ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – Side Story < Love Story > 1-1

Side Story < Love Story > 1-1

บางครั้งเขาก็มีวันแบบนี้

วันที่ไม่สามารถปกปิดรอยร้าวที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดไว้ได้เลย

และจุดเริ่มต้นก็เริ่มมาจากเรื่องที่เล็กน้อยเสียเหลือเกิน

ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นปากของไอ้คนที่นั่งข้างหน้าที่แกล้งทำตัวสนิทสนมกับเขาในเช้าวันนี้ หรือคนแก่ที่ค่อยๆ จูงหมาถึงห้าตัวผ่านหน้ารถเขาอย่างสง่าผ่าเผย หรือฟันที่เรียงไม่เป็นระเบียบของไอ้หมูตอนที่จงใจมากระแทกโดนตัวเขาอย่างแรงในระหว่างที่เล่นกีฬา

สิ่งต่างๆ ที่เขาไม่ได้ตั้งใจสังเกตในเวลาปกติแทรกผ่านรอยร้าวนั้นเข้าไป และสร้างความรำคาญให้แก่เขา และทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นเขาก็จะเกิดความต้องการอันแรงกล้าขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

เช่น ความต้องการที่อยากจะเอาปากกาที่กำอยู่แทงตาของไอ้คนที่นั่งข้างหน้า หรือเหยียบคันเร่งอย่างเต็มที่โดยไม่สนใจคนแก่ที่เดินราวกับเป็นหอยทาก หรือถอนฟันของไอ้คนที่มาชนเขาออกให้หมดปาก

แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในหน้าต่างตรงบริเวณทางเดิน ใบหน้านั้นปกติจนยากที่จะเชื่อว่าเป็นใบหน้าของคนที่จินตนาการถึงเรื่องที่น่ากลัวจนถึงเมื่อกี้นี้

ไม่สิ การใช้คำว่าปกติยังไม่พอด้วยซ้ำ ต้องเรียกว่ายอดเยี่ยมต่างหาก เขาโดดเด่นออกมาจากคนรุ่นเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด

เส้นผมสีดำที่ปกคลุมหน้าผากเล็กน้อยกับดวงตาสีดำนั้นให้ความรู้สึกพิเศษมากกว่าที่จะทำให้รู้สึกไม่เข้าพวก นอกจากจะเป็นควอร์เตอร์แบ็กในทีมฟุตบอลแล้ว เกรดของเขายังดีมากในระดับที่สามารถเลือกเข้ามหาวิทยาลัยไหนก็ได้ คนที่รู้ราคาของรถสปอร์ตที่เขาขับสามารถคาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าเขามีพ่อแม่ที่รวยขนาดไหน และเด็กนักเรียนหญิงทุกคนในโรงเรียนก็อยากจะคุยกับเขา

สายตาของผู้คนมักจะขยับตามทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน และแม้ว่าเด็กนักเรียนหญิงที่ยืนอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของทางเดินจะส่งสายตาทักทายมาให้ เขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้และเดินผ่านไป ปกติแล้วเขาจะยิ้มและแสร้งทำเป็นทักทาย แต่เขาไม่มีอารมณ์จะทำแบบนั้นเลย

เขาเหนื่อย เหนื่อยกับการยิ้มให้ การพูดคุยด้วย หรือแม้กระทั่งการแสร้งทำเป็นคนปกติ

เด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งโบกมือให้เขาจากทางด้านโน้นพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ เขาจึงเปลี่ยนทิศ และรีบเดินอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ของชมรมฟุตบอล เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดซ้อม ภายในห้องล็อกเกอร์จึงว่างเปล่า

เขาถอนหายใจและนั่งลงบนม้านั่ง

เขาทั้งไม่อยากอดทนกับช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่จะต้องแลกเปลี่ยนบทสนทนาที่ไร้ประโยชน์กับจิตแพทย์ และไม่อยากไปโรงพยาบาลเพื่อรับการประเมินว่ายาตัวไหนดีอีกต่อไปแล้ว เขาปวดหัวตุบๆ เขารู้ดีว่าต่อให้พยายามอย่างไร เขาก็ไม่สามารถปกปิดรอยร้าวที่แยกออกจากกันนั้นได้

และตอนนั้นเองความรู้สึกที่ดำมืดก็พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาก้มมองมือของตัวเองด้วยสีหน้าว่างเปล่า จากนั้นบานประตูล็อกเกอร์ที่อยู่ใกล้ๆ ส่งเสียงดังและบิดเบี้ยวราวกับเป็นกระดาษ เขาต่อยเพิ่มอีกหลายครั้ง จนเลือดที่ไหลออกมาจากหลังมือที่แตกกระเซ็นมาโดนหน้า

“ฮ่าฮ่า แม่งเอ๊ย”

เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเสยผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงขึ้นไป ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากที่ไหนสักที่ เป็นเสียงที่เล็กและเบาถึงขนาดที่อาจไม่ได้ยินหากไม่สนใจฟัง เสียงนั้นเหมือนกับเสียงคราง แต่ก็เหมือนกับเสียงร้องไห้ด้วย เขาเดินไปที่ล็อกเกอร์ที่ตั้งอยู่ตรงมุมที่ไม่มีใครใช้ และเปิดประตูออก

“…!”

เขารับอะไรบางอย่างที่ล้มลงมาต่อหน้าไว้โดยอัตโนมัติ อะไรบางอย่างนั้นคือมนุษย์ เป็นเด็กผู้หญิง ไม่สิ เป็นเด็กผู้ชายที่ผอมแห้ง เด็กชายที่ใส่กระโปรงสั้นของทีมเชียร์ลีดเดอร์และคาบที่อุดปาก[1]อยู่ในสภาพถูกมัดแขนและขา ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา

ไม่ต้องถามเขาก็รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถูกยัดเข้าไปในล็อกเกอร์ด้วยสภาพแบบนี้ ใบหน้าที่มีรอยกระ ดวงตากลมโตที่ดูประหม่า ขาแขนที่ผอมแห้งจนยากที่จะเชื่อว่าอายุเท่านี้แล้ว และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือความเป็นคนเอเชียที่มีดวงตาและเส้นผมสีดำ

การแบ่งแยกสิ่งที่อ่อนแอและแตกต่างจากตนออกไปเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ และสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เองก็ไม่ต่างกัน เขาก็แค่ประหลาดใจเล็กน้อยที่ยังมีพวกคนโง่ที่ดึงดูดความอยากแกล้งแบบนี้อยู่อีก

พอสบตากัน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตากลมโตของเด็กชายตรงหน้า ดวงตานั้นเหมือนกับดวงตาของลูกสัตว์ที่หวาดกลัว

เขาถอนหายใจเล็กน้อย และแก้เชือกที่มัดเด็กชายอยู่ออกให้ พอเขาแกะที่อุดปากที่คาบไว้ในปากออก เด็กชายก็กะพริบตาและเอ่ยปากพูดอย่างเป็นกังวล

“จะ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ว่าไงนะ”

“เลือด…”

สายตาของเด็กชายจ้องไปที่มือที่ยับเยินของเขา เขาแสร้งหัวเราะ

อยู่ในสภาพแบบนั้นแล้วยังคิดจะเป็นห่วงคนอื่นอีกเหรอ

เด็กชายทำตัวไม่ถูกด้วยรู้สึกถึงสายตาที่มองตนเอง จากนั้นก็พูดต่ออย่างอ้ำอึ้ง

“นะ นี่เป็นการแกล้งเล่นของเฟร็ด เพราะฉะนั้นผมไม่ได้ตั้งใจจะแต่งตัวแบบนี้…”

สายตาของเขามองไปที่ขาของเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มจึงยิ่งกระสับกระส่าย และพยายามดึงชายกระโปรงสั้นๆ ลงมา

“เหมาะดีนะ”

“หา?”

“ฉันบอกว่าเหมาะดี”

เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความคิดอะไรทำให้เขาพูดแบบนั้นออกไป

หากเป็นเวลาปกติเขาคงจะช่วยปลอบ หรือไม่ก็แกล้งพูดจาใจดีด้วย แต่ตอนนั้นเขาแค่อยากจะพูดออกไปตามที่อยากจะพูดเท่านั้น

“เอ่อ…ขะ ขอบคุณครับ”

“…”

มันโง่หรือเปล่า เขารู้สึกถึงความประหลาดใจที่เกินกว่าความมึนงงไปแล้ว

นิ้วเรียวเล็กของเด็กชายขยุ้มชายกระโปรงสลับกับคลายออก และยังคงทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกระโปรงสั้นๆ นั้นหรือเปล่า เขาถึงได้เอาแต่มองขาที่ผอมจนมีแต่กระดูกนั่น

เขาเดินไปเปิดประตูล็อกเกอร์ของตัวเอง และหยิบเสื้อผ้าโยนให้เด็กชายคนนั้นโดยไม่พูดอะไร เด็กชายรับเสื้อผ้าที่ได้มาอย่างไม่คาดคิดพร้อมกับทำตาโตและมองมาที่เขา

“ฉันบอกว่าเหมาะ แต่ไม่ได้บอกให้ออกไปสภาพนั้นนี่”

“…เอ่อ ครับ ขะ ขอบคุณ…”

เด็กชายที่รับชุดออกกำลังกายไปแล้วเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะแผ่วลงทุกที

เขาหยิบกระเป๋าที่โยนทิ้งไว้ตรงม้านั่งขึ้นมาอีกครั้ง เขากำลังรู้สึกเบื่อหน่ายกับการได้รับคำขอบคุณที่ตนไม่เข้าใจ

“เดี๋ยว”

เสียงที่เอ่ยรั้งเอาไว้เรียกให้เขาหันหน้ากลับไป

“ถ้าผมจะคืน…”

“ทิ้งไป”

เขาตอบสั้นๆ ไม่มีประโยชน์อะไรจากการได้รับการตอบแทนจากผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง และตอนนี้เขาก็ไม่มีความคิดที่จะพูดนั่นพูดนี่ไปตามมารยาทด้วย

“ตะ แต่มันน่าเสียดายที่จะทิ้งเสื้อผ้าใหม่ๆ…”

“งั้นก็ทำตามใจนายเลย”

แล้วเขาก็ออกจากห้องล็อกเกอร์มา

กลุ่มคนกลุ่มที่เขาเดินผ่านไปเมื่อกี้ยกมือให้จากที่ไกลๆ และเดินเข้ามาหา พอเขามองเห็นกางเกงในของไอ้โง่ที่ใส่กางเกงเอวต่ำสุดๆ ความหงุดหงิดก็พลุ่งพล่านขึ้นมา

“เฮ้ ฟิล พวกเราหานายกันอยู่ตั้งนานแหนะ จู่ๆ นายก็หายไป”

“เย็นนี้นายจะไปปาร์ตี้ที่เอลล่าจัดหรือเปล่า”

“ดูเหมือนคราวนี้ยัยนั่นจะเตรียมตัวอย่างหนักเลยนะ หล่อนเตรียมปาร์ตี้ทันทีที่ได้ยินว่านายเลิกกับเมแกนเลยไม่ใช่หรือไง ได้ข่าวว่าเฝ้ารอที่จะไปร่วมงานปาร์ตี้วันเกิดของนายในฐานะคู่ควงเลยนี่”

แล้วคนพวกนั้นก็หัวเราะกันลั่น

รองเท้ากีฬาที่สกปรก แขนอุ่นๆ ของผู้ชายที่โอบไหล่เขาโดยที่เขาไม่ยินยอม กลิ่นเหงื่อที่คลุ้งไปทั่วจากการไม่ยอมอาบน้ำหลังเล่นกีฬาเสร็จ

…แม่ง

“ก็ต้องไปอยู่แล้วใช่ไหม พวกผู้หญิงที่อยากนั่งรถเฟอร์รารี่ของนายวันนี้น่ะเริ่มต่อแถวกันแล้ว”

ความรู้สึกสีดำสนิทไหลทะลักออกมาจากรอยร้าวที่ไม่เคยปกปิดได้เลยสักครั้งตั้งแต่เกิดมา

“ใช่ ไว้เจอกัน”

เขายืนเด่นอยู่บนความรู้สึกสีดำสนิทนั้น และยิ้มอย่างนุ่มนวลที่สุด

***

‘ดีขึ้นมากเลยครับ ยาตัวใหม่คงช่วยได้ ถ้าปรับความเครียดได้สำเร็จ คงไม่มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงแล้วล่ะครับ’

ไอ้หมอหัวค*ย

พอนึกถึงหน้าของหมอแผนกจิตเวชที่วางท่าราวกับได้มองคนอย่างทะลุปรุโปร่งมาทั้งโลกแล้ว รอยยิ้มบิดเบี้ยวก็ติดอยู่ที่ริมฝีปากของฟิลลิป

คำพูดที่บอกว่ายาตัวใหม่มีประสิทธิภาพดีทำให้แม่สบายใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นกังวลด้วย ผู้หญิงคนนั้นมองเขาด้วยสายตารักใคร่เอ็นดูทันที จากนั้นก็พูดสิ่งที่ไม่ได้รู้สึกจริงๆ ออกมาว่า “ดีจริงๆ”

ฟิลลิปใช้มือกดขมับ เขารู้สึกปวดหัวจี๊ดๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลข้างเคียงของยาที่ได้รับมาใหม่ หรือเป็นเพราะอาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายวัน อาการปวดจึงไม่หายไปเลยสักนิด

เสียงแจ้งเตือนดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋า เอลล่านั่นเอง เธอส่งข้อความมาชวนไปกินมื้อเที่ยงด้วยกัน เพราะเด็กสาวที่นอนกับเขาไปแค่ครั้งเดียวและคิดว่านั่นเป็นความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม วันนี้ทั้งวันหน้าต่างข้อความจึงไม่หายไปจากโทรศัพท์มือถือของเขาเลย

ฟิลลิปปิดโทรศัพท์มือถือ

เขาไม่รู้สึกอยากจีบใครทั้งนั้น แต่อยากจะหลับตาลงและนอนเงียบๆ ดังนั้นเขาจึงจงใจเดินไปยังที่ดินว่างเปล่าที่อยู่ในซอกหลืบด้านหลังของตึกห้องสมุด เพราะเขาจำได้ว่าเด็กนักเรียนหญิงที่เขาเจอแค่ครั้งเดียวที่ห้องสมุดก่อนหน้านี้บอกว่าเป็นที่ที่ไม่มีใครรู้และพาเขาไป ถ้าคำพูดของผู้หญิงคนนั้นเป็นความจริง ตอนนี้คนที่รู้จักที่แห่งนั้นก็มีแค่เขาคนเดียว เพราะเธอเรียนจบไปเมื่อปีที่แล้ว

พอเขาเลี้ยวตรงหัวมุมตึกและเดินขึ้นไปสักพัก เขาก็เห็นม้านั่ง ม้านั่งที่วางอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้เก่ามากแล้ว และยังคงอยู่ในสภาพนั้นได้อย่างหวุดหวิด

มันมีขนาดที่พอที่จะมีเซ็กซ์ได้

ฟิลลิปหวนคิดถึงอดีตด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และนอนลงบนม้านั่ง

ฟิ้ว

เสียงลมในช่วงต้นฤดูร้อนที่พัดจนทำให้ต้นไม้พลิ้วไหวดังขึ้นพร้อมๆ กัน เขาหลับตาลง

เราจะอยู่แบบนี้นานแค่ไหนดีนะ แต่แล้วเขาก็ต้องลืมตาที่ปิดอยู่ขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงดังกรอบแกรบ เขามองเห็นรองเท้ากีฬาสีขาว พอค่อยๆ ไล่สายตาขึ้นไป เขาก็สบเข้ากับดวงตาที่เหมือนกับหวาดกลัว

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะปลุกนะ”

เด็กทึ่มที่เจอที่ห้องล็อกเกอร์เมื่อวานซืนนี่เอง

หากเป็นปกติเขาคงจะพูดอย่างนุ่มนวลว่า “ไม่ต้องใส่ใจหรอกครับ เพราะผมไม่ได้หลับ” แต่เนื่องจากความรู้สึกของเขาจมดิ่งไปแล้ว คำพูดที่อ่อนโยนเหล่านั้นจึงไม่หลุดออกมา พอคิดถึงผู้หญิงที่คุยโวว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ลับที่มีแค่ตนเท่านั้นที่รู้จัก เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

“ปกติแล้วไม่มีใครมาที่นี้ ผมเลยนึกว่าไม่มีคนอยู่ แต่พอมีคนอยู่ ผมก็เลยตกใจ…แล้วก็แค่จะมาดูว่าเป็นใครเฉยๆ…”

ตามที่เด็กชายพูด ดูเหมือนว่าคำพูดของผู้หญิงคนนั้นจะไม่ใช่เรื่องโกหก

“…ผมไปแล้วนะครับ”

พอไม่ได้รับคำตอบ เด็กชายที่ห่อเหี่ยวก็ทำคอตกและพูดให้จบ

“ไม่ต้องใส่ใจหรอก”

ฟิลลิปนอนลงอีกครั้ง

เขาคิดว่าคงจะกลับไปทั้งอย่างนั้น ทว่าเจ้าตัวกลับชะงักและนั่งลงตรงปลายม้านั่ง เนื่องจากมันมีขนาดใหญ่พอที่คนสองคนจะนอนมีเซ็กซ์กันได้ เด็กชายที่นั่งอยู่ตรงปลายม้านั่งจึงไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์เสียมากนัก

เขาได้ยินเสียงเปิดถุงกระดาษอย่างระมัดระวัง ฟิลลิปลืมตาที่ปิดอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง เด็กชายที่เพิ่งจะหยิบแซนด์วิชออกมาจึงตัวแข็งทื่อเหมือนสัตว์กินพืชที่โดนกระบอกปืนจ่อ

“กะ กินไหมครับ”

สัตว์กินพืชแบ่งอาหารของตัวเองออกเป็นสองส่วนและยื่นให้

ถ้าตอนนี้มีปืนอยู่ในมือ เราจะเหนี่ยวไกหรือเปล่านะ

ฟิลลิปจ้องเด็กชายนิ่งๆ

พอถูกฟิลลิปจ้องมอง เด็กชายก็พูดต่ออย่างตะกุกตะกักด้วยความตื่นตระหนก

“ยะ ยังไม่โดนปากครับ”

ฟิลลิปเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว

คิดว่าเขาอยากได้แซนด์วิชจริงๆ หรือไงถึงได้บอกว่ายังไม่โดนปาก

“เป็นไส้เจลลี่กับเนยถั่ว…”

อีกฝ่ายนิ่งไปแบบนั้น และเหมือนว่าจะร้องไห้อีกแล้ว ฟิลลิปรับแซนด์วิชมาโดยไม่พูดอะไร พอเห็นเด็กชายลอบสังเกตตน ฟิลลิปก็กัดแซนด์วิชเข้าปาก ตอนนั้นเองเด็กชายถึงได้เริ่มกินแซนด์วิชทีละนิด เหมือนกับสัตว์เล็กๆ ที่กินอาหารของตัวเองอย่างหวงแหน

“…ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”

เด็กชายมองเขาก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“อะไร”

“มือที่บาดเจ็บ…ตอนนั้น”

ฟิลลิปร้องอ๋อก่อนจะก้มมองมือของตัวเองที่ยังเหลือรอยแผลที่แตกอยู่ เป็นแผลที่พอแม่เห็นก็ตกใจกลัวและเอ่ยถามทันทีว่า “ไม่ได้ไปทำให้ใครเขาบาดเจ็บอีกใช่หรือเปล่า”

“ต้องทายานะครับ เพราะอาจจะเป็นรอยแผลเป็นได้”

เขาอยากจะถามเหลือเกินว่า “ไอ้ทึ่มที่ไม่เต็มอย่างแกมีสิทธิ์มาห่วงคนอื่นด้วยเหรอ”

“เกือบจำไม่ได้แหนะ”

“ครับ?”

“เพราะวันนี้ไม่ได้ใส่กระโปรง”

เขาตอบโต้อย่างหยอกเย้าแทน ใบหน้าของเด็กชายแดงซ่านในทันที

“ผะ ผมไม่ได้ใส่เพราะอยากใส่…แต่เฟร็ด…”

ท่าทีลุกลี้ลุกลนและแก้ตัวไม่หยุดให้กับคำพูดแซวเล่นที่พูดออกไปอย่างไม่คิดอะไรนั้นดูโง่จนน่าตกใจ

จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นหลังจากที่กินแซนด์วิชที่เหลือเข้าไปในคำเดียว

“…จะไปแล้วเหรอครับ”

“อืม”

“กลับดีๆ นะครับ”

พอเห็นว่าเด็กชายรีบลุกขึ้นมาร่ำลา ฟิลลิปก็ทำตายิ้ม เพราะแบบนี้ล่ะสิถึงได้โดนแกล้ง

เด็กชายเอ่ยเรียกฟิลลิปที่ปัดเสื้อผ้าและกำลังจะเดินไปไว้อย่างร้อนรน

“ดะ…เดี๋ยวครับ”

พอฟิลลิปหันกลับไปมอง เด็กชายก็เอ่ยถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหม่า

“พรุ่งนี้ผมมาที่นี่อีกได้ไหมครับ”

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ

ฟิลลิปยักไหล่ก่อนจะตอบว่า “ตามใจนายเลย” พอเขาทำแบบนั้น เด็กชายก็ยิ้มอย่างสดใสก่อนจะพูดต่อ

“ขอบคุณครับ”

พอเห็นดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ที่ไม่มีความชั่วร้ายอะไรอยู่เลยมองมาที่ตน ฟิลลิปก็คิด

ถ้ามีปืน เราคงได้ลั่นไกแน่ๆ

แล้วเขาก็เดินลงเนินไป

[1] ที่อุดปาก มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Ball Gag เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เล่น BDSM ประเภทหนึ่ง

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท