สวีลิ่งอี๋ตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่มีใครอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง
เขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียกสืออีเหนียงด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็แตะผ้าปูที่นอนข้างๆ
ผ้าปูที่นอนเย็น!
เมื่อวานดึกไปหน่อย แล้วยังรู้สึกเพลิดเพลินใจ กะว่าจะงีบสักประเดี๋ยวแล้วค่อยช่วยนางทำความสะอาด…แต่ใครจะรู้ว่าตื่นขึ้นมากลับไม่พบนาง
ความคิดวาบขึ้นมา นอกม่านเตียงก็มีเสียงที่ชัดเจนเอ่ยเรียกเขาพอดี “ท่านโหวตื่นแล้วหรือเจ้าคะ!”
สืออีเหนียงสวมเสื้อสีขาวพระจันทร์ เสื้อกั๊กยาวสีเขียว ในมือยังถือเสื้อผ้าของเขาเอาไว้
นอนหลับจนลืมเวลา…
สวีลิ่งอี๋กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จากนั้นเขาก็ทำท่าทีราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “นี่ยามใดแล้ว”
“ยามเหม่าแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “วันนี้เป็นวันเกิดของเจี้ยเกอ ข้าจึงเชิญทุกคนมาทานบะหมี่อายุยืนด้วยกัน ท่านโหวรีบตื่นเถิดเจ้าค่ะ” พูดจบก็วางเสื้อผ้าไว้บนโต๊ะข้างๆ จากนั้นก็บอกให้สาวใช้ตักน้ำเข้ามาให้เขาล้างหน้าล้างตา
สวีลิ่งอี๋เห็นนางยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีความไม่พอใจ ก็รู้สึกสบายใจ ปล่อยให้สืออีเหนียงรับใช้ตัวเองเปลื้องเสื้อผ้า
แต่หางตาของเขากลับเหลือบไปเห็นรอยสีชมพูจางๆ ใต้คอเสื้อของนาง นึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาก็พลันใจสั่นแล้วกระซิบข้างหูนางว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
สืออีเหนียงเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ ไม่พูดไม่จาเพียงก้มหน้าสวมเสื้อผ้าให้เขา จึงไม่ทันสังเกตใบหน้าที่สดใสของเขา
สวีลิ่งอี๋อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก กำลังจะพูดหยอกล้อนาง ก็มีสาวใช้เข้ามาปูเตียง
เขาจึงรีบทำสีหน้าเคร่งขรึม สวมเสื้อผ้าแล้วเดินไปยังห้องชำระ
ออกมาก็เห็นสวีซื่อเจี้ยนั่งอยู่ตรงกลางเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้อง ข้างหน้าเขามีชามดอกทานตะวันสีดำฐานแดง ข้างในมีบะหมี่ ลูกชิ้น ปลา เห็ด หน่อไม้และอื่นๆ แล้วยังมีแครอทแกะสลักคำว่าอายุยืน
จุนเกอนั่งอยู่ทางขวาของเตียงเตา เจินเจี่ยเอ๋อร์และเหวินอี๋เหนียง สวีซื่ออวี้และฉินอี๋เหนียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ซ้ายขวาข้างเตียงเตา บนโต๊ะมีบะหมี่ที่เหมือนกัน แต่ว่าของพวกเขาใช้ชามหงไห่
สืออีเหนียงเชิญสวีลิ่งอี๋มานั่งทางซ้ายของเตียงเตา ตัวเองลงนั่งข้างๆ เขา ลี่ว์อวิ๋นก็ยกบะหมี่มาให้พวกเขา
นางยิ้มแล้วยกตะเกียบขึ้นมา “วันนี้เป็นวันเกิดของเจี้ยเกอ เรามาทานบะหมี่อายุยืนกับเขากันเถิด”
สวีลิ่งอี๋มองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเปี่ยมไปด้วยความสุข เขาก็หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบบะหมี่เข้าปาก
ทุกคนถึงได้เริ่มทาน
เส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม เนื้อหมูก็อร่อย เขาทานสองสามคำก็หมด
หันไปมองสวีซื่อเจี้ย เขาตั้งหน้าตั้งตาทานบะหมี่ รู้สึกว่าสวีลิ่งอี๋กำลังมองตัวเอง เขาก็เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ ด้านล่างคางยังมีน้ำแกงของบะหมี่ที่ไหลลงมา
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็ลอบถอนหายใจ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากให้เขา “ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ ทาน”
จากนั้นก็มองไปที่จุนเกอ
เขากำลังทานบะหมี่ทีละคำ ท่าทีสง่างาม
