หยางเฟิงเฝ้ารอหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงมาหลายเดือน ดังนั้นหลังจากที่สนทนากับอีกฝ่ายไปคร่าวๆ แล้ว หยางเฟิงก็รีบเปิดอีเมลทันที
“ติ๊ง”
การแจ้งเตือนอีเมลดังขึ้น ฉู่ขวงส่งนิยายมาแล้ว และในตอนนั้นหยางเฟิงก็เห็นชื่อเรื่องของนิยายเรื่องนี้
“คนขุดสุสาน?”
ชื่อเรื่องแปลกประหลาดมาก
ให้ความรู้สึกชวนขนหัวลุก
หนังสือในครั้งนี้เป็นประเภทไหนกันนะ
หยางเฟิงกำลังจะพิมพ์ถามฉู่ขวงถึงหมวดหมู่ของหนังสือใหม่เรื่องนี้ ปรากฏว่ายังไม่ทันพิมพ์เสร็จ อีกฝั่งก็ออฟไลน์ไปแล้ว
นั่นทำให้หยางเฟิงผู้ซึ่งมีประสบการณ์โชกโชนในการสนทนากับฉู่ขวงเข้าใจในทันที ว่าวันนี้อีกฝ่ายคงไม่สนใจตนเองแล้ว
ขณะเดียวกัน
ด้านข้างของหยางเฟิง เสียงของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งดังขึ้น “เสี่ยวหยาง เลิกงานแล้ว นายยังไม่กลับเหรอ”
“เลิกงานแล้ว?”
หยางเฟิงขมวดคิ้ว เขายังอยากอ่านคนขุดสุสาน หนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงนี่นา นับเป็นความตื่นเต้นของการตั้งหน้าตั้งตารอบางอย่าง
“อย่ามัวอิดออดน่า ไปเร็ว”
เพื่อนร่วมงานตบบ่าหยางเฟิง “วันนี้ฉันจะนั่งรถนาย รถฉันเสีย ส่งเข้าอู่ไปแล้ว รบกวนนายไปส่งฉันที่บ้านหน่อย”
“ไม่มีปัญหา”
หยางเฟิงมองเพื่อนร่วมงาน ยิ้มเอ่ย “ค่ารถหนึ่งร้อยหยวน เหล่าจางฉันคิดนายราคามิตรภาพ”
เหล่าจางกลอกตา “รถเถื่อนน่ะสิไม่ว่า”
หยางเฟิงหัวเราะ “ล้อเล่นน่า…แต่บ้านนายอยู่ไกลมาก ฉันไปส่งนายก่อนแล้วกัน ตอนแรกฉันว่าจะทำโอทีต่อ จะอ่านหนังสือน่ะ”
เหล่าจางถาม “หนังสืออะไร”
หยางเฟิงตอบ “คนขุดสุสาน”
เหล่าจางเลิกคิ้ว “นิยายเทพเซียนกำลังภายในอีกแล้วเหรอ หลังจากฉู่ขวงเขียนเรื่องกระบี่เทพสังหาร บุกเบิกแนวเทพเซียนกำลังภายในแล้ว ระยะนี้คนก็เขียนแนวเทพเซียนกำลังภายในมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีอีกหลายคนที่เขียนแล้วประสบความสำเร็จตามไปด้วย…”
เหล่าจางย่อมคิดว่าเรื่องคนขุดสุสานเป็นนิยายแนวเทพเซียนกำลังภายใน
นั่นก็เพราะคาดเดาจากคำว่า ‘สุสาน’ ในเรื่องคนขุดสุสาน
ชื่อเรื่องฟังดูลี้ลับชวนพิศวงเช่นนี้ โดยมากก็สามารถจินตนาการเชื่อมโยงไปถึงนิยายเทพเซียนกำลังภายใน
“ไม่ได้ตามกระแสหรอก”
หยางเฟิงชำเลืองมองเหล่าจาง “หนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง”
ถ้าคนอื่นเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายใน จะเรียกว่าตามกระแส แต่สำหรับฉู่ขวงแล้วไม่นับ
หยางเฟิงยังคิดว่าคนขุดสุสานเป็นนิยายเทพเซียนกำลังภายใน
เหล่าจางชะงักไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา กล่าวด้วยท่าทีตื่นเต้น “ที่แท้ก็เป็นหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง ใช้ได้เลย ลองฟังดู!”
