เจินเจี่ยเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด “ท่านแม่ ท่านกำลังยุ่งอยู่ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงไม่ได้รั้งนางไว้ ยิ้มแล้วเอ่ยถาม “ช่วงนี้เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่”
“ป้าสะใภ้สองกำลังทดสอบข้าอยู่เจ้าค่ะ”
“เรื่องที่จะไปงานเลี้ยงในฤดูใบไม้ผลิ เจ้าบอกท่านป้าสะใภ้สองแล้วหรือยัง ถึงตอนนั้นคงต้องหยุดทดสอบเอาไว้ก่อน”
สายตาของเจินเจี่ยเอ๋อร์มีความลังเล “ประเดี๋ยวจะไปบอกท่านป้าสะใภ้สองเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยความหวาดกลัว
สืออีเหนียงนึกถึงท่าทีที่เย็นชาของฮูหยินสอง จึงบอกเจินเจี่ยเอ๋อร์ “ไปบอกนางเร็วหน่อย หากนางรู้จากปากของคนอื่น นางจะไม่สบายใจเอาได้”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้าซ้ำๆ จากนั้นก็บอกลาสืออีเหนียง
สืออีเหนียงนำสินเดิมไปเก็บที่ห้องเก็บของกับหู่พั่ว
จู๋เซียงและเยี่ยนหรงกำลังพาสาวใช้สองสามคนเก็บของ เห็นพวกนางเดินเข้ามาก็รีบมาคำนับ
ในห้องเก็บของมีข้าวของเท่าไร ใครรับผิดชอบส่วนไหน ล้วนแต่บันทึกไว้หมดแล้ว
สืออีเหนียงเห็นว่าพวกนางจัดการได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยถามถึงอี๋เหนี๋ยงสองสามคน
“ฉินอี๋เหนี๋ยงบอกว่านางจะย้ายออกไปยามเหม่าของวันที่หกเจ้าค่ะ” หู่พั่วพูด “เหวินอี๋เหนี๋ยงบอกว่านางไม่มีข้าวของอะไร ว่างเมื่อไรแล้วจะย้ายเจ้าค่ะ แล้วยังถามว่าท่านต้องการให้ช่วยอะไรหรือไม่ ส่วนเฉียวอี๋เหนี๋ยงไม่ได้เสนออะไร แค่ถามว่าท่านจะให้นางย้ายออกไปเมื่อไร ยังบอกอีกด้วยว่าจะทำตามที่ท่านบอกทุกอย่างเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงแปลกใจ
ช่วงนี้เฉียวเหลียนฝังให้ความร่วมมือมากเกินไปแล้ว
เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่แปลกที่จะทำให้คนแปลกใจ
หวังว่าตัวเองคงจะคิดมากเกินไป!
