“สวัสดีครับ”
เด็กชายที่วันนี้ก็ปรากฏตัวพร้อมกับถุงอาหารกลางวันในเวลาเดิมเอ่ยทักทายเขาอย่างระมัดระวัง ฟิลลิปใช้สายตาทักทายและเอนตัวไปด้านหลังอีกครั้ง
คำพูดของผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คำโกหกทั้งหมด เพราะแม้เขาจะมานอนกลางวันที่นี่อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครโผล่มาเลยนอกจากไอ้ทึ่มที่ค่อนข้างใสซื่อนั่น
เด็กชายนั่งลงตรงปลายม้านั่งและเปิดถุงออก
“กินไหมครับ”
วันนี้เด็กชายก็แบ่งอาหารของตัวเองออกเป็นสองส่วนและยื่นให้อย่างไม่ลังเลเช่นเคย จากนั้นก็เริ่มอธิบายเมนูอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“นี่เรียกว่าต็อกครับ เป็นอาหารเกาหลี แม้ว่าอาจจะรู้สึกแปลกๆ ในตอนที่กินครั้งแรก แต่ถ้าได้ลองกินแล้ว…”
“ฉันรู้จัก แล้วก็เคยกินด้วย”
คำพูดที่บอกว่าเคยกินทำให้ใบหน้าของเด็กชายสดใส ฟิลลิปรับต็อกที่ถูกกระดาษสีขาวห่อเอาไว้อย่างดีมา
“พอดีเมื่อวานเป็นวันเกิดของน้อง แม่ก็เลยทำน่ะครับ แม่มีเชื้อสายเกาหลีก็เลยทำเค้กกับต็อกให้ในวันเกิด แม่บอกว่าต็อกเป็นเค้กแบบดั้งเดิมของเกาหลีครับ”
เด็กชายเล่าเรื่องที่เขาไม่ได้สงสัยเลยออกมาอย่างรอบคอบ
นี่เป็นอาหารที่เขาจำได้ว่าเคยกินอยู่สองสามครั้งตอนที่ไปเกาหลีตอนเด็กๆ เพราะฟิลลิปเองก็เป็นคนเกาหลีเหมือนกัน พอเป็นอาหารที่เติมคำว่าดั้งเดิมเข้าไปแล้ว ไม่มีอันไหนดีสักอัน
พอฟิลลิปเริ่มกินต็อกด้วยสีหน้าไร้ความประทับใจ เด็กชายก็รีบหยิบน้ำในถุงมายื่นให้
“ถ้ากินรวดเดียวจะติดคอ…”
ฟิลลิปรับน้ำมาโดยไม่ปฏิเสธ อาจเป็นเพราะสถานการณ์ตอนที่เจอกันครั้งแรกเป็นแบบนั้น เขาจึงคิดว่าต่อให้ไม่แสร้งยิ้มต่อหน้าเด็กชายก็คงไม่เป็นไร
พอเขากินต็อกจนหมดและดื่มน้ำตามลงไป เด็กชายก็มองฟิลลิปอย่างประหม่า
“อร่อย”
“…ขอบคุณครับ”
ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ของที่ตัวเองทำ แต่เด็กชายก็ยังรู้สึกดีใจกับคำพูดนั้นจริงๆ
อีกฝ่ายหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าและเริ่มอ่าน หากกินอาหารเสร็จแล้วเด็กชายจะไม่พูดอะไรอีกราวกับว่าทำเรื่องที่ตัวเองต้องทำเสร็จหมดแล้ว ฟิลลิปเอนตัวพิงพนักพิงของม้านั่งและหลับตาลง มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษเท่านั้นที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราว ช่างเป็นช่วงบ่ายที่ผ่อนคลาย
