เมื่อเดินเข้าจวนโหว ทุกคนต่างเข้าไปในโถงหลักก่อน พระสนมเสียนนำพระชายาและเหล่าองค์หญิงนั่งอยู่ด้านใน
หลังจากคนอื่นเข้าไปคำนับแล้วจึงถอยออกมา ภายในโถงมีเพียงองค์หญิงองค์ชาย รวมถึงเชื้อสายราชวงศ์ที่ถูกพระสนมเสียนรั้งเอาไว้ให้นั่งพูดคุย
เนื่องจากด้านหน้ามีองค์ชายสามและองค์หญิงจินเหยา เฉินตันจูและหลิวเวยเดินตามอยู่ด้านหลัง รออยู่ด้านนอกโถง
หลิวเวยมองไปรอบด้าน สีหน้าตกตะลึงอย่างยากที่จะปิดบัง
“ตันจู” นางพูดเสียงต่ำ “จวนเจ้างดงามเพียงนี้เชียวหรือ”
นางย่อมรู้ว่าจวนแห่งนี้เป็นจวนของเฉินตันจู ถูกบังคับให้ขายต่อโจวเสวียนอย่างจำใจ จวนของชนชั้นสูงในเมืองอู๋ หลิวเวยไม่เคยมีโอกาสเข้าออกมาก่อน นางมักรู้สึกว่าจวนของตระกูลฉางดีมากแล้ว วันนี้เดินทางมายังจวนของท่านมหาราชครูในอดีต ถึงได้รู้ว่าจวนของตระกูลฉางถือเป็นจวนบ้านนอกเสียจริง
เมื่อได้ยินหลิวเวยบอกว่าจวนของเจ้างดงามมาก เฉินตันจูจึงมองไปรอบด้าน สีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย อีกทั้งยังมีความดีใจแอบซ่อนอยู่ จวนของนาง อันที่จริงนางไม่ได้กลับจวนมาเป็นเวลานานแล้ว เดิมทีคิดว่าจะแปลกตา แต่ดูจากเวลานี้ จวนแห่งนี้มีความคุ้นตาอย่างมาก โดยเฉพาะความทรงจำในวัยเด็กที่ถูกเรียกกลับคืนมา
จวนที่ดีที่สุดในเมืองอู๋แห่งนี้เคยเป็นจวนของขุนนางท่านอ๋องอู๋มาก่อน นางในสมัยเด็กราวกับเคยถูกอุ้มสูง เดินไปมาอยู่ภายในจวน หลงเหลือไว้เพียงความทรงจำอันเลือนลางและสดใส
“คนงามต่างหาก” เฉินตันจูยิ้มให้หลิวเวย “จวนข้าแต่ก่อน ไม่มีคนมากมายเช่นนี้”
มองหญิงสาวชายหนุ่มที่แต่งกายงดงามรอบด้าน
นางมองไปรอบด้าน สายตารอบด้านก็จับจ้องมายังตัวนาง ไม่รอนางมองมา สายตาเหล่านี้รีบเบี่ยงเบนไปทันที
เฉินตันจูแอบหัวเราะ ยังดีที่ไม่ได้รอนานนัก ขันทีด้านนอกห้องโถงบอกให้พวกนางเข้าไปได้
ถึงแม้จะเป็นการเข้าเฝ้าพระสนมเป็นครั้งแรก แต่เฉินตันจูเข้าเฝ้าฮ่องเต้เป็นประจำ ดังนั้นจึงไม่วิตกมากนัก นางจับมือของ หลิวเวยที่กังวลเดินเข้าไป
“หม่อมฉัน เฉินตันจู คำนับพระสนมเสียนเพคะ”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ องค์ชายและองค์หญิงที่กำลังสนทนากันในห้องโถงต่างมองมา ชื่อของเฉินตันจู พวกเขาไม่แปลกหูนัก เฉินตันจูไปมาในพระราชวังได้อย่างอิสระ แต่พวกเขาเห็นนางตัวจริงเป็นครั้งแรก…
หญิงสาวที่ก้มคำนับในห้องโถงมีสองคน คนหนึ่งตัวสั่นเทาด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด สามารถเพิกเฉยได้ ส่วนอีกคนดูไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ย่อมต้องเป็นเฉินตันจู อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปี สวมชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน สางผมอย่างสง่างาม ปักด้วยมุกสีเขียว ท่าทางอ่อนแอ ไม่มีความเหิมเกริมแม้แต่น้อย
เมื่อนางเงยหน้าขึ้น ผิวพรรณขาวดุจหิมะ ดวงตาดำขลับ มุมปากยิ้มบาง สายตาราวกับสงสัยและเขินอาย ดุจดั่งกวางตัวน้อย สายตามองไปมา…
เมื่อสายตานี้มองมา สบตาเข้ากับเหล่าองค์ชาย ทำให้พวกเขาอดใจเต้นระรัวไม่ได้ หญิงงามเช่นนี้ มิน่าองค์ชายสามถึงได้หลงใหลยิ่งนัก
