พระราชวังไม่มีงานเลี้ยงมาเป็นเวลานานมากแล้ว
ตอนที่อยู่ในเมืองซีจิง เรื่องใหญ่ของแผ่นดินยังจัดการไม่สำเร็จ ฮ่องเต้ไม่มีจิตใจในการดื่มด่ำงานเลี้ยง
แต่ว่าเวลานี้แตกต่างกัน เรื่องของเหล่าท่านอ๋องจัดการเกือบหมดแล้ว เรื่องการย้ายเมืองหลวงมายังเมืองจางจิงก็มั่นคงแล้ว ถึงเวลาผ่อนคลายเสียหน่อยแล้ว
ดังนั้นเมื่อโจวเสวียนทูลฮ่องเต้ว่าจะจัดงานเลี้ยงนั้น ฮ่องเต้จึงรับปากในทันที
ข่าวถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงต่างคึกคักขึ้นมา ถึงแม้งานเลี้ยงไม่ได้ถูกจัดขึ้นในพระราชวัง แต่เนื่องจากฮ่องเต้ต้องการจัดงานเลี้ยงให้ท่านโหวโจว นอกจากสถานที่ที่ไม่ได้อยู่ในพระราชวังแล้ว เหล่าองค์ชายล้วนมาเข้าร่วม ผู้ที่จัดงานเลี้ยงล้วนเป็นหน้าที่ของสำนักพระราชวัง โจวเสวียนไม่มีบิดา ฮ่องเต้จึงให้พระสนมเสียนมานั่งบัญชาการที่จวนโหว ระดับเท่าเทียมกับงานเลี้ยงในพระราชวัง
งานเลี้ยงในครานี้เป็นงานเลี้ยงของคนหนุ่มสาว ตระกูลที่มีชื่อมีแซ่ทั้งหลายล้วนได้รับบัตรเชิญ ในเวลาหนึ่ง แต่ละตระกูลล้วนกำลังจัดเตรียมของกำนัลและเครื่องแต่งกาย ภายในเมืองหลวงเกิดคลื่นความคึกคักขึ้นอีกระลอก
บนภูเขาดอกท้อที่เงียบสงบ เฉินตันจูก็ได้รับบัตรเชิญเช่นเดียวกัน
“ชิงเฟิง” นางถือบัตรเชิญในมือพลิกไปพลิกมา “ท่านโหวของเจ้าคิดได้อย่างไร จัดงานเลี้ยงในจวนของข้า ยังเชิญข้าเข้าร่วม คิดว่าข้าจะดีใจมากหรือ”
ชิงเฟิงนั่งอยู่ภายใต้ทางเดิน พลางดื่มชาพลางกินขนมอย่างดีใจ พยักหน้าพูดความจริง “คงจะเป็นท่านโหวของพวกข้าที่ดีใจกว่า”
เฉินตันจูโยนบัตรเชิญทิ้ง “เหตุใดข้าถึงต้องไป”
ชิงเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “เพราะว่าท่านโหวของพวกข้าบอกว่า หากคุณหนูตันจูท่านไม่ไป ในวันงานเลี้ยงเขาจะทิ้งแขกทุกคน มาหาท่านที่อารามดอกท้อ”
เฉินตันจูถลึงตา “มาก็มา ข้ากลัวเขาหรือ”
“ข้ารู้ว่าคุณหนูตันจูไม่กลัว” ชิงเฟิงถือขนม พูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ว่าคุณหนูตันจูจะลำบาก ท่านไม่รู้หรือ หากคุณชายของพวกข้าวุ่นวายขึ้นมา เป็นสิ่งที่น่ารำคาญยิ่งนัก”
เฉินตันจูขบขันในคำพูดของเขา “เจ้าไม่ปกป้องนายเสียจริง”
“คุณชายของพวกข้าไม่ต้องปกป้อง” ชิงเฟิงหัวเราะ พร้อมทั้งโน้มน้าวอย่างจริงจัง “คุณหนูตันจู ท่านไปดูหน่อยเถิด คุณชายของพวกข้าตกแต่งจวนโหวอย่างตั้งใจ อีกทั้งยังพลิกตำราเก่าของเมืองอู๋หาบันทึกของจวนตระกูลเฉินของท่านมาเปรียบเทียบ ท่านไม่ได้ไปดูคน แต่ไปดูจวน”
บัดนี้จวนตระกูลเฉินยังคงอยู่ ไม่ได้ถูกเผาทำลาย นางควรจะไปดูเสียหน่อย เฉินตันจูมองบัตรเชิญในมือ “ข้าจะไม่นำของกำนัลติดมือไปด้วย”
ชิงเฟิงลุกขึ้นมา ก่อนจะหยิบขนมอีกสองชิ้นยัดเข้าปาก “ท่านโหวของพวกข้ามีทุกสิ่งแล้ว คุณหนูตันจูไปร่วมงานก็พอ” พูดพลางกระโดดพลิกตัวขึ้นบนกำแพงแล้วจากไป
“องครักษ์เรียนรู้จากเจ้านายได้อย่างรวดเร็ว” เฉินตันจูเบะปาก
อาเถียนยืนหัวเราะอยู่ด้านข้าง “บางทีอาจเรียนรู้จากคุณหนู”
เฉินตันจูปฏิเสธ “เหลวไหล เรียนรู้จากข้า? บัดนี้จู๋หลินยังทำไม่เป็น”
จู๋หลินที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาจากด้านนอกฉงน คุณหนูตันจูนินทาอะไรเขาอีก
“ข้าบอกว่าเจ้าเหน็ดเหนื่อย” เฉินตันจูกวักมือด้วยรอยยิ้ม ชี้ไปตรงหน้า “รีบมา เจ้าดู ขนมและน้ำชาล้วนเตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว”
จู๋หลินกลอกตา คิดว่าเขาไม่เห็นองครักษ์โง่ของโจวเสวียนผ่านไปหรือ มีเพียงคนประเภทนี้ที่มักจะกินของผู้อื่นไปเรื่อย
“องค์หญิงจินเหยาตรัสว่าเดิมทีนางไม่อยากไป” จู๋หลินตอบตามตรง “แต่ฮองเฮารับสั่งให้นางไป ดังนั้นหากคุณหนูตันจูไป ย่อมอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงได้”
ฮองเฮาต้องการให้องค์หญิงไปหรือ เฉินตันจูนึกถึงเรื่องอื่น ถึงเวลาที่จะจับคู่ให้องค์หญิงกับโจวเสวียนแล้วใช่หรือไม่ เมื่อคำนวณเวลาก็ใกล้แล้ว
เฉินตันจูกำมือ เวลานี้ความสัมพันธ์ขององค์หญิงกับโจวเสวียนถึงแม้จะไม่เลว แต่ไม่ได้มีความรักระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาว เมื่ออดีตชาติโจวเสวียนและองค์หญิงเป็นคู่รักที่รักใคร่กัน หรือเป็นคู่รักที่โกรธแค้นกัน?
“องค์ชายสามไปหรือไม่” เฉินตันจูถามอีกครั้ง “เจ้าได้ไปเข้าเฝ้าองค์ชายสามหรือไม่” ไม่รอจู๋หลินตอบ ตนเองก็ส่ายหัวก่อน “องค์ชายสามทรงงานหนักเช่นนั้น คงไม่เสด็จ”
จู๋หลินพูด “ข้าไม่ได้ไปเข้าเฝ้าองค์ชายสาม แต่องค์ชายสามตรัสกับองค์หญิงจินเหยาว่าจะเสด็จ”
หลังพูดประโยคนี้จบ เขาก็เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินตันจู
มีสิ่งใดน่ายินดีกัน!
จู๋หลินส่งเสียงในใจ ก่อนจะพูด “ข้ายังไปพบท่านแม่ทัพ…”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพจะไปด้วยหรือ”
จู๋หลินพูดเสียงต่ำ “ไม่ไป”
“ข้าว่าแล้ว” เฉินตันจูโบกมืออย่างเข้าใจ “โจวเสวียนจะเชิญท่านแม่ทัพได้อย่างไร ท่านแม่ทัพไม่จำเป็นต้องลดตัวไปเข้าร่วมงานเลี้ยง ดูเหล่าเด็กๆ เอิกเกริกช่างไร้ความสนุก”
จู๋หลินปรายตามองนาง
“ข้าไม่ได้ไปเพื่อความสนุก” เฉินตันจูพูด ถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก “ข้าไม่มีทางเลือก ตัดสินใจเองไม่ได้ ข้ามีเพียงตัวคนเดียว โจวเสวียนบังคับข้า ข้าจะทำอย่างไรได้…ข้ายังพูดไม่จบ!”