ฟิลลิปลืมตาขึ้นในสภาพที่ยังเอาหัวพิงกับพนักพิงของม้านั่งอยู่ เด็กชายกำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ
หนังสือเป็นสิ่งที่วาดความรู้สึกของมนุษย์ออกมาได้อย่างสวยงามที่สุด จากนั้นงานอดิเรกของฟิลลิปผู้ซึ่งได้รู้ความจริงข้อนั้นตั้งแต่เนิ่นๆ ก็กลายเป็นการอ่านหนังสือ สำหรับเขาที่ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกได้อย่างปกติต่างจากคนอื่นๆ ไม่มีครูคนไหนดีเท่ากับหนังสืออีกแล้ว ถ้าอยากสร้างความรู้สึกขึ้นมาให้สวยงามและลอกเลียนแบบออกมาได้ก็ต้องมีเป้าหมายในการลอกเลียนแบบเสียก่อน
พอเห็นเด็กชายที่ทำตาเป็นประกายและอ่านหนังสือด้วยสีหน้าที่ตั้งใจสุดๆ เขาก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาว่ามันสนุกขนาดนั้นเลยเหรอ
“สนุกไหม”
“หา? อ๋อ ครับ”
เด็กชายปิดหนังสือก่อนจะพยักหน้า
“เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรล่ะ”
นี่เป็นความอยากรู้อยากเห็นที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย มันบางเบาถึงขนาดที่กระทบเข้ากับหินที่วางอยู่ที่ปลายเท้าได้หากเวลาผ่านไป
“ในวันหนึ่งตัวเอกได้…”
คำพูดของเขาทำให้เด็กชายที่เอาแต่อ่านหนังสือโดยไม่พูดอะไรทำตาเป็นประกายและเริ่มอธิบาย นี่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา
“ดังนั้นเขากับเพื่อนที่ในดาวเคราะห์ที่เจอกันที่นั่นจึง…”
เด็กชายพูดถึงตรงนั้นก็หน้าแดงและกะพริบตาเหมือนเพิ่งได้สติ
“…ขอโทษครับ ไม่สนุกใช่ไหมครับ”
“เปล่า”
ว่ากันตามตรงคือมันโคตรจะไม่สนุก แต่เขาประหลาดใจกับความจริงที่ว่าคนเราสามารถหมกมุ่นกับอะไรบางอย่างได้ถึงขนาดนั้นมากกว่า
“ดูเหมือนจะสนุก?”
ฟิลลิปตอบแบบนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างนุ่มนวลเป็นพิเศษ เด็กชายลังเลและยื่นหนังสือของตัวเองให้อย่างระมัดระวัง
“งั้นผมให้ยืมดีไหมครับ”
“เอาไว้ก่อน”
ฟิลลิปลุกขึ้น นี่เป็นเวลาที่เขาจะต้องเข้าเรียนคาบบ่ายแล้ว
“งั้น…”
เด็กชายอ้ำอึ้งก่อนจะเอ่ยว่า “ไว้เจอกันใหม่ครับ”
พวกเรามีความสัมพันธ์ที่เอ่ยร่ำลากันแบบนั้นได้เหรอ
แม้จะคิดแบบนั้น แต่เพราะรำคาญที่จะตอบ ฟิลลิปจึงส่ายหน้าและเดินลงเนินไป
***
“เอ่อ…”
เสียงที่เคยได้ยินที่ไหนสักที่ทำให้ฟิลลิปปิดประตูล็อกเกอร์ แล้วเขาก็เห็นใบหน้าของเด็กชายที่ยืนอยู่หลังบานประตู
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เด็กชายก้าวพ้นออกมาจากม้านั่งบนเนิน และพูดคุยกับตนในโรงเรียนก่อน ฟิลลิปก้มมองเด็กชายนิ่งๆ พอไม่ได้รับแม้กระทั่งคำทักทายทั่วๆ ไป อีกฝ่ายก็พูดตะกุกตะกักเหมือนกับประหม่า
