ขันทีซุนเดินส่ายศีรษะออกไป เขาวานให้นางกำนัลสองคนวางเสื้อคลุมที่มีกลิ่นหอมไว้ด้านนอกฉากกั้นอย่างเงียบๆ และหวังว่าองค์ชายสามจะลุกขึ้นมาในอีกไม่ช้า
แต่ใครจะคิดเล่าว่า จะไม่ได้ยินเสียงพวกเขาทั้งสองคนเลย
ขันทีซุนถอนหายใจยาว เขาทำได้เพียงไปหาอดีตฮ่องเต้และรายงานว่าองค์ชายสามและพระชายาคนใหม่จะมาหาในภายหลัง ดังนั้น อดีตฮ่องเต้จึงไม่ต้องรอพวกเขา
อดีตฮ่องเต้ที่ตื่นนอนและชำระร่างกายพร้อมแล้วหัวเราะอย่างร่าเริงกับข่าวนี้ เขาตรัสคำว่าดีๆ เพียงสองสามคำ ก่อนจะลูบเครายาวของตนเอง “ไม่ต้องรีบร้อน ปล่อยให้ทั้งคู่ได้พักผ่อนให้มากขึ้นเถอะ”
เมื่อพูดจบ เขาก็มองขันทีซุนด้วยสีหน้าเบิกบาน “ข้าไม่คิดว่าเจวี๋ยเอ๋อร์จะทำเช่นนั้นจริงๆ” เขาไม่ได้เตรียมตัวที่จะได้ยินเสียงดังตลอดคืนจากห้องหอ
“คราวนี้ อดีตฮ่องเต้ก็ไม่ต้องกังวลว่าการกลับมาของหญิงสาวคนนั้นจะส่งผลกระทบต่อองค์ชายแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
เขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน เสียงหัวเราะของอดีตฮ่องเต้ค่อยๆ เบาลง “เจ้าไม่เข้าใจอาเจวี๋ยหรอก เฮ้อ… ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น…”
ในตอนเช้า สายลมพัดอย่างแผ่วเบาและพระอาทิตย์ก็ส่องแสงบนท้องฟ้า
แสงสว่างที่ส่องเข้ามาด้านใน ห้องนอนที่ตอนนี้ตกแต่งเหมือนกับเป็นห้องหอ กันสาดสีแดงเข้มและตะเกียงสีทองสั่นไหวเล็กน้อย ด้านหลังฉากกั้นขนาดใหญ่มีดอกไม้แกะสลักแปดดอกวางอยู่บนเตียงนุ่มที่ปกคลุมไปด้วยทองคำ เตียงที่หนานุ่มนั้นบุด้วยหนังเสือสีเข้มที่มีราคาแพง มันดูสบายอย่างมาก
บนเตียงนุ่มนี้ มีคนรูปร่างเพรียวบางและงดงามนอนอยู่สองคน
หนึ่งในนั้นถูกโอบรัดอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม แต่แผ่นหลังที่ราวกับเป็นหยกเคลือบแก้วนั้นเต็มไปด้วยรอยช้ำสีม่วงอมแดง
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยตื่นขึ้นมา นางก็รู้สึกว่าร่างกายและศีรษะของนางหนักพอๆ กับตะกั่ว นางปวดขมับอย่างมากจนแทบจะระเบิดออกมา ในชั่วขณะหนึ่ง นางไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ใด ร่างกายของนางราวกับว่ากำลังจะฉีกขาด โดยเฉพาะขาที่รู้สึกชาของนาง
บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม
เฮ่อเหลียนเวยเวยอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมากุมหลังศีรษะเพื่อลดอาการปวด เมื่อหันศีรษะมา นางก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองอยู่ที่ใด
มือข้างหนึ่งของหญิงสาวถูกโซ่สีทองบางๆ ล่ามเอาไว้กับเสาเตียงอย่างหลวมๆ คงเพราะกลัวว่าจะทิ้งรอยช้ำไว้บนข้อมือของนาง ส่วนมืออีกข้างของงนางนั้นวางอยู่บนตุ๊กตา
ความทรงจำของเมื่อคืนโหมกระหน่ำเข้ามาราวกับเป็นคลื่นซัด เฮ่อเหลียนเวยเวยเบิกตากว้างและดวงตาของนางก็สะท้อนให้เห็นถึงความเยือกเย็นอีกครั้ง
คำสาปแช่งดังอยู่ในใจของนางอย่างรุนแรง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหยียดขาออกและหมุนตัว ผ้าในมือของนางกลายเป็นผ้าคลุมไหล่ และนางก็ห่อตัวเองไว้แบบนั้น ในขณะที่มืออีกข้างยังถูกใส่กุญแจมือไว้อยู่…
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเย้ยหยัน นางเหยียดแขนเรียวยาวของตนเองและออกแรงดึง!
เกิดเสียงโลหะดังกระทบกัน และหลังจากนั้น โซ่ทองก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!
นางหมุนข้อมือเบาๆ และพยายามที่จะลุกขึ้นยืน แต่ตัวนางกลับถูกมือคู่ใหญ่สวมกอดไว้จากด้านหลังเอวของนาง ผมสีเข้มของผู้ชายคนนั้นกระเซอะกระเซิงและปรกบนหน้าผากอย่างกระจัดกระจาย ความเย้ายวนบนใบหน้าของเขานั้นไม่สามารถหาคำมาบรรยายได้ “ปรากฏว่าของพวกนั้นช่างบอบบางยิ่งนัก จนพวกมันไม่สามารถกักขังเจ้าเอาไว้ได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วและสะบัดมือของชายคนนั้นออกไป นางลุกขึ้นยืนอย่างเฉยเมย “องค์ชาย ไม่มีใครเคยบอกท่านหรือว่าอย่าแตะต้องคนที่ถูกวางยาง่ายๆ”
“ไม่ แต่…” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันศีรษะมามองหน้าของหญิงสาวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่ใช่รอยยิ้มนัก เขาดูนิ่งเฉย ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังเอนตัวบนเตียงนุ่ม เขาก็ยังคงทำให้คนอื่นๆ รับรู้ได้ถึงความสง่างาม “แต่องค์ชายคนนี้กลับรู้สึกว่าคนที่ถูกวางยาคนนั้นมีความพิเศษ ไม่เหมือนใครดี”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ดีว่าเขากำลังพูดเป็นนัยถึงการกระทำของนางเมื่อคืนนี้ นางหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา แต่แววตาของนางกลับดูไม่ได้ขำด้วย “ข้าเองก็คิดว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกันที่ได้ใช้องค์ชายเป็นยาถอนพิษ”
“เป็นยาถอนพิษเช่นนั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเข้าไปในแววตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยังเป็นสีดำสนิทและไร้มลทินใดๆ แต่เนื่องจากแววตาคู่นั้นใสเกินไป มันจึงไม่สะท้อนให้เห็นร่างใครในดวงตาคู่นั้น
ผู้หญิงคนนี้ไม่มีเขาอยู่ในสายตา… เขาไม่เคยอยู่ในสายตาของนางเลย
จู่ๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หัวเราะออกมา และเผยรอยยิ้มที่ดูป่าเถื่อนและเย่อหยิ่ง จนทำให้ผู้คนหวาดผวา “เจ้าช่างไร้ความปรานีจริงๆ”
เขาสวมเพียงชุดนอนสีดำสนิทที่ปกปิดเพียงแค่ครึ่งตัว ทำให้มองเห็นผิวสีน้ำผึ้งของเขาได้อย่างชัดเจน
ท่าทางของชายคนนี้ทำให้หญิงสาวจำนวนมากติดตามเขาและตะโกนร้องว่า “เทพบุรุษ!”