คนของกองบรรณาธิการ ส่วนมากจะชื่นชอบผลงานของฉู่ขวง เหล่าจางเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ได้ งั้นเราเปิดฟังระหว่างขับรถก็แล้วกัน”
หยางเฟิงไม่ได้ปฏิเสธ ที่บอกว่า ‘ฟัง’ ก็หมายถึงฟังหนังสือเสียง
เนื่องจากบรรณาธิการต้องขับรถไปกลับจากที่ทำงาน ไม่มีเวลาอ่านหนังสือหรือดูโทรศัพท์ ฉะนั้นบางครั้งบางคราวก็จะฟังหนังสือเสียง
คลังหนังสือซิลเวอร์บลูได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับฟังหนังสือ ซึ่งนับว่าอัจฉริยะและสามารถปรับอารมณ์ตามบริบทให้ฟังดูเป็นธรรมชาติ
ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพจะสู้การใช้เสียงมนุษย์อ่านไม่ได้ แต่ยังดีกว่าการอ่านแบบแห้งเหี่ยวไร้อารมณ์เป็นไหนๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนก็ขึ้นไปนั่งบนรถ
ขณะเดียวกัน ฟังก์ชันเสียงอัจฉริยะก็เปิดใช้งาน
[การขุดสุสานไม่ใช่การทัศนาจรชมทิวทัศน์ ไม่ใช่การขับขานบทกวี แต่เป็นทักษะแขนงหนึ่ง ทักษะในการทำลาย เมื่อขุนนางสมัยโบราณสร้างสุสาน จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องไม่ให้สุสานของตระกูลตนถูกขุด ด้วยเหตุนี้จึงติดตั้งกลไกและอาวุธลับสารพัดชนิดไว้ในสุสาน ทั้งการซุ่มโจมตี กำแพงหิน ทรายดูด ศรอาบยาพิษ แมลงพิษ หรือแม้แต่หลุมกับดัก…]
รถสตาร์ตเครื่องแล้ว
แต่หยางเฟิงและเหล่าจางกลับอดหันไปมองหน้ากันไม่ได้
ทำไมเปิดเรื่องมาก็ขุดสุสานเลยล่ะ
หรือว่าจะไม่ใช่แนวเทพเซียนกำลังภายในจริงๆ?
ทั้งสองรู้สึกสับสน แต่ก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง จึงตัดสินใจฟังต่อไป
[คุณปู่ของผมชื่อว่าหูกั๋วหวา บรรพบุรุษของสกุลหูเป็นเจ้าของที่ดินผู้มีชื่อเสียงในละแวกใกล้เคียง ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์สุดได้กว้านซื้อเรือนกว่าสี่สิบห้องซึ่งเชื่อมต่อกันในเมือง ระหว่างนั้นก็เคยเป็นข้าราชการและพ่อค้าวาณิชมาก่อน…]
เมื่อฟังถึงตรงนี้ หยางเฟิงและเหล่าจางก็พอจะเข้าใจแล้ว
คนขุดสุสานไม่ใช่นิยายเทพเซียนกำลังภายในจริงๆ ด้วย
สไตล์ของคำบรรยายสมจริง ให้กลิ่นอายของยุคสมัย แถมเรื่องราวยังบรรยายโดยบุคคลที่หนึ่ง…
บุคคลที่หนึ่ง?
ทุกวันนี้ยังมีคนกล้าบรรยายเรื่องราวจากมุมมองของบุคคลที่หนึ่งด้วยหรือ
หยางเฟิงรู้สึกปวดหัวหนึบขึ้นมา
ฉู่ขวงก็ยังคงเป็นฉู่ขวงคนเดิม
เขาไม่มีทางวางไพ่ตามแบบแผนหรอก!
ต้องเข้าใจก่อนว่านักเขียนหลายคนเกลียดวิธีการบรรยายโดยมุมมองบุคคลที่หนึ่ง นักอ่านบางคนก็ถึงขั้นไม่ได้สนใจว่าคุณเขียนอะไร ทันทีที่เห็นมุมมองของบุคคลที่หนึ่ง ก็วางหนังสือเล่มนั้นลงอย่างไม่ลังเล
ง่ายๆ แบบนั้นเลย!