สายตาของหญิงงามจ้องไปยังคนผู้หนึ่ง
องค์ชายสามยิ้มให้นาง
ภายใต้สายตาของทุกคน เฉินตันจูไม่ได้หลบหลีกด้วยความเขินอาย เพียงแค่ยิ้มตอบ
พระสนมเสียนย่อมเห็น แต่นางไม่ได้ตำหนิหรือไม่พอใจกิริยาของหญิงสาวนี้…เฉินตันจูเสียกิริยาต่อหน้าฮ่องเต้ยังไม่เป็นอันใด นางไม่มีทางไปสร้างปัญหานี้
“คุณหนูตันจู” นางยิ้มอย่างเมตตา อีกทั้งยังส่งเสริมเรื่องดี “พวกเจ้ารีบนั่งลงเถิด วันนี้ท่านโหวโจวเตรียมสำรับอาหารมาจากพระราชวังทั้งนั้น”
เฉินตันจูไม่ได้ปฏิเสธ ก้มคำนับขอบพระทัยพระสนมเสียน ก่อนจะจับมือของหลิวเวยถอยไปด้านข้าง ชายหนุ่มที่เป็นเชื้อสายราชวงศ์ที่ยืนอยู่รีบถอยห่างออกไป
เนื่องจากพระสนมเสียนบอกว่าพวกเจ้า หลิวเวยจึงอยู่ต่อด้วย อย่างไรติดตามอยู่ข้างตัวเฉินตันจู นางก็ไม่กลัว
นางในนำขนมเข้ามา เฉินตันจูและหลิวเวยต่างหยิบคนละชิ้น เวลานี้มีคนมาเข้าเฝ้าอีก คนที่มาสนิทกับพระสนมเสียนอย่างมาก ภายในตำหนักดังก้องไปด้วยเสียงสนทนา พวกนางทั้งสองคนจึงถูกข้ามผ่านไป
ไม่นานนัก องค์หญิงจินเหยานำองค์ชายสามเดินมา ชายหนุ่มที่เป็นเชื้อสายราชวงศ์ที่ยืนอยู่จึงหลบหลีกอีกครั้ง
“เจ้าดูทรงผมของข้าวันนี้ งามหรือไม่” องค์หญิงจินเหยาจับมือของเฉินตันจูถาม
เฉินตันจูทำสีหน้าตกตะลึง “งดงามยิ่งนักเพคะ องค์หญิง ผู้ใดเก่งกาจเพียงนี้ คิดค้นทรงผมที่งดงามนี้ออกมาได้”
หลิวเวยอดหัวเราะไม่ได้ นางย่อมรู้ว่าเฉินตันจูคิดค้นทรงผมหลายทรง มอบให้องค์หญิงจินเหยา
องค์หญิงจินเหยาก็หัวเราะออกมา จับผมที่หล่นลงมาของเฉินตันจู “เจ้า เจ้า คุณหนูตันจูเก่งที่สุดในแผ่นดิน”
เมื่อเห็นเหล่าหญิงสาวหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน องค์ชายสามยืนยิ้มอ่อนอยู่ด้านข้าง
เฉินตันจูอยากพูดบางสิ่ง แต่ก็ราวกับไม่รู้จะพูดสิ่งใดในชั่วขณะ จึงโพล่งออกมา “วันนี้องค์ชายก็งดงามมากเพคะ”
องค์หญิงจินเหยาเกือบหลุดหัวเราะออกมา นางทำหน้าบึ้ง “พี่สามของข้ามีเวลาใดที่ไม่งดงาม”
องค์ชายสามพูด “ก่อนที่จะใช้ยาของคุณหนูตันจู สีหน้าขาวซีดเล็กน้อย ไม่งดงามนัก”
เฉินตันจูหัวเราะ ก่อนจะพินิจสีหน้าขององค์ชายสามอีกครั้ง กำชับด้วยความห่วงใย “องค์ชายท่านต้องระวังร่างกายของตนเอง อย่าหักโหมมาก โดยเฉพาะการนอน” ก่อนจะพูดเสียงต่ำ “งานไม่สำคัญ ร่างกายขององค์ชายสำคัญกว่าเพคะ”
องค์หญิงจินเหยาจิ้มหัวของนาง “มีแค่เจ้าที่กล้าบอกว่างานที่ฝ่าบาทรับสั่งไม่สำคัญกระมัง”
“หม่อมฉันหมายถึง งานของฝ่าบาท มีองค์ชายอยู่ย่อมต้องราบรื่นมาก” เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม
องค์ชายสามยิ้ม พยักหน้า “ข้ารู้ เจ้าวางใจ”
ทางพวกเขากำลังสนทนากัน ทางแขกที่มาเข้าเฝ้านั้นพูดจบลงแล้ว พระสนมเสียนไม่ได้รั้งให้พวกเขาอยู่ พวกเขาจึงถอยออกไป เมื่อเห็นเฉินตันจูนั่งอยู่ท่ามกลางราชวงศ์ อีกทั้งยังมีองค์ชายสามและองค์หญิงจินเหยาพูดคุยด้วย ภายในใจทั้งอิจฉาทั้งตกตะลึงทั้งโกรธแค้น…
เฉินตันจูเป็นที่โปรดปรานยิ่งนัก ไม่มีผู้ใดทำอันใดนางได้แล้ว!
ภายในตำหนักต่างสนทนากันอย่างสนุกสนาน แต่สายตามักมองมาทางเฉินตันจูเป็นครั้งครา องค์ชายสี่และองค์ชายห้ากระซิบกัน “หรือไม่ พวกเราเข้าไปทำความรู้จักเฉินตันจูนี้”
องค์ชายห้าก็ลังเลเล็กน้อย เขาย่อมไม่อยากไปมาหาสู่กับเฉินตันจู แต่จากสถานการณ์ในเวลานี้คลุมเครืออย่างมาก หญิงสาวผู้นี้อาจก่อเรื่องใดขึ้นอีก หากไม่เป็นผลดีต่อองค์รัชทายาทคงไม่ดีนัก…
เขายังไม่ทันได้ตัดสินใจ มีคนเดินเข้าไปก่อนแล้ว
“เฉินตันจู” โจวเสวียนเบียดเข้ามา พูดด้วยคิ้วขมวด “ท่านไม่รู้มารยาทเสียจริง พระสนมเสียนรั้งให้ท่านอยู่ตามมารยาท ท่านยังนั่งลงจริง ดูบริเวณนี้มีผู้ใดที่ฐานะเหมือนท่านบ้าง”
องค์หญิงจินเหยายกมือตีเขาหนึ่งที “แต่เจ้ายังบังคับให้คุณหนูตันจูมา?”
โจวเสวียนพูด “ข้าให้นางมาดูจวนใหม่ ระลึกถึงความทรงจำในอดีต ไม่ได้ให้นางมาดูคน” พูดพลางเชิดคางขึ้น “เฉินตันจู รีบออกไปดูจวนเถิด”
เฉินตันจูไม่กลัวเขา “จวนจะงามเท่าคนได้อย่างไร” พูดจบยังมองไปยังองค์ชายสาม
องค์ชายสามหัวเราะขึ้นอีกครั้ง
โจวเสวียนขุ่นเคืองเหมือนต้องการพูดบางสิ่ง พระสนมเสียนจับตามองทางนี้ตลอดเวลา รู้ว่าหากโจวเสวียนและเฉินตันจูยืนอยู่ด้วยกันย่อมไม่สงบ จึงรีบพูดขึ้น “เอาเถิด คนมาเกือบทั้งหมดแล้ว ทุกคนต่างออกไปเล่นข้างนอกเถิด อยู่ภายในโถงอึดอัดไม่สนุก อย่าได้ทรยศต่อการเตรียมการของท่านโหวโจว”
พูดพลางลุกขึ้นยืน
“ข้าออกไปดูเสียหน่อย หลายปีนี้ไม่ได้สนุกเช่นนี้มานานแล้ว”
เสียงหัวเราะของทุกคนภายในห้องโถงดังขึ้น พวกเขาคำนับพระสนมเสียน ก่อนจะเชิญพระสนมเสียนเสด็จก่อน
พระสนมเสียนเดินออกไปแล้ว คนอื่นต่างรีบเดินตาม ภายในโถงโกลาหลเล็กน้อย
เฉินตันจูเดิมทีไม่รีบออกไป แต่คนเบียดคน คนผลักคน ทำให้ต้องเดินตามออกไปด้านนอกอย่างจำใจ นางเอื้อมมือลงไปจับมือของหลิวเวย แต่สิ่งที่สัมผัสได้เป็นมือใหญ่ข้างหนึ่ง ผิวพรรณละเอียดอ่อน แต่ข้อกระดูกใหญ่…
ไม่ใช่มือของหญิงสาว
นางตกใจ รีบหันกลับไปดู เห็นองค์ชายสามกำลังมองนาง อาจเพราะถูกจับมืออย่างกะทันหัน สีหน้าตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นนางมองมา ภายในดวงตาของเขาปรากฏรอยยิ้ม มือใหญ่จับมือของเฉินตันจูเอาไว้เบาๆ
ใบหน้าของเฉินตันจูแดงก่ำ ดุจดั่งไฟเผา
ถ้าสะบัดออก จะเสียมารยาทมากหรือไม่…
ถ้าจับอยู่เช่นนี้ คงจะเสียมารยาทมากเช่นกันใช่หรือไม่…
คนรอบตัวหลั่งไหล ทั้งสองคนถูกผลักให้เดินไปด้านหน้า แขนเสื้อใหญ่คล้อยลง ปกคลุมมือที่จับกันไว้ จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น