“เขาบอกว่านี่เป็นปลาดาบตัวเดียว ใหญ่มากเลยใช่ไหมล่ะครับ”
อินซอบเอารูปอาหารที่ตัวเองกินให้ดูพลางเอ่ยถาม
“ครับ แล้วรสชาติใช้ได้ไหมครับ”
“ครับ แม่ชอบมากเลยล่ะครับ คุณป้าเองก็ชอบเหมือนกัน คุณพ่อกับคุณลุงดื่มเหล้าด้วยกันที่นี่เยอะมาก ผมก็เลยเป็นคนขับรถ”
ผู้ชายสองคนในรูปเมาเหล้าจนหน้าแดง และกำลังยิ้มอยู่
“ที่นี่คือจูซังจอลลี[1]ครับ หินที่นี่ถูกกัดเซาะจนเป็นรูปทรงหกเหลี่ยม ผมถ่ายมาเพราะรู้สึกประหลาดใจ…ไม่สนุกใช่ไหมครับ”
อินซอบหันไปมองอีอูยอนก่อนจะเอ่ยถาม อีอูยอนวางคางเกยไหล่ของอินซอบและตอบว่า “สนุกครับ”
คนทั้งคู่ได้มีเซ็กซ์กันอย่างเต็มที่บนเตียงของอินซอบ และหลังจากที่นอนแผ่จนถึงตอนเที่ยง พวกเขาก็เริ่มดูรูปที่อินซอบถ่ายที่เกาะเชจูด้วยกัน
“ไม่มีเรื่องตลกๆ บ้างเหรอครับ”
คำถามของอีอูยอนทำให้อินซอบครางรับในลำคอ และจมอยู่ในความคิด จากนั้นเขาก็ทำตาเป็นประกายและพยักหน้า
“พอดีเมืองที่แอรอนไปแลกเปลี่ยนอยู่ไม่ไกลกับมหาวิทยาลัยที่คุณยุนอารึมไปเรียน ผมก็เลยบอกคุณยุนอารึมว่าถ้ามีเรื่องที่ยากลำบากเกิดขึ้นในระหว่างที่ใช้ชีวิต ก็ให้ติดต่อไปขอความช่วยเหลือกับน้องชายผมได้เลย สองคนนั้นก็เลยได้นัดเจอและไปกินข้าวด้วยกันครับ”
“อ่าฮะ”
อีอูยอนแสดงปฏิกิริยาที่มากที่สุดที่จะสามารถแสดงให้ได้ ไม่รู้ว่าตลกอะไรขนาดนั้น อินซอบถึงได้หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวก่อนจะพูดต่อ
“แต่ดูเหมือนพอแอรอนเจอคุณยุนอารึมแล้วจะตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็นครับ เพราะแม้จะกลับหอพักไปแล้วก็ยังคิดถึงอยู่ตลอดเวลา วันรุ่งขึ้นเขาก็เลยไปหาเธออีกครั้งเพื่อขอคบครับ”
“แล้วก็คบกันเหรอครับ”
อีอูยอนคิดว่าหากสองบ้านได้รวมเป็นครอบครัวเดียวกันก็คงจะเป็นตอนจบที่เหมือนกับพรหมลิขิต และเอ่ยถาม
“เปล่าครับ คุณยุนอารึมเธอปฏิเสธครับ เธอบอกว่าไม่ใช่สเปค”
“ฮ่าๆๆ ตลกจริงด้วยครับ”
ข่าวที่ว่าคนที่ขัดหูขัดตาโดนทิ้งทำให้อีอูยอนระเบิดหัวเราะออกมา
“แล้วก็ดูเหมือนว่าแอรอนจะนั่งรถไฟไปเมืองที่คุณยุนอารึมอยู่ทุกอาทิตย์เลยครับ ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าเด็กนั่นจะชอบใครขนาดนั้น เพราะเขาไม่มีความสนใจเรื่องความรักมาก่อนเลย เป็นแค่เด็กที่ชอบคอมพิวเตอร์กับกลไกของมันเท่านั้นเอง น่าประหลาดใจจริงๆ เลยครับ”
“นั่นสินะครับ”
อีอูยอนก้มมองอินซอบที่พูดถึงเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นช้าไปของน้องชายพลางเอ่ยพึมพำ แก้มที่แดงระเรื่อเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาที่น่ารักราวกับจะมีความฉ่ำไหลออกมาเมื่อกัดเข้าไปหนึ่งคำ แม้จะรู้สึกเหมือนเห็นจนเบื่อแล้ว แต่ยิ่งมองกลับยิ่งสวย ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจจริงๆ
“เอ่อ”
อินซอบสังเกตอีอูยอนแล้วก็ลังเล อีอูยอนส่งสายตาราวกับจะบอกให้ลองพูดมา
“ผมซื้อของฝากกลับมาให้อย่างหนึ่งครับ”
“อะไรเหรอ”
อีอูยอนสงสัยว่าอีกฝ่ายใช้เงินซื้อของไร้ค่าที่ไหนมาอีก อินซอบรีบลุกไปรื้อกระเป๋า และเอากล่องมาให้
“เปิดได้ไหมครับ”
อีอูยอนเอ่ยถาม อินซอบพยักหน้าก่อนจะตอบว่า “ครับ”
ในกล่องมีก้อนหินเล็กๆ หนึ่งอันวางอยู่
“มันคือหินนำโชคครับ”
ตอนนั้นเองอีอูยอนถึงได้รู้ว่าตนเองกำลังถูกอินซอบแกล้ง ในอดีตเขาเคยพูดถึงเรื่องหินนำโชคที่ไม่มีอยู่จริงซ้ำๆ เพื่อแกล้งอินซอบ
“ผมจะรับของที่ล้ำค่านี้ไว้ได้ยังไงล่ะครับ”
“เพราะอย่างนั้นคราวนี้ห้ามทำหายนะครับ”
อินซอบพูดยิ้มๆ และนอนคว่ำหน้าลงบนเตียงอีกครั้ง
“จะดูรูปอื่นอีกไหมครับ”
อินซอบยื่นโทรศัพท์มือถือให้พลางเอ่ยถาม อีอูยอนฉวยโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือของอินซอบมาแทนคำตอบ และยกขึ้นมาถ่ายรูปเซลฟีของพวกเขาสองคน
เสียงดัง แชะ ทำให้อินซอบตกใจและแย่งโทรศัพท์มือถือกลับมา พวกเขาทั้งคู่อยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่าอยู่บนเตียง
อินซอบรีบลบรูป
“ลบทำไมล่ะครับ น่าเสียดายออก”
“ถ้าถ่ายรูปแบบนี้จะเป็นเรื่องใหญ่นะครับ”
“จะมีอะไรเป็นเรื่องใหญ่ล่ะ พวกเราไม่มีรูปคู่ดีๆ กันเลยสักใบ ต่อให้เป็นรูปแบบนี้ก็ต้องมีสิ”
ตอนที่พบว่าแมวทำให้กรอบรูปแตกเป็นเสี่ยงๆ อินซอบมีสีหน้าผิดหวังมาก พออีอูยอนบอกให้เอารูปใบอื่นมาใส่ในกรอบรูปอันใหม่ อินซอบก็บอกว่า “ไม่มีรูปที่เหมาะ” และยิ้มอย่างเจื่อนๆ ให้เท่านั้น
“…แต่รูปแบบนี้ไม่ได้ครับ”
อีอูยอนถูคางกับไหล่ของอินซอบ
“ต่อให้ถ่ายวิดีโอเซ็กซ์กับคุณ และเอาขึ้นฉายที่จอขนาดใหญ่ตรงจัตุรัสควังฮวามุน ผมก็ไม่สนใจหรอก”
อินซอบส่ายหน้า อีอูยอนแสดงความดื้อรั้น และใช้ฟันกัดไหล่ของอินซอบเบาๆ รอยฟันปรากฏบนผิวนุ่มๆ ทันที หลังจากที่ดูดเนื้อของอีกฝ่ายเข้าไปจนเต็มปาก เขาก็เริ่มขยับลิ้น อินซอบร้องครางพร้อมกับตัวสั่นน้อยๆ เสียงเบาๆ นั้นทำให้ส่วนนั้นของเขาแข็งตัวจนท้องน้อยตึง
อีอูยอนกอดอีกฝ่ายไว้ราวกับจะขึ้นคร่อมอินซอบ
“…จะทำอีกรอบเหรอครับ”
อินซอบเอ่ยถามด้วยแววตาตื่นกลัวเล็กน้อย อีอูยอนไม่ตอบอะไร และถูไถส่วนแข็งขืนของตัวเองกับร่องก้นของอินซอบอย่างช้าๆ ของเหลวที่ไหลซึมออกมาจากส่วนหัวที่เปียกชื้นทำให้ช่องทางอ่อนนุ่มของอินซอบเปียกแฉะ
ช่องทางที่โดนกัดและโลมเลียจนถึงขีดสุดขยายออกอย่างนุ่มนวลแม้จะไม่ได้ออกแรงมาก และในตอนที่อีอูยอนกำลังจะกระแทกเอวเข้าไป
“เหมียว”
เขาได้ยินเสียงร้องของแมวดังอยู่ที่นอกประตู ขณะที่อินซอบตกใจและกำลังจะลุกขึ้น อีอูยอนก็กดเอวของอีกฝ่ายให้นอนลงไปอีกครั้ง และเอาแก่นกายที่บวมเป่งของตัวเองไปแตะที่ช่องทางของอินซอบ
“เหมียว เหมียว เหมียววว”
แต่แมวก็ร้องอยู่นอกประตูอย่างต่อเนื่องโดยไม่ให้โอกาสเขาได้สอดใส่เข้าไป อินซอบที่นอนอยู่ใต้ร่างกายกำยำของอีอูยอนทำตัวไม่ถูก และเอาแต่มองไปที่ประตู อีอูยอนเดาะลิ้นเบาๆ ก่อนจะหลีกทางให้
“…ผมขอไปดูแป๊บหนึ่งนะครับ”
เขายังไม่ได้ทักทายกับแมวดีๆ เลยด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่ใช้เวลากับอีอูยอนทันทีที่กลับมาถึงบ้าน
“เชิญครับ”
อินซอบรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูในสภาพที่สวมแค่เสื้อยืดกับกางเกงใน
พอแมวที่ขดตัวรออยู่หน้าประตูเห็นอินซอบ มันก็ร้องเหมียวๆ และเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ อินซอบอุ้มแมวขึ้นมา
“ขอโทษนะ”
อินซอบเอ่ยขอโทษกับแมว
“รอนานเลยล่ะสิ ต่อไปฉันจะไม่ทิ้งนายไปไหนอีกแล้ว”
อินซอบกอดก้อนขนเล็กๆ ไว้ในอ้อมกอดของตัวเองอย่างหวงแหนและเอ่ยปลอบอย่างอ่อนโยน แมวส่งเสียงร้องในคอราวกับเพิ่งจะรู้สึกปลอดภัย และหลับตาลง อินซอบจึงใช้มือข้างหนึ่งลูบหัวของแมวไปเรื่อยๆ
การแสดงความรักที่ดูเหมือนจะไม่เสร็จเร็วๆ นี้ทำให้อีอูยอนค่อยๆ ลุกขึ้นมาใส่กางเกงชั้นใน
“ชอบมันมากขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
อินซอบยิ้มพร้อมกับพยักหน้า
“ผมเพิ่งจะเลี้ยงแมวเป็นครั้งแรก แต่มันน่ารักมากจริงๆ ครับ ถึงจะมีตอนที่งงๆ เพราะมันต่างกับหมาอยู่มากก็ตาม”
ดวงตาที่มองสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เต็มไปด้วยความรักที่อบอุ่น นี่เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เข้าใจ อีอูยอนทอดสายตามองอินซอบนิ่งๆ
“จอห์นอ่อนแออยู่แล้ว และอายุขัยของมันก็คงจะไม่ยาวไปมากกว่าแมวตัวอื่นๆ เพราะเคยบาดเจ็บหนักในตอนนั้นน่ะครับ”
อินซอบลูบขาของแมวที่มีรอยแผลเป็นยาวๆ อย่างระมัดระวัง
“เพราะฉะนั้นนายต้องอยู่กับฉันจนกว่าจะถึงตอนนั้นนะ”
ไม่มีทางที่ชเวอินซอบจะทิ้งแมวและจากไป เขาจะรักและทะนุถนอมมันจนกว่ามันจะตายอย่างแน่นอน
อีอูยอนลูบผมที่ยุ่งเหยิงของอินซอบก่อนจะเอ่ยถาม
“ขามันเป็นแบบนั้นได้ยังไงเหรอครับ”
เขาจำได้ว่าตอนนั้นเคยได้ยินผ่านๆ มาแล้ว แต่เขาไม่สนใจและลืมมันไป
“ลูกชายของเจ้าของบ้าน…ทำให้บาดเจ็บครับ”
อินซอบลูบขาของแมวพร้อมกับเอ่ยตอบ
“ไม่อยากแก้แค้นเหรอครับ”
“อยากครับ แต่…”
อินซอบถอนหายใจเบาๆ แม้เขาจะนึกวิธีแก้แค้นไว้มากมาย แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเลิกไปเพราะใจอ่อน
“ขาราคาห้าล้านวอนครับ”
“ครับ?”