เหล่าจางกล่าวด้วยความลังเล “ฟังดูไม่ยักเหมือนนิยายแฟนตาซีเลย ไม่มีพลังพิเศษอะไร แต่ให้ความรู้สึกขลัง แถมนิยายยังคล้ายว่าจะเขียนเกี่ยวกับการขุดสุสานจริงๆ แฮะ?”
“ฟังต่อแล้วกัน”
หยางเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าเหยเก
แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าไว้ใจสักเท่าไหร่ แต่ในตอนที่เขาได้รับเรื่องกระบี่เทพสังหารมาเมื่อครั้งก่อน เขาก็รู้สึกว่าแนวเทพเซียนกำลังภายในไม่น่าไว้ใจเหมือนกัน
เมื่อมีประสบการณ์จากครั้งก่อนแล้ว ครั้งนี้หยางเฟิงจึงไม่กล้าด่วนตัดสิน
เหล่าจางพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร
ฟังไปเรื่อยๆ ทั้งสองเริ่มรู้สึกเพลิดเพลิน
[เพื่อที่จะรับมือกับคุณลุง หลังจากที่หูกั๋วหวากลับบ้าน ก็มุ่งหน้าไปหาช่างทำหุ่นกระดาษในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นช่างฝีมือทำกระดาษสำหรับเผาให้ผู้ล่วงลับ ช่างทำกระดาษคนนี้ฝีมือล้ำเลิศ เขาเย็บหุ่นกระดาษผู้หญิงแปะด้วยกระดาษขาวให้แก่หูกั๋วหวาตามต้องการ ทั้งยังวาดดวงตา จมูก และเสื้อผ้าด้วยสีน้ำ หากมองจากระยะไกล โอ้ ช่างเหมือนกับคนมีชีวิตจริงเสียนี่กระไร]
“เฮ้อ”
เหล่าจางรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
หยางเฟิงขนลุกซู่ สัมผัสได้ว่าคนกระดาษประเภทนี้ชวนสั่นประสาทเหลือเกิน
แต่ทั้งสองก็ยังสงสัยว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร
ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัด เสียงดังต่อไป
[ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน คุณลุงก็มาเยี่ยมหลานชายและหลานสะใภ้ถึงบ้าน ชั่วขณะนั้น ผ้าม่านในห้องด้านหลังถูกเปิดออก หญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เธอหน้าตาเกลี้ยงเกลา รูปหน้ากว้าง สะโพกผาย และปลายเท้าเรียวเล็ก หัวใจของหูกั๋วหวาเต้นโครมคราม โอ้โฮ นี่คือหุ่นกระดาษที่ฉันจ้างคนทำหรือนี่ มันมีชีวิตขึ้นมาได้อย่างไรกัน]
หยางเฟิงและเหล่าจางสะดุ้งโหยง
จะบอกว่าน่ากลัวก็ไม่เชิง แต่พวกเขารู้สึกว่าเรื่องทำนองนี้มักจะทำให้คนเรารู้สึกสมองชาหนึบ ใจสั่นกระสับกระส่าย เช่นเดียวกับตำนานผีสางนางไม้ที่ผู้เฒ่าในชนบทเล่าขานสืบต่อกัน
รู้สึกหลอนอย่างบอกไม่ถูก
ผู้คนในหนังสือก็รู้สึกเช่นเดียวกัน [หูกั๋วหวามองไปยังหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตน ในใจรู้สึกคลื่นเหียนประหนึ่งกินแมลงวันเข้าไป ปวดหัวตุบๆ ใบหน้าของหุ่นกระดาษขาวซีด ปราศจากสีเลือดฝาด สีชมพูระเรื่อบนดวงหน้าเกิดจากการแต่งแต้มด้วยสีชาด…]
มาถึงตอนนี้รถก็ติดพอดี
หยางเฟิงและเหล่าจางกลับไม่รีบร้อน เพียงแต่ฟังเรื่องคนขุดสุสานต่อไป
หุ่นกระดาษเป็นเพียงอารัมภบทของเรื่อง
…… หนังสือเสียงช่วงหลังเล่าถึงตอนจุดฝิ่นให้หนูสูบ ซึ่งเป็นตอนที่ทั้งแปลกประหลาดและขบขัน
ครึ่งแรกของตอนเมืองโบราณกลางทะเลทรายสิ้นสุดที่ป้อมปราการกองทัพใต้ดินในประตูลมทมิฬในหุบเขาคนป่า ที่สำคัญคือการวางกรอบและปูเรื่อง ไม่ได้เชื่อมโยงกับเส้นเรื่องหลักอย่างชัดเจนสักเท่าไหร่
ครึ่งแรกตั้งใจเขียนเล่าคติชนหรือนิทานพื้นบ้าน
และเมื่อถึงครึ่งหลัง ทีมนักโบราณคดีก็เข้าไปในทะเลทรายเพื่อค้นหาเมืองโบราณจิงเจวี๋ย สัมผัสกับองค์ประกอบทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
เรื่องราวของทะเลทรายภูมิภาคตะวันตก แม่น้ำนกยูง เขาศักดิ์สิทธิ์คู่ สามสิบหกรัฐ ศพสตรีโหลวหลาน และจิตรกรรมฝาผนังตุนหวงล้วนปรากฏแก่สายตา
รถติดเป็นเวลานานเหลือเกิน
เมื่อรถเคลื่อนตัวได้อีกครั้ง
ทั้งคำว่าจ้งจื่อเอย เต้าโต่วเอย ซยงซ่าเอย แถมยังมีมัวจินเซี่ยวเว่ย ล้วนแต่ได้รับการอธิบายโดยละเอียด
ขณะเดียวกันนั้นเอง
ความระทึกใจและความสยองขวัญหลังจากที่ดัดแปลงเรื่องราวก็มาเยือนแล้ว ระดับความสั่นประสาทได้เอาชนะหุ่นกระดาษตอนเปิดเรื่องไปแล้ว ถึงขั้นที่เมื่อรถมาจอดหน้าซอยปากทางเข้าบ้านของเหล่าจาง เหล่าจางก็รู้สึกเย็นหลังวาบ
“เสี่ยวหยาง…”
“มีอะไร”
“นายไปส่งฉันหน่อย…”
“ถึงบ้านนายแล้วไม่ใช่เหรอ”
“นายดูซอยนี้สิทั้งแคบทั้งมืด เหมือนทางเดินในสุสานไหมล่ะ ฉันจำได้ว่าตรงทางแยกอาจมีแมวป่า…”
“ฉันเปิดไฟสูงให้นายแล้วกัน…”
ขณะนั้นในใจของหยางเฟิงก็หวั่นผวาอยู่เช่นกัน
ขณะที่ขับรถ เขาฟังถึงตอนที่น่ากลัว จึงสติหลุดไปชั่วขณะอย่างห้ามไม่อยู่ เป็นเหล่าจางที่เตือนให้เขาเหยียบเบรกได้ทันท่วงที
“ก็ได้”
เหล่าจางลงจากรถด้วยความลังเล พึมพำเตือนหยางเฟิงให้ขับรถกลับอย่างระมัดระวัง และเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ส่งนิยายเรื่องนี้ให้ฉันหน่อย ฉันรู้กฎดี ไม่ทำรั่วไหลหรอก”
หยางเฟิงถามกลับไปอย่างทนไม่ไหว “กลัวขนาดนี้ยังจะอ่านอีก?”
เหล่าจางพึมพำ “หนังสือของฉู่ขวง บุกเบิกหมวดหมู่ใหม่อีกแล้ว ทั้งน่ากลัวทั้งสนุก…”
“ก็ได้”
หยางเฟิงยอมรับว่าเหล่าจางพูดถูก
เรื่องคนขุดสุสานไม่ใช่นิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในแม้แต่น้อย หากแต่เป็นนิยายแนวขุดสุสานซึ่งแปลกใหม่สุดขีด ขณะเดียวกันก็ตื่นเต้นเร้าอารมณ์และเขย่าขวัญสั่นประสาท
บรรยายโดยมุมมองบุคคลที่หนึ่ง?
เหมือนจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่นะ…
ตราบใดที่เนื้อเรื่องเยี่ยมยอด รูปแบบการเขียนนิยายก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ปัญหาที่หยางเฟิงกังวลในตอนนี้ก็คือ นิยายเรื่องคนขุดสุสานจะทำให้เด็กๆ หวาดกลัวกันหรือเปล่า?
…………………………………………..