ฟังเจี่ยเอ๋อร์หัวเราะเสียงเบา “ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ไม่เล่าข้าก็รู้ คงเป็นเพราะว่าคนสกุลเซ่าจะมาพาคนสกุลหลินกลับไปแน่นอน…”
“พูดจาเหลวไหลอะไรกัน!” ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เดินไปจับตัวฟังเจี่ยเอ๋อร์ “เพราะอาหญิงห้าของข้าต่างหาก…”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ปรบมือ “แค่นี้ก็รู้แล้ว!” จากนั้นก็บังคับเจินเจี่ยเอ๋อร์ “เจ้าเล่าบ้าง ตาเจ้าเล่าแล้ว”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ดึงแขนฟังเจี่ยเอ๋อร์ “เจินเจี่ยเอ๋อร์ ไม่ต้องบอกนาง ปล่อยให้นางเดาเอาเอง”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์กลอกตาไปมา “ไม่บอกก็ไม่บอก ข้าจะไปถามฮูหยินสี่!” พูดจบก็หันหน้าจะเดินออกไป
เจินเจี่ยเอ๋อร์ท่าทางดูไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมาทันที
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เห็นได้อย่างชัดเจน คิดว่าเพราะเจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาวของอนุ…นางจึงคว้าตัวฟังเจี่ยเอ๋อร์เอาไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ชอบเป็นเช่นนี้ หากเป็นแบบนี้อีกจะไม่เล่นกับเจ้าแล้วนะ” นางกะพริบตาให้ฟังเจี่ยเอ๋อร์
ฟังเจี่ยเอ๋อร์เข้าใจในทันที ยิ้มแล้วพูดล้อตัวเอง “ข้าก็แค่ชอบแกล้งคนอื่น จะกล้าไปฟ้องจริงๆ ที่ไหนกันเล่า” ทันใดนั้นก็เงียบไปแล้วถามถึงหลินหมิงหย่วน อาหญิงของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ “ครั้งนี้อาหญิงห้าของเจ้าคงจะได้แต่งงานแล้วใช่หรือไม่”
เดิมทีฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่หากไม่พูดเรื่องนี้ก็ต้องพูดเรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์
“ไม่รู้” นางครุ่นคิด “คนนี้ก็ไม่พอใจ คนนั้นก็ไม่ถูกใจ แต่ว่า ครั้งนี้ท่านย่าข้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้จะตามใจอาหญิงห้าไม่ได้ ไม่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ อย่างไรปีนี้ก็ต้องกำหนดเรื่องแต่งงาน”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์คิดว่ามันช่างน่าเบื่อ จึงนั่งลงบนเก้าอี้ในศาลาหน่วนถิง เอามือเท้าคางแล้วถอนหายใจ “คนที่แต่งงานแล้วมักจะไม่สนุก”
ทันใดนั้น พวกนางสามคนก็ตกอยู่ในภวังค์
เสียงนกร้องดังมาจากข้างนอก
เจินเจี่ยเอ๋อร์พลันได้สติกลับมา ยิ้มแล้วพูดว่า “เราไปนั่งที่ทะเลสาบกันเถิด จะได้ไม่ทิ้งให้เสียนเจี่ยเอ๋อร์อยู่ที่นั่นคนเดียว”
ทั้งสองคนพยักหน้า
แต่สีหน้าตอนกลับไปไม่มีความสุขเหมือนตอนมา ยิ้มอย่างแผ่วเบาแล้วกลับไปที่ทะเลสาบ
เสียนเจี่ยเอ๋อร์นั่งมองผิวน้ำอยู่ที่นั่น เมื่อมองเห็นพวกนางก็รีบกวักมือเรียก “ข้าตกปลาได้ตั้งเจ็ดแปดตัวแล้ว”
ทั้งสามคนเดินเข้าไปดู ปลากำลังกระโดดโลดเต้นอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่
“ปลาที่นี่ถูกเลี้ยงจนเคยชิน” ฟังเจี่ยเอ๋อร์นั่งอยู่หน้าคันเบ็ดของตัวเอง “แค่วางเหยื่อมันก็มากัด ตกได้แค่เจ็ดแปดตัวเอง พวกเจ้าดูข้า!” ทำท่าทีกระตือรือร้นอยากจะลองตกปลา
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กลับนั่งมองดูสือเอ้อร์เหนียงและคุณหนูใหญ่สกุลหลินที่กำลังพายเรืออยู่ในทะเลสาบไม่พูดไม่จา ท่านป้าสกุลสวีเตือนนางเบาๆ ว่าปลาติดเบ็ดแล้ว แต่นางก็พูดอย่างไม่สนใจว่า “ก็แค่ฆ่าเวลา ตกได้หรือไม่ล้วนไม่สำคัญ”
ท่านป้าคนนั้นเมื่อเห็นท่าทีของนาง กลัวว่าตัวเองรับใช้ไม่ดีจึงรีบปิดปากไม่พูดเรื่องตกปลาอีก แค่ช่วยนางใส่เหยื่อล่อปลา
แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับรู้สึกว่านางมีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ จึงกระซิบถามเบาๆ “จะไปพักผ่อนที่ศาลาหน่วนถิงหรือไม่”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มองดูฟังเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังดึงเบ็ดอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆ แล้วส่ายหัวเล็กน้อย “ประเดี๋ยวนางก็โมโหอีก” จากนั้นก็ถอนหายใจเงียบๆ “เดิมทีข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะคุยกับเจ้า”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ขยับเก้าอี้ บอกให้ท่านป้าที่คอยรับใช้ถอยออกไปแล้วกระซิบ “เราคุยกันเสียงเบาหน่อยก็ได้”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กัดริมฝีปาก “ท่านแม่ของข้าอยากให้ข้าแต่งงานไปอยู่ที่ซังโจว!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ตกใจ “เพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์พูดอย่างเสียใจ “ท่านแม่บอกว่าข้าเป็นคนหัวแข็ง ใช้ชื่อเสียงของจวนเวยเป่ยโหวแต่งงานไปอยู่ที่ซังโจว มีท่านตาและท่านลุงคอยดูแล สกุลของเขาต้องปฏิบัติต่อข้าด้วยความเคารพ ไม่กล้าทำอะไรอย่างบุ่มบ่ามแน่นอน…”
“กำหนดแน่นอนแล้วหรือ” สายตาของเจินเจี่ยเอ๋อร์หม่นหมองลง
“น่าจะกำหนดแล้ว!” ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก้มหน้าลงด้วยความเสียใจ “เมื่อวานข้าเห็นท่านพ่อเขียนดวงชะตาของข้าบนกระดาษสีแดง…ท่านแม่ก็เร่งเร้าท่านย่า บอกว่าให้อาหญิงห้ารีบแต่งงาน” นางถอนหายใจ “ข้าไม่อยากแต่งออกไปอยู่ที่ซังโจว ไม่รู้จักใครสักคน อีกทั้งที่นั่นก็หนาว ไม่มีขนมหม่าโผว ไม่มีร้านขายเครื่องเขียนตัวเป่าเก๋อและร้านเครื่องดนตรีจินสือ…” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจ
เจินเจี่ยเอ๋อร์นิ่งเงียบ
จู่ๆ ฟังเจี่ยเอ๋อร์ก็กระโดดออกมา “พวกเจ้าสองคนคุยเรื่องอันใดกัน ท่าทีมีความสุขเช่นนี้”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เห็นท่าทีไม่สนใจอะไรของนาง ก็กลอกตาใส่ฟังเจี่ยเอ๋อร์แล้วพูดว่า “คุยกันว่าเมื่อไรเจ้าจะแต่งงานออกเรือนเสียที”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงเสียจริง”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์รู้ว่าคำพูดเหล่านี้ทำอะไรนางไม่ได้ จึงเปลี่ยนเรื่องสนทนา “วันที่เก้าเดือนสามพวกเจ้าไปเที่ยวเล่นที่จวนข้าเถิด วันนั้นจวนข้าจัดงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ”
“จวนเจ้าน่าสนุกตรงไหนกัน!” ฟังเจี่ยเอ๋อร์ไม่เห็นด้วย “บรรดาท่านอาของเจ้ากลัวว่าท่านปู่จะมอบทรัพย์สมบัติให้ท่านพ่อของเจ้าคนเดียว เอาแต่เฝ้าอยู่ที่จวนไม่ไปไหน เบียดเสียดกันจนไม่มีที่ให้ยืน…”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เบิกตากว้างใส่ฟังเจี่ยเอ๋อร์ “เจ้าจะไปหรือไม่ไป”
แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์กลับเข้าใจความคิดของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์
หากนางต้องแต่งงานไปอยู่ที่ซังโจวจริงๆ หนึ่งวันที่ได้อยู่ในเยี่ยนจิงนั้นมีค่ามากมายนัก
จึงรีบตอบกลับว่า “ทุกคนไปแน่นอน”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ก็แค่พูดจาหยอกเย้า เห็นตนทำหน้าบูดบึ้งอย่างเช่นตอนนี้ แต่ในใจก็รู้สึกได้ว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์นั้นแปลกไป จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ต้องไปแน่นอน ต้องไปแน่นอน ไม่เช่นนั้น เจ้าก็ไม่เล่นกับข้าแล้วน่ะสิ!” พูดจบก็แกล้งพูดอีกว่า “ข้าไปได้ก็จริง แต่ต้องเชิญปลาอวี่ฉุนของหอชุนซีไปด้วย ไม่เช่นนั้น ข้าจะไม่ไป”
เดิมทีฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กำลังโศกเศร้า ได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ “คิดถึงแต่เรื่องกิน”
ได้ยินแล้วฟังเจี่ยเอ๋อร์ก็ไม่ได้โกรธอะไร นางหันไปถามเสียนเจี่ยเอ๋อร์ “จวนของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มีงานเลี้ยงในฤดูใบไม้ผลิในวันที่เก้าเดือนสาม เจ้าจะไปหรือไม่”
“ถึงตอนนั้นฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็ส่งเทียบเชิญไปให้ข้าเถิด!” เสียนเจี่ยเอ๋อร์ตอบรับอย่างเป็นมิตร
“ส่งเทียบเชิญ ส่งเทียบเชิญอะไรกัน”
พวกนางหันหน้าไป
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร คุณหนูใหญ่สกุลหลี่และสือเอ้อร์เหนียงขึ้นฝั่งมาแล้ว
ฟังเจี่ยเอ๋อร์เบะปากแล้วหันไปตกปลาต่อ
เจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่กล้าพูดตอบ
แต่ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กลับนึกถึงคำพูดที่ว่า ‘การได้มาพบกันคือพรหมลิขิต’ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “จวนข้ามีงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิในวันที่เก้าเดือนสาม คุณหนูใหญ่สกุลหลี่และสือเอ้อร์เหนียงก็มาร่วมสนุกด้วยกันเถิด”
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่พยักหน้าบอกว่า “ดี” ซ้ำๆ ส่วนสือเอ้อร์เหนียงเพียงส่งยิ้มให้ ไม่ได้รับปากตอบตกลง
เหวินอี๋เหนียงเห็นว่าเวลาเริ่มสายแล้ว จึงเชิญบรรดาคุณหนูไปทานอาหารเย็นที่โถงบุปผา
ทุกคนยิ้มแล้วเดินไปตามทางเดิน ออกจากสวนหลังจวนไปโถงบุปผากับสาวใช้ของตัวเอง
เวลานี้พลบค่ำแล้ว โคมสีแดงใต้ชายคาถูกจุดขึ้นสว่างไสว ส่องแสงกระทบกับพื้นกระเบื้อง เกิดเป็นประกายแสงสีแดง ยิ่งสร้างบรรยากาศที่น่าปิติยินดีขึ้นมา
สืออีเหนียงกำลังยืนพูดบางอย่างกับท่านป้าผู้ดูแลอยู่บนบันไดหน้าประตูโถงบุปผา นางปักปิ่นปักผมดอกซิ่ง ต่างจากปิ่นปักผมทั่วไปที่มีแค่ดอกซิ่งดอกเดียว แต่นี่เป็นดอกซิ่งเล็กๆ ที่ห้อยลงมา ทับซ้อนกันเป็นพวง กลายเป็นดอกซิ่งพวงใหญ่ แกว่งไปมาตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย ราวกับปลิวไสวตามลมที่พัดโบก ช่างดูสวยงาม
“สวีฮูหยินช่างแต่งตัวเป็นเสียจริง” เสียนเจี่ยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจ
ความอยากรู้อยากเห็นที่ถูกระงับไปของฟังเจี่ยเอ๋อร์ก็ฟื้นกลับคืนขึ้นมาอีกครั้ง
นางจับเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปข้างๆ “ข้ารับปากว่าข้าจะไม่พูด ตอนนั้นที่เจ้าไปคารวะนาง เจ้าเห็นอาหญิงสี่สกุลสวีกำลังทำอะไรกันแน่”
เปลี่ยนจากเรียกฮูหยินสี่สกุลสวีเป็นอาหญิงสี่สกุลสวี
เจินเจี่ยเอ๋อร์คล้อยตามนาง พูดตอบเบาๆ “มีครั้งหนึ่งข้าไปคารวะ ท่านเม่กำลังจัดกล่องของ นำเสื้อผ้าเก่าๆ ออกมามอบให้คนอื่น หนึ่งในนั้นมีเสื้อผ้าฝ้ายสีดำ มีกระดุมค้างคาวหลากสียี่สิบหกคู่ มองจากไกลๆ ราวกับดอกไม้หลากสี สวยงามเป็นอย่างมาก”
“ไอ๊หยา กระดุมค้างคาวหลากสี!” ฟังเจี่ยเอ๋อร์กระซิบ “ช่างคิดสร้างสรรค์เสียจริง!”
ระหว่างที่พวกนางกำลังพูดคุยกัน บรรดาแม่นางน้อยคนอื่นล้วนแต่เงียบฟัง
“ใช่แล้ว” เจินเจี่ยเอ๋อร์หัวเราะ “ไม่รู้ว่าต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน ข้าคิดว่ามอบให้สาวใช้มันน่าเสียดายเกินไป จึงเอ่ยขอจากท่านแม่ แต่ท่านแม่กลับบอกว่า ค้างคาวพวกนี้เดิมทีคือเชือกจีนที่นางถักได้ไม่ดีตอนที่ฝึกฝกถักเชือก จึงนำมาทำเป็นกระดุม หากข้าชื่นชอบ จะทำให้ข้าใหม่อีกตัวหนึ่ง”
สือเอ้อร์เหนียงก้มหน้าลง
นางรู้จักเสื้อตัวนั้น
ผ้าหยาบสีดำคือผ้าที่ร้านส่งมาให้เมื่อฤดูใบไม้ผลิเพื่อนำมาห่อผ้าไหม สุดท้ายสืออีเหนียงขอไป เอาไปทำเป็นเสื้อสวมข้างใน ปินจวี๋ยังเคยบ่นว่า เสื้อตัวนั้นสีตกใส่เสื้อกั๊กยาวด้านใน…
ฟังเจี่ยเอ๋อร์สนใจ “จริงหรือ จริงหรือ ประเดี๋ยวนำเสื้อตัวนั้นมาให้ข้าดู ข้าจะทำตามสักตัวหนึ่ง”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เม้มปากยิ้ม
ฟังเจี่ยเอ๋อร์รีบทานข้าวไปแค่สองสามคำ จากนั้นก็ลากเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปที่เรือนของเจินเจี่ยเอ๋อร์ ก่อนที่จะกลับมาที่โถงบุปผาด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ
เช้าวันต่อมาก็เร่งเร้าโจวฮูหยินมาดูละครงิ้วที่จวนสกุลสวี ทำเอาโจวฮูหยินสับสนไปหมด “ต้องทานข้าวกลางวันก่อนถึงจะเริ่มแสดง”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์กลอกตาไปมา “ท่านบอกว่ามีแต่คนพาบุตรสาวมาเป็นแขกที่เรือน น่าเบื่อไม่ใช่หรือเจ้าคะ เราไปเช้าหน่อย จะได้ไม่เจอหน้ากับคนพวกนั้น แล้วยังเป็นหน้าเป็นตาให้หย่งผิงโหวฮูหยิน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เหตุใดไม่ทำเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”
โจวฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “เจ้าเห็นว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์อยู่ที่นั้น จะไปเล่นกับนางใช่หรือไม่!”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ” ฟังเจี่ยเอ๋อร์ทำท่าทีจริงจัง “เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนอ่อนโยนและขี้อาย เราต่างไม่กล้ารบกวนนาง”
องค์ชายใหญ่กำลังจะคัดเลือกพระชายา ทุกคนต่างพากันชิงดีชิงเด่น โจวฮูหยินก็กลัวคนที่จะมาเข้าทางนาง จึงวางแผนไปที่จวนสกุลสวีเร็วๆ ตรงกับความต้องการของบุตรสาวพอดี สองแม่ลูกมาถึงจวนสกุลสวีก่อนหวงฮูหยิน กลายเป็นแขกคนแรกที่มาถึงจวนสกุลสวี
สืออีเหนียงเอ่ยขอโทษโจวฮูหยิน “…วันนี้เป็นวันที่ทำพิธีสรงสามของบุตรชายของพี่หญิงห้า คงจะได้มาดื่มกับพี่หญิงตอนเย็นเจ้าค่ะ”
โจวฮูหยินหัวเราะ “เจ้าพูดเองนะ ถึงตอนนั้นเจ้าต้องมาดื่มเป็นเพื่อนข้า”
สุราจินหวาไม่ค่อยแรงเท่าไรนัก สืออีเหนียงเคยลองดื่มแล้ว จึงรู้ความคอแข็งของตัวเองดี
“หากพี่หญิงไม่รังเกียจนะเจ้าคะ”
พวกนางสองคนพูดคุยพลางหัวเราะระหว่างเดินไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
สายตาของฟังเจี่ยเอ๋อร์จับจ้องอยู่ที่สืออีเหนียงตลอดเวลา
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
เมื่อออกมาจากเรือนของไท่ฮูหยิน นางจึงยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “ฟังเจี่ยเอ๋อร์มีเรื่องใดจะพูดกับข้าหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ ไม่มีเจ้าค่ะ!” ฟังเจี่ยเอ๋อร์ปฏิเสธซ้ำๆ พูดออกมาแล้วก็รู้สึกว่าปฏิเสธราวกับเด็กน้อย จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ว่าเสื้อผ้าของอาหญิงสี่นั้นงดงามมาก”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ชุดที่ฟังเจี่ยเอ๋อร์สวมมาก็สวยมากเช่นกัน”
วันนี้ฟังเจี่ยเอ๋อร์สวมเสื้อกั๊กยาวสีแดงมา แต่ไม่รู้ว่าทำไม สวมแล้วตัวดูบวมๆ
สืออีเหนียงไม่กล้าพูดอะไร
ฟังเจี่ยเอ๋อร์เดินเข้ามาจับแขนนาง “อาหญิงสี่เจ้าคะ ข้าเห็นปิ่นปักผมดอกซิ่งที่ท่านปักเมื่อวานนั้นงดงามเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าอาจารย์ท่านใดเป็นคนทำขึ้นหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงตกใจ
นางพึ่งจะเจอกับฟังเจี่ยเอ๋อร์เป็นครั้งที่สอง แต่ฟังเจี่ยเอ๋อร์กลับมีท่าทางเป็นมิตรกับนางเป็นอย่างมาก แล้วก็เห็นโจวฮูหยินที่อยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จา จึงคิดว่าน่าจะเป็นความต้องการของโจวฮูหยิน ยิ้มแล้วตอบว่า “ให้อาจารย์หวงของร้านเหล่าจี๋เสียงเป็นคนทำให้ ฝีมือของเขาไม่เลวเลยทีเดียว”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้ว
อาจารย์ที่มีชื่อเสียงของร้านเหล่าจี๋เสียงนางรู้จักเกือบทุกคน แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีคนนามสกุลหวง
โจวฮูหยินแอบแปลกใจ
สกุลโจวเคยมีองค์หญิงถึงสามพระองค์ ส่วนนิสัยของพวกคุณชายล้วนแต่อ่อนโยนสุขุม นิสัยของเหล่าคุณหนูกลับสดใสร่าเริงกว่ามาก และบุตรสาวของนางคนนี้ก็เป็นคนที่องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงโปรดปรานมากที่สุด ถึงแม้ว่าจะเฉลียวฉลาดแต่กลับเย่อหยิ่ง เหตุใดจู่ๆ ถึงสนิทสนมกับสืออีเหนียงเช่นนี้กันเล่า
นางกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ หวงฮูหยินและคุณนายสามสกุลหวงก็มาถึงพอดี
สืออีเหนียงถามฟังเจี่ยเอ๋อร์ว่าจะไปนั่งที่เรือนของเจินเจี่ยเอ๋อร์ก่อนหรือไม่
ฟังเจี่ยเอ๋อร์รู้ว่านางต้องไปต้อนรับแขก จึงยิ้มแล้วพยักหน้า “อาหญิงสี่ไปต้อนรับแขกเถิดเจ้าค่ะ ข้าจำทางได้ ให้พี่หญิงไปส่งข้าคนหนึ่งก็พอเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงจึงบอกหู่พั่วให้ไปส่งฟังเจี่ยเอ๋อร์ไปที่เรือนของเจินเจี่ยเอ๋อร์
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ถอนหายใจแล้วถอดเสื้อกั๊กยาวออก เผยให้เห็นเสื้อค้างคาวหลากสีข้างใน “ข้าบอกให้อาหญิงที่กรมเย็บปักตัดเสื้อที่เหมือนกันให้ข้า”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ช่วยนางถอดเสื้อออก “หากไม่ใช่ของที่ท่านแม่ทำเอง ข้าก็มอบให้เจ้าได้”
เจินเจี่ยเอ๋อร์สูงกว่าสืออีเหนียงในตอนนั้น นางจึงสวมไม่ได้ แต่ฟังเจี่ยเอ๋อร์กลับสวมได้อย่างพอดี
พวกนางกำลังเก็บเสื้อ ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็มาพอดี
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง