แกรบ! เสียงใบไม้ถูกเหยียบจนแตกทำให้เด็กชายที่กำลังจะเอาแซนด์วิชเข้าปากตัวแข็งทื่อ
“หวัดดี”
พอฟิลลิปเอ่ยทักทายอย่างยินดี เด็กชายก็เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงประหม่าว่า “สวัสดีครับ”
“นั่งได้ไหม”
“ครับ ชะ เชิญนั่งเลยครับ”
เด็กชายรีบเก็บแซนด์วิชใส่ถุง ฟิลลิปนั่งลงข้างๆ และหยิบหนังสือออกจากกระเป๋ามาให้ยื่นให้
“นี่”
มันคือหนังสือที่เด็กชายไม่ได้เก็บไปและทิ้งเอาไว้ในตอนนั้น อีกฝ่ายรับหนังสือไป แล้วความเงียบที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดใจก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เด็กชายลูบหนังสือก่อนจะเอ่ยปากอย่างยากลำบากว่า “เอ่อ”
“…ขอโทษครับ”
“อะไรนะ”
ฟิลลิปไม่เชื่อหูตัวเอง เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องโกรธหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้จักตัวเองแน่ๆ เพราะเขาเมินเฉยต่อความคาดหวังของอีกฝ่าย ความจริงแล้วเขาไม่สนใจหรอกว่าจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไร
สำหรับเขาแล้วบุคคลอื่นเป็นเพียงเป้าหมายที่เขาใช้สังเกตเท่านั้นเอง เขาจำเป็นต้องสังเกตอย่างละเอียด เพื่อที่จะได้ตอบโต้และพูดไปตามสถานการณ์
“ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าจะมา…”
แต่นี่เป็นประเภทที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก มีความรู้สึกที่จะขอโทษในสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไงเนี่ย
“ผมนึกว่าจะไม่มาก็เลยไม่ได้เหลือไว้ให้…”
เด็กชายก้มมองแซนด์วิชเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่พร้อมกับทำตัวไม่ถูก ฟิลลิปมองเด็กชายอย่างมึนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะที่ดังกังวานทำให้ใบไม้สั่นไหว เด็กชายทำสีหน้ารู้สึกผิดจากใจจริง
“พรุ่งนี้ผมจะห่อมาให้เยอะขึ้นครับ อ้อ ถ้าพรุ่งนี้คุณไม่มา วันต่อไป…ไม่สิ ถ้าคุณบอกว่าจะมาวันไหน วันนั้นผมจะ…”
เป็นไอ้ทึ่มที่จินตนาการไปไกลสินะ
ฟิลลิปจ้องมองเด็กชายนิ่งๆ ก่อนจะตอบว่า “อืม” พร้อมกับยิ้มให้ ดวงตาที่ยิ้มของตนสวยและงดงามมาก นี่เป็นเรื่องที่เขาจะต้องขอบคุณพ่อแม่ที่มอบหน้าตาที่สามารถปกปิดจิตใจที่เละเทะไม่มีชิ้นดีของตนได้มาให้
“แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงต่อเหรอ”
“ครับ?”
“ก็จู่ๆ ตัวเองก็ทรยศประเทศ และลาออกจากสมาคมนี่”
“อ่านเรื่องนี้ด้วยเหรอครับ”
เด็กชายชูหนังสือที่อยู่ในมือก่อนจะเอ่ยถาม
“อืม ได้ยินว่าสนุกน่ะ”
นี่ไม่ใช่คำโกหกทั้งหมด เพราะอย่างน้อยมันก็สนุกจนทำให้เขาสงสัยในเนื้อหาตอนต่อไป
“นั่นเป็นส่วนที่จะต้องอ่านเล่มหนึ่งก่อนถึงจะเข้าใจครับ เพราะเริ่มอ่านจากเล่มสอง ก็เลย…”
“งั้นเหรอ”
“ผมคืนเล่มหนึ่งให้ห้องสมุดไปแล้ว คงต้องไปยืมใหม่อีกครั้ง…”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ไม่เป็นไร”
ฟิลลิปนอนลงบนม้านั่ง เมื่อวานเขาก็นอนหลับๆ ตื่นๆ ในขณะที่หลับตา เขาคิดว่าถ้าสามารถนอนหลับได้เพิ่มขึ้นอีกสักนิดก็คงจะดี
“…งั้นผมอธิบายเนื้อหาในเล่มหนึ่งให้ฟังสั้นๆ ไหมครับ”
ฟิลลิปลืมตาที่ปิดอยู่ขึ้น ดวงตาที่ทั้งอ่อนโยน และกลมโตกำลังมองตัวเองอยู่ เป็นดวงตาที่ใสซื่อจนต่อให้ถูกปืนเล็งเข้าที่หน้าผากก็ไม่สงสัยอะไรเลย
“ตามใจเลย”
เด็กชายจึงเริ่มอธิบายเรื่องย่อของนิยาย ฟิลลิปหลับตาลงอีกครั้ง ลมเย็นๆ ที่พัดลงมาในป่าพัดผ่านแก้ม เสียงพูดเบาๆ ก็ดังอย่างต่อเนื่อง
และตนไม่ได้รู้สึกอารมณ์เสียมากนัก
***
“ผลงานชิ้นใหม่ของนักเขียนที่คุณอ่านตอนนั้นครับ”
เด็กชายหยิบหนังสือออกจากกระเป๋ามายื่นให้ ฟิลลิปพูดว่า “ขอบใจ” แล้วก็รับหนังสือมา อีกฝ่ายจึงยิ้มร่าและหันหน้าไปราวกับเขินอาย
หลังจากวันนั้นฟิลลิปก็ยืมหนังสือจากเด็กชายบ่อยๆ รสนิยมในการอ่านหนังสือของอีกฝ่ายไม่ได้แย่ และถ้าฟิลลิปแสดงความคิดเห็นง่ายๆ ให้ฟังหลังจากที่อ่านเสร็จ เด็กชายก็จะทำตาเป็นประกายและพยักหน้า
บางครั้งเขาก็เจอเด็กชายที่โรงเรียน แต่อีกฝ่ายกลับไม่ทำเป็นรู้จักหรือพูดคุยด้วยเหมือนก่อนหน้านี้ และเดินผ่านฟิลลิปไปเฉยๆ จุดที่ทั้งคู่จะมาบรรจบกันมีแค่ที่ม้านั่งบนเนินเท่านั้น
“นี่”
เด็กชายยื่นถุงสีน้ำตาลให้ อาหารวันนี้เป็นเครปไส้มะเขือเทศ ผักกาด และชีส
“ขอบคุณสำหรับอาหารนะ”
เด็กชายบอกว่า “ด้วยความยินดี” พร้อมกับหัวเราะเบาๆ เขาเห็นฟันซี่เล็กๆ ผ่านริมฝีปากที่กำลังหัวเราะนั้น
แม้จะพิจารณาจากจุดที่เป็นคนเอเชียแล้ว แต่ใบหน้าของเด็กชายก็ยังดูเด็กมากอยู่ดี อีกฝ่ายดูไร้เดียงสาจนปลุกความโหดร้ายทารุณที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตใจมนุษย์ขึ้นมา
หรือไอ้หมูตอนนั่นจะเกาะติดเด็กนี่เพราะแบบนี้?
ฟิลลิปกัดเครปเข้าไปคำโตก่อนจะกางหนังสือออก ตอนที่พลิกหนังสือไปได้สองสามหน้า เขาก็รู้สึกถึงสายตาที่มองมา แต่พอเขาหันหน้าไป เด็กชายก็รีบหันหน้าหนี พอฟิลลิปมองเหมือนสงสัย อีกฝ่ายจึงเริ่มพูดราวกับจะแก้ตัว
“ผะ ผมอ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างสนุกเลยครับ…เพราะมันสนุกมาก ผมก็เลย…”
เด็กชายหน้าแดงกว่าปกติในตอนที่ยื่นหนังสือที่เจ้าตัวชอบมาให้ และหวังให้อีกฝ่ายชอบในสิ่งที่ตัวเองชอบเช่นกัน นี่เป็นจิตใจที่ไม่ซับซ้อนราวกับเด็กเล็กๆ
“สนุกนะ”
แม้เขาจะอ่านไปแค่ไม่กี่หน้า แต่หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงความฉลาดและความสามารถในการเล่าเรื่องของคนเขียน
“หนังสือเล่มก่อนของนักเขียนคนนี้ก็สนุกเหมือนกัน แต่เห็นว่านิยายคราวนี้ดีมากเลยล่ะครับ แล้วภาพยนตร์ที่สร้างมาจากผลงานในครั้งนี้ก็ฉายรอบแรกแล้วด้วย”
เด็กชายพูดพล่ามไปเรื่อย แม้จะเป็นเรื่องที่โคตรจะไม่น่าสนใจ แต่ฟิลลิปก็ตอบรับไปว่า “งั้นเหรอ?”
“เห็นว่าตัวภาพยนตร์เองก็ทำออกมาได้ดีจริงๆ แล้วเรตติ้งก็ดีมากด้วย”
“อย่างนั้นเหรอ”
“ผมตั้งใจจะดูตอนที่ดีวีดีออกมาครับ”
เด็กชายผู้ต่ออย่างระมัดระวังว่า “ถ้ามีโอกาสก็หาดูนะครับ” และฉีกยิ้มที่ดูใจดีจนเหมือนคนโง่อีกครั้ง พอฟิลลิปตอบอย่างสบายๆ ว่า “เข้าใจแล้ว” อีกฝ่ายก็เริ่มกินอาหารกลางวันของตัวเองอย่างช้าๆ
พอกินเครปหมดแล้ว ฟิลลิปก็ลุกขึ้น
“จะไปแล้วเหรอครับ”
“อืม”
เด็กชายไม่พูดว่าไว้เจอกันใหม่ หรือเจอกันคราวหน้าเหมือนอย่างตอนแรก แต่กลับรักษาระยะห่างอย่างชัดเจนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“เดี๋ยวก่อนครับ”
เด็กชายลุกขึ้น และเริ่มค้นกระเป๋า
“นี่ครับ”
จากนั้นก็ยื่นถุงเล็กๆ ใบหนึ่งให้
“อะไรอีกล่ะ”
“ถุงชาครับ เพราะเขาบอกว่าชานี้ดีต่ออาการนอนไม่หลับ”
“อ๋อ เรื่องนั้นเอง”
ก่อนหน้านี้เด็กชายเคยเก็บซองยาที่หล่นจากกระเป๋าของฟิลลิปให้ เนื่องจากรำคาญอีกฝ่ายที่เป็นห่วงและเอาแต่ถามว่าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า เขาจึงตอบไปว่าเป็นยาแก้โรคนอนไม่หลับ
“ขอบใจนะ”
จริงๆ แล้วเขาไม่ได้รู้สึกขอบคุณเลยสักนิด การใส่พวกหญ้าลงในน้ำและต้มกินไม่ใช่รสนิยมของฟิลลิป
“นี่เป็นชาที่คุณป้าของผมเก็บและทำเองเลย คุณเอาไว้ดื่มก่อนนอนนะครับ”
ฟิลลิปเก็บถุงชาที่รับมาใส่กระเป๋า เขาคิดว่าถ้าเจอถังขยะระหว่างทางก็จะโยนทิ้ง
“ฉันไม่มีของจะให้เลย ขอโทษด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ตอนนั้นคุณช่วยผมไว้นี่นา แต่ผมไม่สามารถตอบแทนได้อย่างเหมาะสม…ไม่ต้องใส่ใจหรอกครับ”
เด็กชายแบ่งอาหารกลางวันให้ทุกครั้งที่เจอกันและให้ยืมหนังสือ แต่ก็ไม่ล้ำเส้น หรือทำเป็นรู้จักและเข้ามาหาอย่างไม่เหมาะสม หากพิจารณาจากการที่เขาเคยช่วยไว้ครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ ก็สามารถพูดได้ว่าเขาได้รับการตอบแทนคืนเท่าที่ควรจะได้รับแล้ว
แม้จะไม่จำเป็นต้องตอบแทนให้เท่ากับที่ได้รับ แต่เขาก็ต้องทำตัวตามมารยาททางสังคมประมาณหนึ่ง เพราะมันเป็นวิธีที่จะทำให้เขาเข้ากับคนอื่นได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นหากเอาแต่รับอย่างเดียว ความเป็นไปได้ที่จู่ๆ อีกฝ่ายจะเลือกรูปแบบของการตอบแทนตามใจชอบก็จะยิ่งสูงขึ้น และคนที่รำคาญหากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นก็คือตัวของฟิลลิปเอง
“สุดสัปดาห์นี้ว่างไหม”
“ครับ?”
“หนังไง ที่บอกว่าฉายรอบแรกไปแล้วน่ะ”
ฟิลลิปว่าชูหนังสือขึ้น
เด็กชายแค่ทำตาโตและจ้องมองเขาเท่านั้น เพราะยังไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร
“ฉันจะจองตั๋วให้”
“หา? ไม่ต้องหรอกครับ ไม่เป็นไร”
“ฉันรู้สึกผิดที่เป็นฝ่ายรับอย่างเดียวน่ะ”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ฉันก็ไม่สามารถไปดูหนังกับนายที่เป็นผู้ชายเหมือนกันได้หรอกนะ
ฟิลลิปเก็บคำพูดที่อยู่ในใจเอาไว้ และทำตายิ้มอย่างอ่อนโยนให้แทน
“ฉันจะจองไว้สองใบ นายจะได้ไปดูกับแฟน”
“เอ่อ…ครับ”
ต้นคอของเด็กชายที่พยักหน้าแดงเถือก เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีแฟนที่จะให้ไปดูภาพยนตร์ด้วย
แล้วเราจำเป็นต้องสนด้วยเหรอ
ไม่ว่าจะเป็นตั๋วภาพยนตร์ที่ไม่มีคนไปดูด้วย หรือถุงชาในกระเป๋าของเขาที่ต้องเข้าไปอยู่ในถังขยะในไม่ช้าล้วนแล้วแต่เป็นความใจดีที่อยู่ในระดับเดียวกัน
“ไว้เจอกัน”
สิ้นคำร่ำลาของฟิลลิป เด็กชายก็พยักหน้าอย่างตั้งใจ ฟิลลิปโบกมือให้เล็กน้อยก่อนจะเดินลงเนินไป
***
“ไม่ดูหนัง แล้วไปที่อื่นกันไม่ได้เหรอ”
ฟิลลิปที่กำลังอ่านแผ่นพับอยู่หันหน้าไป
“เธอบอกว่าอยากดูหนังไม่ใช่เหรอ”
แม้น้ำเสียงที่ถามแบบนั้นจะอ่อนโยน แต่สายตากลับไม่เป็นแบบนั้นเลยสักนิด โคลอี้ที่ไม่รู้สึกถึงสิ่งนั้นพูดแต่สิ่งที่ตัวเองอยากพูดออกมาไม่หยุด
“แอลบอกว่าสระว่ายน้ำที่บ้านพักตากอากาศของนายยอดมาก”
“งั้นเหรอ”
“การที่แอลเคยไปแล้ว แต่ฉันไม่เคยไปเลยเนี่ยมันเกินไปนะ”
“ฮ่าฮ่า อย่างนั้นเหรอ”
แล้วเป็นอะไรของมึงวะ
“ฉันเองก็อยากไปบ้าง สระว่ายน้ำที่บ้านพักตากอากาศของนายน่ะ การดูหนังตอนเย็นของช่วงสุดสัปดาห์มันน่าเบื่อจะตาย”
คำพูดแบบนั้นหลุดออกมาจากปากที่พูดว่าเป็นหนังที่คาดหวังบ้างล่ะ เป็นหนังที่อยากดูบ้างล่ะได้ยังไงกัน
“จะไปตอนนี้ได้ยังไงล่ะ แล้วเธอก็ไม่มีชุดว่ายน้ำด้วย”
“ไม่เป็นไร ไม่ใส่ก็ได้ ยังไงก็มีแค่นายอยู่แล้วนี่”
โคลอี้เข้ามาใกล้หูและกระซิบราวกับพูดความลับที่ปิดบังไว้ออกมา
“เธอนายจะเป็นหวัดนะ”
“ไม่ต้องเล่นจนถึงขั้นเป็นหวัดก็ได้นี่ นะ? แอลบอกว่านายพาไป แถมยังลงรูปด้วย”
เด็กสาวเอารูปที่เพื่อนของตนอัปโหลดลงใน SNS ให้ดูด้วยสีหน้าบึ้งตึง แล้วตอนนั้นฟิลลิปก็ได้รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร
โคลอี้อัปโหลดรูปที่มาโรงภาพยนตร์ก่อน แล้วเอลล่าที่เป็นเพื่อนของเธอก็คงจะอัปโหลดรูปที่ไปเที่ยวเล่นที่บ้านพักตากอากาศตาม เพราะมีคนประเภทที่ถือเอาการที่อีกฝ่ายจะตามใจตัวเองขนาดไหนเป็นมาตรฐานในการวัดความรักอยู่เหมือนกัน
“มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นี่”
และโคลอี้ก็สวมบทบาทเป็นตัวอย่างของคนประเภทนั้น
“ก็ใช่”
พอฟิลลิปตอบรับเบาๆ สีหน้าของโคลอี้ก็สดใสขึ้น
“งั้นไอ้นี่ก็คงไม่จำเป็นแล้วใช่ไหม?”
ฟิลลิปชูตั๋วภาพยนตร์ขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยถาม โคลอี้ยิ้มกว้างก่อนจะพยักหน้า ฟิลลิปฉีกตั๋วภาพยนตร์ทิ้ง และโยนลงถังขยะที่อยู่ใกล้ๆ
“งั้นไปกันเลยไหม”
โคลอี้กอดแขนล่ำๆ ของฟิลลิปพร้อมกับพูด
“ไปไหน?”
ฟิลลิปถามกลับ
“บ้านพักตากอากาศของนายไง ออกเดินทางตอนนี้ก็น่าจะถึงก่อนเย็นพอดี”
“ขอโทษนะ ฉันคงไปโดยที่ไม่เต็มใจไม่ได้”
ฟิลลิปหยิบตั๋วของตัวเองที่เหลืออยู่ใบหนึ่งออกมา เขาโบกตั๋วไปมาและยิ้มให้อย่างนุ่มนวล
“อะไรนะ”
“โชคดี”
พอฟิลลิปเอ่ยลาอย่างอ่อนหวาน สีหน้าของโคลอี้ก็เปลี่ยนเป็นโกรธ
“นายจะให้ฉันไปที่บ้านคนเดียวตอนนี้เหรอ”
เด็กสาวทำสีหน้าไม่อยากเชื่อ
“ถ้ามีคนที่จะไปด้วยก็เรียกมาได้นะ”
“ฟิลลิป เลวิน!”
พออีกฝ่ายเรียกชื่อของตน ฟิลลิปก็เหยียดยิ้มก่อนจะเอ่ยตอบ
“ถ้าออกเดินทางตอนนี้ก็น่าจะถึงก่อนเย็นนะ”
โคลอี้กัดริมฝีปากล่างพร้อมกับมองฟิลลิป จากนั้นกรีดร้องออกมา
“ก็ลองทิ้งดูสิ! แล้วฉันจะทำให้นายเสียใจ”