“มะ เมื่อวานผมรอ แต่คุณไม่ได้มา คะ คือหนังสือเล่มนั้นไม่ได้ตีพิมพ์แล้ว แต่ผมเจอเล่มสองที่ร้านหนังสือเก่าโดยบังเอิญ…”
เด็กชายหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋า
“หนังสืออะไร”
คำถามของฟิลลิปทำให้เด็กชายตื่นตระหนกยิ่งขึ้นและทำตัวไม่ถูก ตอนนั้นเองแขนใหญ่ๆ ที่ยื่นมาใกล้จากทางด้านหลังก็ขยี้หัวของเด็กชายจนยุ่ง
“โอ๊ะโอ นายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ กระต่ายน้อยปีเตอร์”
เป็นเฟร็ดที่อยู่ในทีมฟุตบอลเหมือนกันนั่นเอง เขาจับหัวเด็กชายโยกไปมาอยู่หลายครั้ง มันไม่ใช่ทั้งการแสดงความสนิทสนม และการทักทาย แต่เป็นแค่การแหย่เล่นตามอำเภอใจโดยไม่ได้คำนึงถึงอีกฝ่าย
ร่างกายผอมแห้งของเด็กชายเซไปด้านข้าง ด้วยเหตุนั้นหนังสือที่เด็กชายถืออยู่ในมือจึงหล่นลงบนพื้น
“ฟิล เห็นว่าโค้ชบอกให้นายไปหาเขามั้ง”
เฟร็ดเห็นฟิลลิปและพูดด้วย
“งั้นเหรอ ขอบใจนะที่มาบอก”
“ฟิลลิป เดี๋ยวเราจะไปที่บ้านของเฮลีย์กัน นายจะมาไหม”
คนเข้ามารุมล้อมฟิลลิปทันที เด็กชายหลบเท้าของคนที่เข้ามาล้อม และเดินไปเก็บหนังสือที่กระจายอยู่ทั่ว
“กี่โมงล่ะ”
“ประมาณหนึ่งทุ่มมั้ง”
“ถ้ามีเวลาจะไป”
“ได้ข่าวว่าญาติของเฮลีย์มาด้วยนะ คนที่ไปเรียนที่ฝรั่งเศสน่ะ”
“เคยเห็นรูปของเธอไหม สุดยอดเลยล่ะ”
“ช่วยเอาเท้า…”
เด็กชายพยายามจะดึงหนังสือที่โดนเหยียบอยู่ออก และพูดอย่างระมัดระวัง
“หา? อะไรเนี่ย ยังอยู่ตรงนี้อีกเหรอ”
เฟร็ดที่ก้มมองเด็กชายด้วยหางตาและเอ่ยกระแนะกระแหนราวกับไม่เห็นอีกฝ่าย
“…หลบหน่อย”
แม้เด็กชายจะพยายามแย่งสมุดคือ แต่เฟร็ดกลับยืนจิกเท้าอยู่อย่างนั้น
“หนังสืออะไร”
“ไม่รู้สิ ฉันจะไปรู้จักหนังสือที่พวกเนิร์ดอ่านเหรอ”
พวกของเฟร็ดหัวเราะ ใบหน้าของเด็กชายแดงก่ำในทันที
“แล้วไอ้นี่คืออะไร”
เฟร็ดแย่งถุงสีน้ำตาลที่อยู่ในมือเด็กชายมา จากนั้นก็ดึงของที่อยู่ข้างในออกมาโบก
“เอาคืนมานะ”
“ทำไมต้องกอดไอ้ของที่เหมือนกับอึแพะแบบนี้อย่างทะนุถนอมแล้วเดินไปไหนมาไหนด้วย”
“ไม่ใช่นะ นี่เป็นอาหารที่แม่ทำเพราะเป็นวันเกิดของน้องต่างหาก”
“ที่เกาหลีคงจะกินอึแพะกันในวันเกิดใช่ไหม เป็นแบบนั้นเพราะกำลังอยู่ในช่วงสงครามหรือเปล่า”
สิ่งที่เฟร็ดถืออยู่ในมือไม่ใช่อึแพะ แต่เป็นต็อกถั่วแดง แล้วสงครามเกาหลีก็พักสงครามชั่วคราวมาเกือบจะครึ่งศตวรรษแล้ว แต่ฟิลลิปกลับไม่พร้อมที่จะอธิบายเรื่องแบบนั้นให้กับพวกโง่ที่แม้กระทั่งสมองก็น่าจะถูกทำมาจากกล้าม
“เอาคืนมา”
เด็กชายพูดด้วยแววตาที่เหมือนจะร้องไห้ในไม่ช้า เฟร็ดหัวเราะคิกคักราวกับสนุกขึ้นไปอีก
“ถ้านายร้อง แบะ ฉันจะคืนให้ ลองร้องเหมือนแพะดูสิ”
“ไอ้บ้าเฟร็ด”
“ใครเขาจะอยากได้ยินเสียงแพะกัน ไอ้บ้าเอ๊ย”
เพื่อนๆ ของเขาเองก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่ห้ามปราบมากนักราวกับนี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แม้เด็กชายจะยืดแขนออกจนสุด และพยายามแย่งถุงที่อยู่ในมือของเฟร็ดกลับไป แต่ก็เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ เพราะความต่างของส่วนสูง เฟร็ดชูถุงขึ้นสุดแขนและหัวเราะคิกคัก
ตอนนั้นเองฟิลลิปก็ได้สบตากับเด็กชาย ฟิลลิปอ่านความรู้สึกของคนอื่นได้ยาก เพราะสิ่งที่ขาดไปตั้งแต่เกิด เขาทั้งไม่รู้สึกและไม่เข้าใจความรู้สึกที่หากเป็นคนทั่วไปก็คงจะต้องรู้สึกอย่างแน่นอน ในตอนที่รู้ว่าตัวเองผิดปกติ เขาก็เฝ้าสังเกตคนอื่นและลอกเลียนแบบ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงมีความสามารถในการอ่านความรู้สึกของอีกฝ่ายจากการเปลี่ยนแปลงสีหน้าเพียงเล็กน้อยได้ในบางครั้ง
คาดหวัง
ตอนนี้เด็กชายกำลังคาดหวังในตัวเขาอยู่ เนื่องจากเขาเคยช่วยอีกฝ่ายไว้ครั้งหนึ่ง คราวนี้อีกฝ่ายเลยเชื่อว่าเขาจะต้องยื่นมือเข้าไปช่วย
แต่สำหรับฟิลลิปแล้ว เขาไม่ได้มีทั้งหน้าที่และไม่มีความจำเป็นต้องตอบสนองความคาดหวังนั้น เขาแค่ยืนกอดอกและยิ้มให้อย่างบิดเบี้ยว
ต้องโง่แค่ไหนถึงได้คาดหวังความกรุณาแบบนั้นจากคนอื่น
ในระหว่างที่ฟิลลิปยิ้มและก้มมองเด็กชาย คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เฟร็ดก็แกล้งเอาตัวไปกระแทก ด้วยเหตุนั้นเฟร็ดที่หัวเราะคิกคักอยู่จึงปล่อยถุงลง และหนึ่งในกลุ่มเพื่อนก็ไม่ทันเห็น และใช้เท้าเหยียบลงไป
ต็อกที่ถูกเหยียบถูกกดลงอย่างแรงเหมือนอึอย่างที่พูด เด็กชายเก็บต็อกที่ติดอยู่บนพื้นใส่ถุงอีกครั้ง
“ฉะ ไม่ได้ตั้งใจ…”
เฟร็ดเองก็เกาหัวด้วยตกใจนิดหน่อย น้ำตาเม็ดโตหยดลงบนหลังมือของเด็กชาย
“ร้องไห้ให้ของแบบนั้นทำไมกัน เดี๋ยวฉันซื้อแซนด์วิชให้ก็จบแล้วไม่ใช่หรือไง ทิ้งอึแบบนั้น…”
เฟร็ดกำลังจะพยุงเด็กชายให้ลุกขึ้น แต่อีกฝ่ายกลับปัดมือของเขาออกและยืนขึ้นเอง ในระหว่างนั้นน้ำตาของเขาก็ไหลไม่หยุดจนทำให้เสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่ใส่อยู่เปียก