สืออีเหนียงกลับไปที่เรือนกับหู่พั่ว
ระหว่างทางก็บอกนางว่า “เจ้าไปที่เรือนของฉินอี๋เหนี๋ยงด้วยตัวเอง บอกว่าให้นางย้ายออกไปยามเหม่า ตอนนั้นฟ้ากำลังสว่าง นางมีพระโพธิสัตว์กวนอิมอยู่ในเรือน ต้องพิถีพิถัน เจ้าพาฟังซีไปสอบถามให้ชัดเจน ถึงตอนนั้นจะได้ไม่วุ่นวาย”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป
ป้าตู้ของไท่ฮูหยินก็ได้มาเชิญสืออีเหนียงไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงเชื้อเชิญป้าตู้ให้นั่งรออยู่ที่ห้องข้างนอก ตัวเองเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับป้าตู้ทันที ระหว่างทางพูดคุยกับนางไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีแอบถามอะไรเลยแม้แต่น้อย
ป้าตู้อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ไท่ฮูหยินมีเรื่องจะปรึกษากับฮูหยินกระมัง”
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าป้าตู้หมายความว่าอะไร นางจึงเลือกคำตอบที่ปลอดภัยเอาไว้ก่อน ตอบกลับไปว่า “ท่านแม่เป็นผู้ใหญ่ ยังต้องปรึกษาอะไรข้าเล่า มีอะไรก็บอกข้าตรงๆ ก็ได้”
นี่เป็นความในใจของนาง ตนเป็นคนดูแลจวนหลังนี้ มีปัญหาอะไร แน่นอนว่าต้องให้ตนเป็นคนแก้ไข การเป็นคนดูแลจวนไม่ใช่เรื่องสบาย มีอำนาจมากก็มีภาระมาก
ป้าตู้แอบพยักหน้าในใจ นางไม่พูดอะไรต่อ เดินไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง
ฮูหยินห้าก็อยู่ที่นั่น กำลังพูดบางอย่างกับไท่ฮูหยิน เห็นสืออีเหนียงเข้ามานางก็หยุดพูดแล้วเดินเข้าไปคำนับสืออีเหนียง
ไท่ฮูหยินพูดกับฮูหยินห้า “เรื่องนี้ เจ้าตัดสินใจเองเถิด แต่ว่าไต้ซือจี้หนิงคนนั้นสนิทสนมกับสกุลหยาง เรื่องบางเรื่อง ควรเลี่ยงก็ต้องเลี่ยง”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ ย่อเข่าขอบพระคุณไท่ฮูหยิน ทักทายสืออีเหนียงสองสามประโยคจากนั้นก็ขอตัวออกไป
ไท่ฮูหยินชี้ไปที่นั่งตรงข้ามตัวเองแล้วบอกให้สืออีเหนียงนั่งลง จากนั้นก็พูดว่า “ตานหยางบอกว่าสองสามวันมานี้ซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ค่อยนอนตอนกลางคืน ไปขอกระดาษจากไต้ซือจี้หนิงมาเผาแล้วดีขึ้นไม่น้อย อยากให้ไต้ซือจี้หนิงเข้ามาทำพิธีที่จวนสักสองสามวัน ข้าตอบตกลงไปแล้ว”
ดูเหมือนว่า ทุกคนปิดบังไท่ฮูหยินเรื่องที่ซินเจี่ยเอ๋อร์ตกใจในวันนั้น
แต่ไท่ฮูหยินเรียกนางมาเพราะว่าเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ
สืออีเหนียงครุ่นคิดสักพัก ก่อนที่จะพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าจะทำพิธีกี่วันหรือเจ้าคะ ข้าคิดว่าโถงเตี่ยนชวนกว้างขวางดี แล้วยังมีห้องปีกที่สามารถให้อาจารย์ที่มาทำพิธีพักผ่อนได้ ท่านคิดว่าถึงตอนนั้นให้ไต้ซือจี้หนิงพักที่นั่นดีหรือไม่”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าซ้ำๆ “เจ้าคิดได้รอบคอบ ถึงตอนนั้นก็จัดการเช่นนี้เถิด”
ระหว่างที่พูดคุยกันก็มีสาวใช้ยกน้ำชาเข้ามา
ไท่ฮูหยินบอกให้นางลองชิม “ชาใหม่ของปีนี้”
สืออีเหนียงยกชาขึ้นมาจิบ
ชาสีเขียวมรกต มีกลิ่นหอมที่โดดเด่น เป็นชาซีหูหลงจิ่งชั้นดีของสมัยก่อนราชวงศ์หมิง
“ชาชั้นดีเจ้าค่ะ” นางยิ้ม “มีกลิ่นหอม สดชื่นอย่างธรรมชาติ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม พูดกับป้าตู้ “ประเดี๋ยวฮูหยินสี่กลับไป บอกให้สาวใช้นำชาพวกนี้กลับไปด้วย”
“ได้เช่นไรกันเจ้าคะ” สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็รีบพูด “ท่านให้ข้าลองชิมก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าอายุเยอะแล้ว สู้หนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าไม่ได้” ไท่ฮูหยินบอกให้ป้าตู้ไปหยิบชามา “ข้าดื่มช้าสมัยหลังราชวงศ์หมิงดีกว่า”
ชาสมัยก่อนราชวงศ์หมิงมีรสชาติเข้มข้น ส่วนชาสมัยหลังราชวงศ์หมิงนั้นรสชาติอ่อนกว่า ชาสมัยก่อนราชวงศ์หมิงไม่เหมาะสำหรับคนที่มีอายุมากแล้วจริงๆ ไท่ฮูหยินพูดมีเหตุผล แต่สืออีเหนียงก็บอกว่า “ท่านเก็บไว้ต้อนรับแขกเถิดเจ้าค่ะ แล้วยังมีพี่สะใภ้สองและน้องสะใภ้ห้า ถึงตอนนั้นข้าช่วยท่านส่งไปให้พวงนางดีหรือไม่เจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็บอกว่า “ดี” จากนั้นก็บอกป้าตู้ “เหลือไว้ต้อนรับแขกนิดหน่อยก็พอ”
ป้าตู้ตอบรับแล้วเดินออกไป ไท่ฮูหยินก็พูดเรื่องอื่นกับสืออีเหนียง
“ได้ยินมาว่าเรือนเจ้ายังไม่ได้กำหนดป้ารับใช้หรือ”
เรือนของสืออีเหนียงไม่เพียงแต่ยังไม่ได้กำหนดท่านป้าผู้ดูแล แม้แต่ตำแหน่งที่ว่างหลังจากที่กานเหล่าเฉวียนออกไปแล้วก็ยังไม่มีคนมาแทน ตอนนี้ให้คนที่ติดตามมากับกานเหล่าเฉวียนเป็นคนดูแลชั่วคราวไปก่อน
“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นเจ้าค่ะ” นางพูด “คนในเรือนข้าก็ไม่ค่อยสนิทสนม ตอนนี้จึงยังตัดสินใจไม่ได้ กำลังอยากให้ท่านแม่ช่วยออกความคิดเห็นอยู่พอดีเลยเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ไม่เกรงใจ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ที่ข้าเรียกเจ้ามา เพราะว่าข้าอยากจะแนะนำคนคนหนึ่งให้เจ้ารู้จัก”
“ท่านแม่รีบพูดเถิดเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเชื่อมั่นในสายตาของไท่ฮูหยิน
“สะใภ้ซ่งไหม่ปั้นลานข้างนอก”
ซ่งไหม่ปั้นที่ช่วยหยวนเหนียงไปเอาแป้งกงเฝิ่นของกรมราชกิจภายใน?
สืออีเหนียงแปลกใจ
ไท่ฮูหยินพูดว่า “จวนของเรามีกฎเกณฑ์ ท่านป้าลานข้างนอกจะมาเป็นท่านป้าผู้ดูแลในเรือนของฮูหยินไม่ได้ แต่ว่าสะใภ้ซ่งไหม่ปั้นคนนี้ เดิมที่เป็นบุตรสาวคนเดียวของพ่อบ้านใหญ่สมัยที่พ่อสามีของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ฉลาดและมีไหวพริบตั้งแต่เด็ก เคยเป็นสาวใช้ที่เรือนของข้า ต่อมารับซ่งไหม่ปั้นมาทำงานที่จวน นางจึงพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ข้าคิดดูแล้ว นางคือคนที่เหมาะสมที่สุด”
ในเมื่อไท่ฮูหยินเป็นคนแนะนำให้นาง แน่นอนว่าไท่ฮูหยินคิดดีแล้ว นางต้องเป็นคนที่มีความสามารถ แต่ว่ากฎเกณฑ์ของจวนนั้น…
นางจึงพูดอย่างอ้อมๆ “ขอบพระคุณที่ท่านแม่ที่แนะนำข้าเจ้าค่ะ แต่ซ่งไหม่ปั้นเป็นคนของลานนอก หากทำให้เรื่องของท่านโหวล่าช้าเพราะว่าข้า ข้าคงจะไม่สบายใจ”
“กฎเกณฑ์เป็นของตาย แต่คนเป็นของเป็น” ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “เจ้าคิดว่าดีก็พอแล้ว เรื่องนี้ข้าจะพูดกับคุณชายสี่เอง”
คำพูดของไท่ฮูหยินสมเหตุสมผล
นางจึงไม่พูดเรื่องนี้อีก กลัวไท่ฮูหยินจะคิดว่านางไม่พอใจคนที่ไท่ฮูหยินแนะนำให้
ไท่ฮูหยินถามถึงเรื่องย้ายเรือนของนาง
“หู่พั่วและลี่ว์อวิ๋นรับผิดชอบข้าวของในเรือนข้า จู๋เซียงและเยี่ยนหรงรับผิดชอบข้าวของในห้องเก็บของ ฟังซีและซิ่วหลานรับผิดชอบฉินอี๋เหนี๋ยงและเหวินอี๋เหนี๋ยง มีแค่เฉียวอี๋เหนี๋ยงที่พึ่งจะอยู่เดือนเสร็จ ข้าให้หงซิ่วช่วยนางย้ายเรือนเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเล่าเรื่องลำดับการย้ายเรือน เวลาและเส้นทางของแต่ละเรือนให้ไท่ฮูหยินฟังอย่างละเอียด
ไท่ฮูหยินเห็นว่านางจัดการทุกอย่างได้อย่างเป็นระเบียบก็พอใจไม่น้อย ยิ้มอย่างชื่นมื่นแล้วบอกนาง “…รีบไปจัดการเถิด”
สืออีเหนียงรีบตอบรับ “เจ้าค่ะ” พูดคุยกับไท่ฮูหยินสองสามประโยคจากนั้นก็ขอตัวกลับ
ถึงตอนเย็นสวีลิ่งอี๋กลับมา นางชงชาหลงจิ่งที่ไท่ฮูหยินให้มา “เรียกข้าไปถามเรื่องท่านป้าผู้ดูแลในเรือน เลยมอบใบชาให้ข้า ท่านโหวลองชิมดูสิเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋หยิบชาขึ้นมาจิบ “ไม่เลว ชาซีหูหลงจิ่งชั้นดี รสชาติกลมกล่อม มีกลิ่นหอม” จากนั้นก็พูดเรื่องนี้กับนางอย่างเป็นธรรมชาติ “ท่านแม่เรียกข้าไปตอนบ่าย ข้าก็คิดว่าไม่เลว เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้เถิด”
สืออีเหนียงพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “คนที่ท่านแม่แนะนำ ท่านโหวก็คิดว่าดี ต้องไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ แต่ข้ากลัวว่าจะไม่ทำตามกฎเกณฑ์ของจวน…”
หากคนอื่นเจอสถานการณ์แหกกฎเกณฑ์เช่นนี้คงจะดีใจไม่น้อย แต่สวีลิ่งอี๋กลับเห็นสืออีเหนียงขมวดคิ้ว ทำสีหน้ากังวลและท่าทีเหมือนมีเรื่องในใจ…เขาจึงบีบจมูกของนางเบาๆ แล้วหยอกล้อว่า “ข้ากับท่านแม่ล้วนแต่แหกกฎเพื่อเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ดีใจ”
ทันทีที่พูดจบ พวกเขาสองคนก็ตกใจ
คนหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองพูดจาเหลวไหล อีกคนหนึ่งรู้สึกว่าผลที่ตามมาต้องร้ายแรงแน่นอน
คนแรกพลันรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนหลังรีบพูดว่า “หากไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ก็ไม่สามารถทำอะไรลุล่วงสำเร็จได้ หากแหกกฎเพราะว่าเรื่องของข้า มันคือน้ำใจของท่านโหวและท่านแม่ แต่หากคนที่เป็นคนดูแลจวนอย่างข้ายอมรับมันง่ายดายเช่นนี้ ต่อไปทุกคนคงจะลอกเลียนแบบ และหาข้ออ้างมาแหกกฎตาม” นางพูดอย่างอ่อนโยนแต่มีความแน่วแน่ “ท่านโหว ป้าซ่งเป็นคนที่ท่านและท่านแม่ถูกใจ ข้าเองก็อยากให้นางมาทำงานในเรือนของข้า แต่ท่านคิดว่าพอจะมีวิธีอื่นหรือไม่เจ้าคะ”
“จะว่าไปแล้ว ซ่งไหม่ปั้นทำงานอยู่ที่ห้องทำงานมานานกว่าสิบปีแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าเห็นว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์ และร้านค้าที่หนานจิงก็ขาดเถ้าแก่รองพอดี ข้าคิดว่า ไม่สู้ให้เขาไปฝึกฝนที่นั่น เช่นนี้ ภรรยาของเขาก็จะสามารถมาทำงานที่เรือนของเจ้าได้ แล้วอีกอย่าง คนที่สามารถออกไปเป็นเถ้าแก่ ก็ถือว่าเป็นหน้าเป็นตา อีกทั้งยังสามารถเป็นหน้าเป็นตาให้พ่อตาที่ตายไปแล้วของเขาอีกด้วย”
“เป็นความคิดที่ดีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก พูดถึงคนที่จะมาแทนที่ซ่งไหม่ปั้น “…หยางฮุยจู่คนของพี่หญิงใหญ่ ข้าเคยให้เขาช่วยซื้อของ ข้าเห็นว่าเขามีความสามารถ หากท่านโหวยังไม่มีใคร ไม่สู้พิจารณาเขาดูเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ตกใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงไม่เคยถามถึงเรื่องของลานข้างนอก และก็ไม่เคยแนะนำใครให้เขามาก่อน
“ช่วยไม่ได้เจ้าค่ะ” เขาเห็นภรรยาของตัวเองถอนหายใจ “หว่านเซียงคนนั้น อันธพาลแล้วยังลักขโมย ข้าคิดว่าไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย” จากนั้นสืออีเหนียงก็ไล่กานเหล่าเฉวียนออกไป ตัวเองให้คนที่ติดตามกานเหล่าเฉวียนมาดูแลแทนกานเหล่าเฉวียนชั่วคราว หว่านเซียงไม่เพียงแต่ไม่สนใจใคร แล้วยังยุ่งกับเรื่องของโรงครัวทำให้ผู้คนลำบากใจ “…เดิมทีนางเป็นคนดูแลโรงครัว หลังจากกานเหล่าเฉวียนออกไป เพราะว่าพึ่งจะรับช่วงต่อ สถานการณ์ไม่ชัดเจน ข้าจึงไม่เปลี่ยนคนทันที จึงต้องให้นางเป็นคนดูแลชั่วคราว ถึงแม้ว่านางจะไม่พอใจ แต่ว่านี่คือความต้องการของข้า เช่นนี้ ไม่ควรเก็บนางไว้ เกรงว่าคงต้องเชือดไก่ให้ลิงดูเสียบ้างแล้ว แต่ก็กลัวว่าจะทำให้คนที่ติดตามพี่หญิงใหญ่มาเสียใจ หากสามารถยืมมือใครสักคนจัดการได้ ข้าก็จะมีความมั่นใจมากกว่านี้เจ้าค่ะ”
“ได้สิ” สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “เช่นนั้นก็ให้หยางฮุยจู่มา วันมะรืนให้ไปเจอกับพ่อบ้านไป๋” แต่กลับไม่ได้พูดถึงตำแหน่งที่ว่างของซ่งไหม่ปั้นว่ามีคนมาแทนที่หรือไม่