อย่างไรก็ตาม…
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น
“ไม่เช่นนั้นแล้ว องค์ชายคิดเช่นไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอนตัวลง และแบมือออกมาตบใบหน้าเขาอย่างแผ่วเบา อาจเป็นเพราะนางถูกทรมานตลอดทั้งคืน ทำให้ในตอนนี้ นางดูโหดเหี้ยมจนถึงขีดสุด “องค์ชายควรจะดีใจที่ท่านไม่ใช่คนที่โดนวางยาตัวนี้ และไม่ได้มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ มิเช่นนั้นแล้ว ในคืนวันแต่งงาน องค์ชายก็อาจจะถูกลอบปลงพระชนม์ที่นี่ก็ได้ ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นท่าทีของนาง เขาก็ตกตะลึง จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง ดวงตาสีดำของเขาที่เปล่งประกายนั้น กลายเป็นดวงตาที่ลึกล้ำและเต็มไปด้วยความอันตรายที่ไม่มีใครรู้จัก
หน้าตาของนางเช่นนี้ทำให้เขาอยากจะกดตัวนางลงไปอยู่ใต้ร่างของเขาอย่างป่าเถื่อน… ด้วยความปรารถนาอย่างดุดัน
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกตัวว่าเขากำลังจับขาเรียวยาวของนางไว้ ดวงตาของหญิงสาวก็หรี่ลงอย่างน่ากลัวและเขวี้ยงกริชไปทางองค์ชาย หลังจากนั้น นางก็หมุนตัวและเดินเข้าห้องน้ำไป แต่ในใจของนางนั้น กลับรู้สึกประหม่าอย่างมาก!
ทั่วทั้งโลกใบนี้ มีเพียงองค์ชายสามเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ได้ เขาสามารถพูดคุยกับคนอื่นๆ ได้อย่างเรียบเฉย โดยที่เขากดดันอีกฝ่ายอยู่!
เขาควรจะสนใจแค่เหล่าชายหนุ่มเท่านั้น
เขาควรจะเป็นพวกต้วนซิ่วสิ!
มันเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงเช่นนั้นหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดูรอยจ้ำบนคอของตนเอง และทันใดนั้น นางก็นึกถึงเหตุการณ์ในช่วงสุดท้ายที่เขาผลักนางชิดกำแพงและโน้มน้าวให้นางร้องขอความเมตตาด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ช่างน่าขยะแขยงจริงๆ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยสูดหายใจเข้าลึก และแช่ตัวลงในอ่างอาบน้ำ จากนั้น นางก็ดูเหมือนกับจะนึกอะไรบางอย่างออก ใบหน้าของนางถมึงทึง แล้วนางก็ลุกออกมาจากอ่างอาบน้ำอีกครั้ง ก่อนจะเช็ดผมยาวของตนเองด้วยผ้าขนหนูนุ่ม และมุมปากของนางก็ยกขึ้นเป็นรูปโค้ง นางต้องสืบให้ได้ว่าใครเป็นคนวางยานาง!
และสิ่งของเหล่านี้… ทุกอย่างที่ควรจะชำระล้างก็ได้ทำความสะอาดหมดแล้ว ดังนั้น นางจึงไม่เห็นร่องรอยของสิ่งที่จะทำให้นึกถึงเรื่องแย่ๆ พวกนั้นได้อีก!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมักจะจัดการสิ่งต่างๆ เหมือนกับการชำระหนี้เสมอ นางจะแก้แค้น ไม่ว่าศัตรูคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม!
หลังจากที่นางแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของนางก็ดูเคร่งขรึมขึ้น นางไม่แม้แต่จะมองหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางเรียกนางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านนอกเข้ามาถามว่ามีใครเคยเข้ามาที่นี่ก่อนคืนงานอภิเษกสมรสหรือไม่
นางกำนัลมองพระชายาคนใหม่ที่เพิ่งออกจากห้องบรรทม พวกนางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็ยังคงตอบด้วยความเคารพว่า “ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปในห้องบรรทมของพระชายาหรอกเพคะ”
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินดังนั้น นางก็รู้ว่าตัวเองควรต้องค่อยๆ ตรวจสอบเรื่องนี้ หญิงสาวเอนกายลงบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้านและยกมือขึ้นชี้ไปทางห้องน้ำที่อยู่หลังฉากกั้น นางจะไม่ยอมทุกข์ทนกับความสูญเสียใดๆ “เอาอ่างอาบน้ำนั่นไปทิ้งซะ”