มันเป็นภาพที่น่าสนใจ
พอเด็กชายที่ดูธรรมดาร้องไห้ออกมา ใบหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างประหลาด ปลายจมูกกับบริเวณตาที่แดง น้ำตารูปร่างสมบูรณ์แบบที่ไหลลงมา และขนตาที่เปียกชื้นดึงดูดสายตาของคน
เขาคิดว่าเด็กชายคนนั้นร้องไห้ได้สวยพอสมควร
แต่อายุเท่านี้แล้วยังร้องไห้กับเรื่องแบบนั้นได้อีกเหรอ
“เฟร็ด ทำให้ร้องไห้อีกแล้วเหรอ”
“ถ้าชอบขนาดนั้นพวกนายสองคนก็มีอะไรกันไปเลยไหม”
“เหี้ยเอ๊ย พูดจาน่าสะอิดสะเอียดอะไรของนายเนี่ย คิดว่าฉันเป็นบ้าเหรอ”
เฟร็ดทำหน้าเครียดพร้อมกับโมโห มองอย่างไรก็เห็นว่าเป็นท่าทีของเด็กนิสัยไม่ดีที่แสดงความสนใจของตนออกมาอย่างบิดๆ เบี้ยวๆ ชัดๆ
“ว่าแต่พวกนายสองคนรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน”
เฮนรี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เฟร็ดมองฟิลลิปและเอ่ยถามราวกับคาดไม่ถึง เขาคิดว่าไม่มีทางที่คนสองคนที่อยู่กันคนละชั้นปีจะสนิทกันโดยไม่มีความสัมพันธ์ที่พิเศษในระหว่างภาคเรียน
“ฉันเหรอ”
ฟิลลิปชี้ที่ตัวเองก่อนจะเอ่ยถาม
“พวกนายสองคนกำลังคุยกันไม่ใช่เหรอ”
เขาสบตากับเด็กชาย ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ฟิลลิปมองดวงตาคู่นั้นก่อนจะเหยียดยิ้ม แล้วยักไหล่
“ฉันไม่รู้จักชื่อเขาด้วยซ้ำ”
เขาไม่ได้โกหก เขาเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกวันนี้เองว่าเด็กคนนั้นชื่อปีเตอร์
เด็กชายหน้าแดงทันที จากนั้นเขาก็เช็ดน้ำตา และรีบออกไปจากตรงนั้นราวกับหนี เฟร็ดไม่พอใจราวกับสุนัขที่ทำอาหารหลุดมือไป และใช้สายตาไล่มองตามหลังเด็กชายที่หนีไปแบบนั้น
“ว่าแต่ผู้หญิงฝรั่งเศสเขาชอบอะไรเหรอ พูดเรื่องชีสได้ไหม”
“ชวนคุยเรื่องชีสแล้วจะได้เรื่องอะไรล่ะ ไอ้โง่เอ๊ย”
บทสนทนาถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องญาติของเฮลีย์ที่มาจากฝรั่งเศสอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ฟิลลิปหยิบหนังสือที่ตกอยู่ตรงมุมขึ้นมา เป็นหนึ่งในหนังสือที่เด็กชายบอกว่าจะให้ยืม
เขานึกถึงเด็กชายที่หยิบหนังสือออกมาราวกับเต็มไปด้วยความคาดหวัง และนึกไปถึงภาพที่อีกฝ่ายน้ำตาไหลแหมะๆ เมื่อไม่มีใครเข้าข้างตัวเอง
“อะไรน่ะ”
“ไม่มีอะไร”
ฟิลลิปัดฝุ่นที่เปื้อนหนังสือออกก่อนจะเอ่ยตอบ
ใครใช้ให้ล้ำเส้นมาล่ะ
เขาเหยียดยิ้มพร้อมกับเก็บหนังสือใส่กระเป๋า