ประโยคสุดท้ายย่อมเป็นการตะโกนบอกจู๋หลินที่กระโดดขึ้นไปบนหลังคาจนหายลับไป
จู๋หลินจากไปแล้ว หากไม่มีเรื่องสำคัญคงเรียกกลับมาไม่ได้ เฉินตันจูส่ายหัวอย่างระอา พูดกับอาเถียน “ข้าพูดความจริงทั้งนั้น”
อาเถียนพยักหน้าตาม “ถูกต้อง ถูกต้อง” สีหน้าดีใจ “คุณหนูเจ้าคะ พวกเรารีบไปเลือกเครื่องแต่งกายสำหรับงานเลี้ยงกันเถิดเจ้าค่ะ”
ถึงแม้จะบอกว่างานเลี้ยงของคนหนุ่มสาวมีแต่ความวุ่นวาย แต่อย่างไรก็ยังเป็นคนหนุ่มสาว ชีวิตนี้มีเพียงครั้งเดียว ดุจดั่งดอกไม้ที่ผลิบานได้แค่ร้อยวัน ในเวลาที่ดีที่สุดเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องเข้าร่วมความคึกคัก
เฉินตันจูส่งเสียงไม่พอใจ “ไปงานเลี้ยงของโจวเสวียน แต่งกายทั่วไปก็พอแล้ว”
อาเถียนยิ้มพลันผลักนางเข้าห้อง “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูรูปลักษณ์งดงาม สวมใส่สิ่งใดย่อมได้”
เหล่าหญิงสาวต่างวุ่นวายกับการเลือกสรรเครื่องแต่งกาย เหล่าชายหนุ่มเองก็ตั้งใจเตรียมการ
องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีย่อมได้รับเชิญ เขายืนลองเครื่องแต่งกายอยู่หน้ากระจกทองแดง
เครื่องแต่งกายถูกส่งมาจากท่านอ๋องฉี อีกทั้งยังมีถุงเท้าที่เย็บโดยพระชายา แต่องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีไม่มีความเศร้าโศกแม้แต่น้อย ขมวดคิ้วมุ่น “สิ่งเหล่านี้เป็นแบบของเมืองฉี แตกต่างจากซีจิงและเมืองอู๋”
ขันทีที่ติดตามกังวลเล็กน้อย “เกรงว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เนื่องจากเฉินตันจูทูลใส่ร้ายองค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ องค์รัชทายาทจึงสลายตัวของสหายที่เดินทางมา ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ไม่ออกจากจวนเป็นเวลานานแล้ว ระมัดระวังอย่างมาก
องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีครุ่นคิดเล็กน้อย “ใช้ผืนผ้าที่เสด็จพ่อส่งมา ตัดเย็บชุดตามแบบที่นิยมที่สุดในหมู่คุณชายภายในเมืองหลวงสักชุดเถิด”
การกระทำนี้เรียกว่าเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เหมาะสมอย่างเป็นที่สุด ขันทีข้างกายรับคำสั่ง นางในที่ยืนรับใช้อยู่สองข้างเดินขึ้นหน้า ถอดเครื่องแต่งกายให้องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีอย่างเบามือ
องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีพินิจตนเองในกระจก หากพูดถึงเรื่องรูปลักษณ์ เขามีรูปลักษณ์ที่ดีกว่าเหล่าองค์ชาย ดูจากท่าทางสง่างามนี้ ภายในกระจกศีรษะของนางในคนหนึ่งบดบังความงดงามของเขา องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีขมวดคิ้ว เอียงหน้า…
นางในผู้นั้นสังเกตได้ จึงรีบถอยหลังคุกเข่าลง “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”
องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีก้มหน้า ก่อนจะมองเห็นสร้อยอิงรั่วที่ห้อยอยู่ด้านหน้าของนางใน นางในไม่สามารถสวมใส่เช่นนี้ได้ ผู้ที่สวมใส่สร้อยคออิงรั่วได้ ย่อมต้องเป็นสมบัติอันล้ำค่าของตระกูล…
“เจ้า” องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีผงะ ก่อนจะนึกขึ้นได้เมื่อเห็นไฝบริเวณริมฝีปากของนางในผู้นั้น “เจ้าเอง…”
นางในผู้นั้นเงยหน้าขึ้น ดวงตาสดใสมองไปยังองค์รัชทายาทท่านอ๋องฉี
“เหตุใดเจ้าจึงมาทำหน้าที่นี้” องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีบอกให้นางลุกขึ้น หญิงสาวนี้ย่อมไม่ใช่นางใน แต่เป็นคุณหนูในตระกูลของท่านย่า หากจะว่ากันตามศักดิ์ เขาต้องเรียกนางว่าน้องสาว
นางในยืนขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนหวาน “พระพันปีส่งหม่อมฉันมารับใช้องค์รัชทายาทเพคะ”
ครานี้นางในที่ท่านอ๋องฉีส่งมาไม่ใช่นางใน เนื่องจากพระชายาท่านอ๋องฉีไม่สามารถเสด็จมาได้ องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีอยู่ข้างนอกอย่างเดียวดาย จึงคัดเลือกหญิงสาวชั้นสูงภายในเมืองออกมาปรนนิบัติองค์รัชทายาท
หญิงสาวผู้นี้เป็นหญิงสาวชนชั้นสูงของตระกูลพระพันปี พาออกไปก็ถือว่าสง่างาม
องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องมาปรนนิบัติข้าเปลี่ยนเครื่องแต่งกายตรงนี้แล้ว ไปเลือกเครื่องแต่งกายมาสองชุด ตามข้าไปเข้าร่วมงานเลี้ยง”
นางในก้มหน้าย่อเข่าตอบรับ