อินซอบไม่เข้าใจและถามกลับ
“ห้าล้านต่อขาหนึ่งข้าง”
“…”
ใบหน้าของอินซอบที่เพิ่งจะเข้าใจคำพูดของอีอูยอนซีดเผือด
“ล้อเล่น”
อีอูยอนทำตาหยี แม้กระทั่งพระจันทร์เสี้ยวที่ลอยอยู่ในตอนกลางคืนยังไม่สามารถมีเส้นโค้งที่งดงามขนาดนั้นได้เลย
“สองข้างห้าล้าน ข้างเดียวสามล้านก็ได้”
“มะ ไม่ได้นะครับ”
อีอูยอนยืนกอดอกพร้อมกับยิ้ม
“ฮ่าฮ่า ผมจะแกล้งคุณบ่อยๆ เพราะคุณถูกหลอกอยู่เรื่อยนี่แหละครับ”
“…อย่าล้อเล่นแบบนั้นสิครับ”
อีอูยอนตอบว่า “เข้าใจแล้วครับ” และโอบกอดอินซอบเอาไว้ จากนั้นก็ยื่นหน้าไปจูบปากของอีกฝ่าย แมวหนีออกจากแขนของอินซอบและโดดลงพื้น แม้จะเดินเซและล้มลง แต่ก็กลับมายืนตามเดิม และรีบออกไปข้างนอก อีอูยอนมองแมวที่รับรู้สถานการณ์ได้เร็วและทำตายิ้ม คำพูดที่เขาพูดไปเมื่อสักครู่นี้เป็นการล้อเล่น เขาไม่ต้องการเงินสามล้านหรอก แค่ท่อนไม้สักท่อนก็เพียงพอแล้ว
อีอูยอนถอดเสื้อยืดตัวหลวมของอินซอบออก และใช้มือลูบรอยเลือดคั่งที่หลงเหลือบนผิวที่อ่อนนุ่ม ร่างกายของอีกฝ่ายสั่นเบาๆ ทุกครั้งที่มือใหญ่ๆ ของเขาเลื่อนผ่านผิว ดวงตาของอินซอบแดงก่ำในทันที
“…ผมขอยกเลิกคำที่พูดไปเมื่อกี้”
อีอูยอนกดจูบบนเปลือกตาของอินซอบและกระซิบราวกับโดนสะกด
“แม่งเอ๊ย คุณสวยมากๆ ผมจะไม่ให้ใครเห็นคุณเด็ดขาด”
ลมหายใจที่ขาดห้วงราวกับเป็นการถอนหายใจสัมผัสกับอินซอบ แล้วร่างของทั้งคู่ก็ล้มลงบนเตียงและพัวพันกันจนไม่รู้ว่าส่วนไหนเป็นของใครทันที
***
“เดี๋ยวครับคุณอินซอบ”
อีอูยอนเอ่ยเรียกอินซอบที่กำลังจะออกจากบ้านไว้
“ผมขอเวลาครู่หนึ่งได้ไหมครับ”
อินซอบมองนาฬิกา ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ประมาณหนึ่ง เพราะเขามักจะเตรียมตัวเสร็จเร็วกว่าเวลาเข้าเรียนอยู่เสมอ
“ครับ มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
ก่อนที่อีอูยอนจะทันได้ตอบคำถามของอินซอบ เขาก็ได้ยินเสียงรถจากด้านนอก
“ดูเหมือนจะมาถึงแล้ว ออกไปด้วยกันเลยสิครับ”
อีอูยอนลากอินซอบออกมานอกประตูหน้าบ้าน กรรมการผู้จัดการคิมลงมาจากรถพร้อมกับถือกล้องตัวใหญ่เอาไว้และขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“นี่ แก…”
กรรมการผู้จัดการคิมแข็งใจกลั้นคำพูดที่ไม่สามารถพ่นออกมาได้ไว้พร้อมกับกลืนน้ำลายลงไป จากนั้นก็เลื่อนแว่นกันแดดลงและพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“รักษาสัญญาด้วย โฆษณาหนึ่งชิ้น”
“เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ทำได้แค่มองคนทั้งคู่สลับกันไปมา
“พอดีวันนี้มีถ่ายนิตยสาร ผมก็เลยจะลองเทสต์กล้องหลังจากที่ไม่ทำมานานดูน่ะครับ จะได้ถ่ายด้วยความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ คุณช่วยดูอยู่ข้างๆ ได้ไหมครับ”
“ครับ! เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบตอบตกลงอย่างยินดี และถอยไปอยู่ข้างๆ สักสองถึงสามก้าว
“…ถ่ายแล้วนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น และยกกล้องขึ้นมาเริ่มถ่าย อีอูยอนที่อยู่ในชุดธรรมดาๆ อย่างเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนยืนยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ
“ดีครับ”
อินซอบตะโกนจากด้านข้าง
“เป็นธรรมชาติและดีมากครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมกดชัตเตอร์ต่ออีกหลายครั้งด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ที่สุดในโลก
“คุณอินซอบ”
อีอูยอนกระดิกมือไปทางอินซอบ
“มาทางนี้แป๊บหนึ่งสิครับ”
อินซอบรีบวิ่งไปอยู่ข้างตัวอีอูยอน จากนั้นอีอูยอนก็กอดไหล่อินซอบไว้
“ถ่ายด้วยกันครับ”
“ครับ?”
อินซอบตกใจและหมุนตัว
“เทสต์กล้องน่ะ มองตรงนั้นสิครับ”
อีอูยอนชี้ไปที่กล้องตัวใหญ่ที่ถูกถืออยู่ในมือของกรรมการผู้จัดการคิม
“ผมไม่ถ่ายได้ไหมครับ”
“ผมมีถ่ายกับนางแบบคนอื่นก็เลยต้องซ้อมน่ะครับ”
อีอูยอนส่งสายตาบอกเป็นนัยๆ ให้กรรมการผู้จัดการคิมรีบถ่าย
“งั้นผมจะถ่ายให้เอง คุณฝึกกับกรรมการผู้จะ…เฮือก!”
อินซอบถอยไปข้างหลัง และเผลอกดไปโดนปุ่มเปิดสปริงเกอร์ น้ำที่พุ่งออกมาพร้อมกับเสียงดัง แกร๊กแกร๊กแกร๊ก ทำให้คนทั้งคู่เปียกโชกโดยไม่มีเวลาให้รับมือ
กรรมการผู้จัดการคิมไม่พลาดโอกาส และรีบกดชัตเตอร์ เขามีความตั้งใจที่จะเก็บสภาพน่าเกลียดของอีอูยอนที่เปียกน้ำไว้เป็นข้อมูลเท่านั้น
ตอนนั้นเอง
“ฮ่าๆๆๆ”
อีอูยอนก็ระเบิดหัวเราะออกมา เขาเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า และไม่รู้ว่ามีความสุขอะไรขนาดนั้นถึงหยุดหัวเราะไม่ได้ เขาหัวเราะแบบนั้นต่ออีกสักพักราวกับเป็นเด็กหนุ่มที่แกล้งคนสำเร็จ แล้วในที่สุดอินซอบที่กำเสื้อเอาไว้ด้วยสีหน้ามึนงงก็หัวเราะออกมาด้วย
แชะ
เสียงเผลอกดชัตเตอร์ทำให้กรรมการผู้จัดการคิมชะงักนิ้ว
แกร๊กแกร๊กแกร๊ก
แล้วเสียงสปริงเกอร์หมุนไปมาก็ดังลั่นสวนที่เขียวชอุ่ม
เห็นได้ชัดว่าฤดูร้อนได้มาถึงแล้ว
***
หลังจากนั้นไม่กี่วันอินซอบก็เจอกล่องใบเล็กๆ วางอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ
“อะไรเนี่ย”
เขาเอียงคอและลองเปิดกล่องออกดู ภายในนั้นมีโน้ตกับกรอบรูปอันเล็กหนึ่งอันใส่อยู่
อินซอบกางกระดาษออก
[Keep a memory green (เก็บความทรงจำให้คงอยู่ตลอดไป)]
ข้อความถูกถ่ายทอดด้วยลายมือที่สวยงามของอีอูยอน ในกรอบรูปมีรูปภาพหนึ่งใบใส่เอาไว้ อีอูยอนในรูปยิ้มอย่างไร้เดียงสาราวกับเป็นเด็กหนุ่มทั้งๆ ที่ตัวเปียกโชก ส่วนตัวเขาก็มองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
อย่าลืมนะครับ จดจำเอาไว้
ข้อความของอีอูยอนทำให้ความทรงจำในวันนั้นย้อนกลับมา
ทุกช่วงเวลาเหล่านั้น เขาไม่มีทางลืมมันได้ตลอดกาล
เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เขาได้เลือกด้วยความตั้งใจของตัวเอง ไม่ใช่การเลือกด้วยความประมาทโดยจงใจ
อินซอบวางกรอบรูปที่ได้รับจากอีอูยอนไว้กลางโต๊ะเขียนหนังสือ
[1] จูซังจอลลี คือ เป็นหน้าผาที่เกาะเชจู