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ ด้วยความพอใจ จากนั้นก็มองไปที่สวีซื่ออวี้
เขานั่งตัวตรง สีหน้าค่อนข้างจริงจัง ทานบะหมี่หมดแล้ว กำลังทานเนื้อหมู
มองไปที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ นางกำลังใช้ช้อนตักบะหมี่เข้าปาก เผยให้เห็นความอ่อนช้อย
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ แล้วถามถึงซินเจี่ยเอ๋อร์ “…ส่งคนไปซักถามว่าเป็นเช่นไรบ้างแล้วหรือยัง”
“ส่งคนไปถามตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทานยาของหมอหลวงหลิว เผากระดาษเหลือง ซินเจี่ยเอ๋อร์ก็เริ่มเงียบยามดึก นอนหลับไปจนถึงเช้า ตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็เริ่มทานนม แต่ว่ายังคงไม่มีชีวิตชีวา ถือว่าไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
สืออีเหนียงพูดถึงเรื่องที่อู่เหนียงคลอดลูก “…พรุ่งนี้เป็นวันที่สาม เกรงว่าคงต้องหาเวลาไปเยี่ยมสักหน่อยเจ้าค่ะ”
“อ้อ เฉียนหมิงกลายเป็นพ่อคนแล้ว!” สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ควรไปหาเขาสักครั้ง ถึงตอนนั้นเจ้าไปบอกท่านแม่ก็พอแล้ว”
ก็คงต้องเป็นเช่นนี้!
สืออีเหนียงพยักหน้า พวกเขาสองคนพูดคุยกันอีกสองสามประโยค เห็นว่าทุกคนทานเสร็จกันแล้ว จึงพาเด็กๆ ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
คิดไม่ถึงว่าไท่ฮูหยินยังจำได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของสวีซื่อเจี้ย มอบเหรียญเงินจอหงวนเล็กๆ สองเหรียญให้สวีซื่อเจี้ยเป็นของขวัญวันเกิด แล้วยังพูดว่า “ในภายภาคหน้าจะได้เป็นจอหงวน”
หลังจากที่เด็กๆ คารวะเสร็จแล้ว ฮูหยินสอง สวีลิ่งควน ฮูหยินห้าและซินเจี่ยเอ๋อร์ก็มาถึง
เบ้าตาของฮูหยินห้าแดงเล็กน้อย แต่คนอื่นๆ ดูเป็นปกติ
เมื่อคารวะเสร็จ ฮูหยินสองก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าอยู่ที่เรือนเสาหวาคนเดียวช่างเงียบเหงา ให้ซินเจี่ยเอ๋อร์ไปอยู่เป็นเพื่อนข้าเถิดเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ยิ้มแล้วมองไปที่สวีลิ่งควนและฮูหยินห้า “พวกเจ้าจะได้ดูละครเพลงงิ้วอย่างสบายใจ”
สวีลิ่งควนและฮูหยินห้ามองไปที่ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินหัวเราะ “ได้สิ เช่นนี้ก็ถือว่าตรงตามความต้องการของทุกคน”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วยืนอยู่ข้างๆ นางรู้ว่าพวกเขากลัวว่าเด็กจะตกใจอีกครั้งจึงได้ปรึกษากันเอาไว้แล้ว นางจึงพูดเรื่องที่อู่เหนียงคลอดลูก
“คลอดบุตรชายตัวอ้วนท้วมเจ้าค่ะ!” ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “เจ้าไปเถิด เจ้าไปเถิด ที่นี่มีข้าอยู่” จากนั้นก็จับมือฮูหยินห้า “ยังมีน้องสะใภ้ห้าของเจ้า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี จะล่าช้าไม่ได้” แล้วก็ถามสืออีเหนียงอย่างสนอกสนใจ “ข้าจำได้ว่าพี่หญิงสี่ของเจ้า คนที่แต่งงานกับทั่นฮวาคนนั้น เหมือนว่าจะคลอดบุตรชายสองคนใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “พี่หญิงสี่คลอดบุตรชายสองคนเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า มีสาวใช้เข้ามารายงานว่าหวงฮูหยินมาแล้ว สืออีเหนียงจึงขอตัวออกไปก่อน ไปต้อนรับแขกที่โถงบุปผา
วันนี้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มา แต่คุณนายใหญ่สกุลหลินกลับไม่มาด้วย
“…ท่านแม่ต้องอยู่ต้อนรับแขก จึงให้ข้ามาคารวะท่านอาเจ้าค่ะ” นางทักทายสืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพานางไปหาเจินเจี่ยเอ๋อร์
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ไม่เพียงแต่รู้จักกับฟังเจี่ยเอ๋อร์ แต่ยังสนิทกันอีกด้วย พอเจอหน้านางก็บ่นว่า “ปีหน้าถึงจะเปิดสอบ มาเยี่ยนจิงตอนนี้ ไม่รู้ว่ามาเที่ยวหรือว่าศิลปะการต่อสู้ไม่ดีจึงแอบมาฝึกฝนก่อน ยืนกรานจะมากับท่านย่าให้ได้ ข้าแค่เห็นก็รำคาญแล้ว หากรู้ว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าน่าจะมาตั้งแต่เมื่อวาน”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มขบขัน “หญิงชายมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน หรือว่าพวกเขายังสามารถมาโอ้อวดต่อหน้าเจ้าได้? เจ้าจะรำคาญอะไรกันเล่า”
ประโยคเดียวทำเอาฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์หน้าแดงไปหมด
เจินเจี่ยเอ๋อร์รีบกอบกู้สถานการณ์ “วันนี้เราไปนั่งอาบแดดที่โถงบุปผากันดีหรือไม่”
“ข้าไม่ชอบอาบแดด” ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์รีบพูด “หากอยากอาบแดดพวกเจ้าก็ไปอาบ ส่วนข้าจะตกปลา”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์คล้อยตามฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ “เช่นนั้นวันนี้เราไปตกปลากันดีกว่า” พูดจบก็มองไปที่เสียนเจี่ยเอ๋อร์
เสียนเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า
ฟังเจี่ยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็เรียกท่านป้าที่ติดตามมา “ไปเอาอุปกรณ์ตกปลามาให้พวกข้า”
ท่านป้าที่คอยรับใช้ก็ตอบรับแล้วเดินออกไป
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่เห็นเช่นนี้ก็ไม่สบายใจ รีบตะโกนบอก “ข้าอยากไปพายเรือเล่น”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ไม่มองนางแม้แต่น้อย พูดกับท่านป้าข้างๆ “เจ้าพาคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ไปพายเรือเถิด”
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่โมโหจนตัวสั่นเทา
สือเอ้อร์เหนียงรีบยิ้มแล้วจับแขนนาง “ข้าก็อยากไปพายเรือ เราไปด้วยกันเถิด!”
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าดีขึ้น
ฟังเจี่ยเอ๋อร์เหลือบมองสือเอ้อร์เหนียง
เจินเจี่ยเอ๋อร์เดินเข้าไปจับมือของสือเอ้อร์เหนียงด้วยความซาบซึ้ง
เหวินอี๋เหนียงที่เป็นห่วงว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์จะจัดการได้ไม่ดีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก บอกให้ท่านป้าพาคุณหนูใหญ่สกุลหลี่และสือเอ้อร์เหนียงไปพายเรือเล่น แล้วก็บอกให้คนยกเก้าอี้มาวางไว้ริมโขดหินข้างแม่น้ำอี้ปี้ บอกให้ท่านป้าที่ชำนาญการตกปลาคอยรับใช้อยู่ข้างๆ ช่วยโรยอาหารปลาลงในทะเลสาบเพื่อเป็นเหยื่อล่อปลา
เจินเจี่ยเอ๋อร์หยิบกล่องผลไม้ให้คุณหนูใหญ่สกุลหลี่และสือเอ้อร์เหนียงด้วยตัวเอง “ดูทิวทัศน์ไปด้วย ทานผลไม้ไปด้วย”
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่เปิดกล่องดูเห็นลูกพลัมน้ำผึ้งนางก็ดีใจ “ข้าชอบทานมากที่สุดเลย”
“เจ้าชอบก็ดี!” เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้าให้สือเอ้อร์เหนียง บอกให้นางช่วยดูแลคุณหนูใหญ่สกุลหลี่
สือเอ้อร์เหนียงยิ้มให้นาง บอกว่าตัวเองจะดูแลแขกคนนี้เป็นอย่างดี
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังนั่งทานเมล็ดทานตะวันอยู่เห็นเช่นนี้ก็หัวเราะแห้งเบาๆ “ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหน พูดจาไม่เป็นแล้วยังไม่มีมารยาท ท่านแม่ของนางยังชื่นชมว่านางอ่อนโยนและสง่างาม ช่างน่าขบขันเสียจริง”
“เจ้าเก็บอาการหน่อย!” ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์พูด “ไม่เห็นแก่หน้าใครก็เห็นแก่หน้าเจินเจี่ยเอ๋อร์ นางเป็นแขกของเจินเจี่ยเอ๋อร์”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ไม่พูดไม่จา
เสียนเจี่ยเอ๋อร์และฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็พูดถึงสืออีเหนียง “…วันนี้สวมกระโปรงสีเขียว ปักลายดอกด้วยด้ายสีสันสวยงาม ข้าคิดว่านางแต่งตัวเป็นยิ่งนัก”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ครั้งก่อนที่ข้ามา นางสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีเข้ม ด้านบนปักดอกเหมยสีชมพู…ไอ๊หยา งดงามอย่างมาก”
“จริงหรือ!” ฟังเจี่ยเอ๋อร์เอียงตัวเข้ามา “ข้าคิดมาตลอดว่าสีเข้มต้องใช้ทำรองเท้าเท่านั้น ไม่สิ คนที่ทำรองเท้าต้องอายุหกสิบขึ้นไป”
“ข้าพูดจริงๆ” ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์รีบพูด “เป็นเสื้อผ้าฝ้ายธรรมดาๆ ข้างล่างสวมกระโปรงสีชมพู สวยงามมาก” ขณะที่นางกำลังพูด ก็เห็นเจินเจี่ยเอ๋อร์เดินเข้ามา นางพยักหน้าให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ “ไม่เชื่อเจ้าก็ถามเจินเจี่ยเอ๋อร์ดูสิ”
“ถามข้าเรื่องอะไรหรือ” เจินเจี่ยเอ๋อร์บอกให้สาวใช้ไปเอากล่องอาหารมาวางไว้ข้างๆ พวกนาง “ข้างในมีลูกพลัมน้ำผึ้ง พวกเจ้าลองชิมดู”
“เรากำลังคุยกันเรื่องการแต่งตัวของท่านแม่ของเจ้า” ฟังเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วเล่าเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่ให้นางฟัง
เจินเจี่ยเอ๋อร์หัวเราะ “ท่านแม่ของข้าเย็บปักถักร้อยเก่งมาก ครั้งหนึ่งข้าไปคารวะนาง…” พูดถึงตรงนี้นางก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “นางชอบบอกข้าว่าควรจะแต่งตัวเช่นไร”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนฉลาด นางถามประโยคที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ยอมพูดออกมา “รีบพูดเร็ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เจินเจี่ยเอ๋อร์แค่เม้มปากยิ้ม
ฟังเจี่ยเอ๋อร์เดินเข้าไปออดอ้อนนาง
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วถอยตัวไปหลบที่ศาลาหน่วนถิงแปดเหลี่ยมข้างๆ แต่ฟังเจี่ยเอ๋อร์ก็ไม่ยอมปล่อยนางไป
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เองก็อยากรู้เหมือนกัน จึงช่วยฟังเจี่ยเอ๋อร์ ทั้งสามคนหัวเราะหยอกล้อกัน
เสียนเจี่ยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็หัวเราะ แต่นางตามไปด้วยไม่ได้ เพราะว่านางนั้นหมั้นหมายแล้ว
เหวินอี๋เหนียงเห็นแล้วกลับยิ้มอย่างขมขื่น
“คุณหนูสองท่านกำลังเล่นกับคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” ชิวหงกลัวนางจะคิดมากจึงรีบพูด “เพราะว่าสนิทสนมกันเจ้าค่ะ”
“ข้ายังต้องให้เจ้าสอนเช่นนั้นหรือ!” เหวินอี๋เหนียงพูดพึมพำ แต่กลับถอนหายใจออกมา
ชิวหงมองไปที่เหวินอี๋เหนียง
เหวินอี๋เหนียงเห็นเช่นนี้ก็ตลก จากนั้นนางก็พูดว่า “ข้าหมายถึง ข้าหาเงินได้เยอะขนาดนี้ ก็ไม่เห็นมีใครว่าข้าดี นางแค่แต่งตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็ทำให้คนสนใจขนาดนี้” พูดด้วยน้ำเสียงที่น้อยเนื้อต่ำใจ
เรื่องนี้ชิวหงก็ตอบไม่ได้ นางมองไปที่คุณหนูสามคนที่ศาลาหน่วนถิงอย่างเหม่อลอย
แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์กลับไม่ยอม พูดอย่างเหนื่อยหอบว่า “ฟังเจี่ยเอ๋อร์รังแกข้า เอาแต่ซักถามข้า ทำไมถึงไม่ถามเล่าว่าเหตุใดฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ถึงต้องมาหลบอยู่ที่จวนของข้า”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะถามทั้งสองเรื่อง ถามเจ้าก่อนแล้วค่อยถามนาง”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่คล้อยตาม “หากฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ยอมบอก ข้าก็จะยอมบอก”
“พูดถึงข้าทำไมกัน” ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ใบหน้าแดงก่ำราวกับเลือดออก จนทำให้ผู้คนสงสัย