ

ภายในดินแดนฝอมีเพียงสิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญธรรม

นอกดินแดนฝอ ไม่มีดินแดนใดมีสิ่งมีชีวิตบำเพ็ญธรรมอีก

ข้าพระพุทธไร้เกศา…

อ้ายฉานเข้าใจความหมายของประโยคนี้

แน่นอนว่าไร้เกศา อย่าว่าแต่พระพุทธ แม้กระทั่งสาวกของพระพุทธล้วนไร้เกศา!

ชายคือภิกษุ หญิงคือภิกษุณี

ทว่า ‘ต้าเต๋อฝอเปี่ยมเมตตาที่สุด’ นี่หมายความถึงสิ่งใด

นางเคยได้ยินจากอาจารย์ปู่ว่า วาจาที่กล่าวบ่อยที่สุดในพุทธศาสนาคือ ‘ข้าพระพุทธมีเมตตา’ ‘ต้าเต๋อ’ ที่โล้นน้อยผู้นี้เติมเสริมเข้าไปหมายความเยี่ยงไร

“ไม่พูดจาแล้วหรือ? อืม เข้าใจแล้วสิว่าลูกไม้ตื้น ๆ ของเจ้าไม่มีผลต่อท่านภิกษุน้อยผู้นี้ เจ้าจึงถอดใจแล้วสิท่า”

โล้นน้อยพึมพำอีกประโยค “ตัวเล็กแค่นี้จะทำอันใดได้ หากเปลี่ยนเป็นสตรีผิวขาวโฉมสะคราญขาเรียวยาว ข้าคงตกหลุมพรางไปแล้ว”

มอ!

วัวดำตัวใหญ่ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป เณรน้อยจากหนใดกันนี่? ไยจึงพิลึกพิลั่นเช่นนี้!

พุทธศาสนาสง่าผ่าเผย มีข้อห้ามอย่างเข้มงวด แต่ละท่านล้วนมีจิตใจแน่วแน่ เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เหตุใดเณรน้อยผู้นี้ถึงดูไม่ใกล้เคียงเลยเล่า!?

“เณรน้อย เจ้าล้มกระแทกจนฟั่นเฟือนไปแล้วหรือไร ท่านวัวดำของเจ้าอยู่ตรงนี้!”

วัวดำตัวใหญ่เปล่งภาษามนุษย์ ตะโกนใส่โล้นน้อย

โล้นน้อยหันมองไปทางวัวดำตัวใหญ่แล้วอับอายถึงขีดสุด เขา…เข้าใจผิดหรือนี่?

เขานึกว่าอ้ายฉานเป็นการแปลงกายของวัวดำตัวใหญ่เสียอีก!

ทว่าเขาหน้าด้านอย่างยิ่ง ความอับอายแค่นี้ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่

สีหน้าเขาคงเดิมไม่เปลี่ยน ยังคงจริงจังขึงขัง สายตามองอ้ายฉานพลางกล่าว “อย่าได้ตกหลุมรักพี่ พี่เป็นคนในพุทธศาสนา มีชะตากรรมต้องอยู่เฝ้าพระพุทธ เจ้าเสนอตัวไปก็เปล่าประโยชน์ พี่ไม่หวั่นไหวต่อเจ้าหรอก”

จากนั้น เขาเอ่ยเสริมอีกประโยค “ทว่าดูจากรูปโฉมของเจ้าแล้ว มีแววเป็นหญิงโสภา อืม โตแล้วค่อยมาหาพี่!”

“…”

อ้ายฉานอิดหนาระอาใจอย่างที่สุด โล้นน้อยผู้นี้ประหลาดเกินคนไปหรือไม่!

วาจาอะไรของเขา!

“ให้ตาย เจ้าเณรน้อยผู้นี้ จะพูดจะจาคำใดไม่อายบ้างเลยหรือ”

วัวดำตัวใหญ่เอ่ยอย่างทนไม่ไหว

เวรจริง เณรน้อยผู้นี้หน้าด้านเกินไปแล้ว!

ก่อนนี้เพิ่งบอกเสียงขึงขังว่าเสนอตัวไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีทางหวั่นไหว ต่อมาก็พูดเถรตรงไปว่าโตแล้วค่อยไปหาเขา???

ไม่เคยพบคนหน้าด้านเยี่ยงนี้มาก่อน!

“นี่ เจ้าวัวดำ ท่านภิกษุน้อยผู้นี้ยังไม่คิดบัญชีกับเจ้าเลย! เป็นที่หมายตาของท่านภิกษุน้อยผู้นี้นับเป็นวาสนาของเจ้า เป็นบุญของเจ้า! เจ้าวิ่งหนีหาหอกอันใด!”

โล้นน้อยมองจ้องวัวดำตัวใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ยังไม่รีบมาตรงนี้อีก มาเป็นกับแกล้มสุราให้ท่านภิกษุน้อยผู้นี้!”

กับแกล้มสุรา?

หลังวัวดำตัวใหญ่ได้ยินก็โกรธจนควันออกจมูก

มันเป็นจ้าวตนหนึ่งของที่นี่ ผู้ฝึกตนที่ตายในมือมันไม่ถึงพันแต่ก็ราว ๆ แปดร้อย

เณรน้อยผู้นี้กลับพูดจาสามหาวบอกจะกินมันอย่างนั้นหรือ

เวรเอ๊ย! ท่านวัวผู้นี้โมโหแล้ว!

“เณรน้อย มองดูซากศพรอบตัวเจ้าเสียก่อน ซากศพเหล่านี้ล้วนเป็นของเผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้า ข้าเป็นคนฆ่าทั้งหมด! เจ้าบังอาจกล่าวว่าจะกินข้าอย่างนั้นหรือ! วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่ตายดี!”

วัวดำตัวใหญ่จ้องเณรน้อยด้วยสายตาอำมหิต จิตสังหารพลุ่งพล่าน

พยัคฆ์ ไม่สิ วัวไม่สำแดงฤทธิ์เดช จึงเห็นมันเป็นเพียงแมวจริง ๆ รึ?

“อามิ…ต้าเต๋อฝอ ข้าพระพุทธไร้เกศา ข้าต้าเต๋อฝอเปี่ยมเมตตาที่สุด เจ้าวัวดำตัวใหญ่ชั่วช้าสามานย์ สมควรถูกประหาร!”

เณรน้อยตวาดลั่น

[1] ต้าเต๋อฝอ อธิบายความหมาย ต้าเต๋อ (大德) แปลว่า พระมหาธรรม ในที่นี่หมายถึงตัวของต้าเต๋อ (พระมหาธรรม) หรือก็คือ กล่าวแทนตัวของเณรน้อยเอง ส่วนฝอ (佛) หมายความว่า พุทธะ หรือ อรหันต์ ดังนั้น การที่ต้าเต๋อ (พระมหาธรรม) กล่าวว่า อามิ…ต้าเต๋อฝอ จึงหมายถึงการเอ่ยยกยอตนเอง

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท