ตอนที่ 285 ตัดช่องทางการยืมเงิน
แม่เฒ่าหวังเดือดดาลมากจนหัวใจเจ็บปวด
ในตอนแรก เพื่อรักษาหน้าที่การงานของสมาชิกครอบครัวหวังหรงทั้งสามคน นางยอมแบกหน้าไปขอยืมเงินของฟางจั๋วหราน ยอมแม้กระทั่งตัดความสัมพันธ์ฉันท์ยายหลานกับเขาอย่างไม่ลังเล
นางยอมเดิมพันด้วยราคาสูงลิบแบบนั้น แต่อีกฝ่ายกลับยังไม่รู้จักสำนึก
แม่เฒ่าหวังผู้ซึ่งรักใคร่หลานสาวอย่างหวังหรงยิ่งกว่าอะไรดีโกรธจนก่นด่าหล่อนไม่หยุดปาก วาจาหยาบคายพรั่งพรูออกมาจนแทบทนฟังไม่ได้
แต่หลังจากด่าทอแล้ว ทุกคนก็ยังต้องหารือกันว่าต่อจากนี้จะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไป
ก่อนหน้านี้แม่เฒ่าหวังเคยได้รับเงินค่าเลี้ยงดูผู้สูงอายุจากฟางจั๋วหรานเดือนละหนึ่งร้อยหยวนอย่างสม่ำเสมอ
ตอนนี้ทั้งสองตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างกันไปแล้ว เขาจึงไม่จ่ายเงินค่าเลี้ยงดูให้นางอีกต่อไป ตอนนี้นางต้องพึ่งพาเงินผู้สูงอายุจากหวังเหวินฟางเพียงทางเดียว
หวังเหวินฟางมีรายได้น้อยกว่าฟางจั๋วหราน หล่อนจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูให้นางแค่เดือนละยี่สิบหยวน
ถึงเงินยี่สิบหยวนต่อเดือนจะมากเกินพอสำหรับคนคนเดียวในสายตาของใครหลายคน แต่สำหรับแม่เฒ่าหวังที่เคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ต้องกินปลาและไข่ไก่ ชงนมมอลต์ดื่มเป็นประจำ สวมเสื้อผ้าราคาแพงหรูหรา และว่าจ้างคนให้คอยมาทำความสะอาดบ้านอยู่เสมอ
นางใช้ชีวิตอย่างร่ำรวยสุรุ่ยสุร่ายมาตั้งแต่ก่อนยุคปลดแอกเสียอีก เงินแค่ยี่สิบหยวนที่หวังเหวินฟางให้เพียงพอสำหรับนางเสียเมื่อไรกัน!
ยิ่งเมื่อสมาชิกทั้งสามคนของครอบครัวหวังหรงตกงานโดยที่ไม่มีแหล่งรายได้แบบนี้ พวกเขาจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร?
แม่เฒ่าหวังไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาเกาะตัวเองกินแน่ ลำพังเงินที่ตัวเองมีอยู่ก็น้อยนิดพออยู่แล้ว!
ดังนั้นนางจึงเสนอให้พวกเขาไปขอเงินจากหวังเหวินฟางมาใช้จ่ายประทังชีวิต
แต่เนื่องจากครอบครัวของหวังหรงยังติดหนี้หวังเหวินฟางอยู่สองหมื่นหยวน พ่อหรงและแม่หรงจึงมียางอายเกินกว่าจะไปขอเงินจากหวังเหวินฟางเพิ่มอีก
แม่หรงแอบใช้ข้อศอกสะกิดสามีเบา ๆ พ่อหรงเข้าใจทันที หันกลับไปพูดกับแม่เฒ่าหวังว่า “แม่ครับ แม่ลองขอให้เหวินฟางช่วยสมทบค่าครองชีพให้กับพวกเราสักเดือนละสามสิบหยวนสิ”
แม่เฒ่าหวังปฏิเสธเสียงราบเรียบ “ฉันไม่ไป! ทำไมแกไม่ไปขอเงินจากหล่อนเองล่ะ?”
พ่อหรงพูดกลั้วหัวเราะ “ก็เพราะผมกลัวว่าเหวินฟางจะไม่ยอมให้เงินเราน่ะสิ ถ้าแม่เป็นคนขอ เหวินฟางต้องยอมจ่ายให้แน่”
แม่เฒ่าหวังยังต้องพึ่งพาหวังเหวินฟางด้านเงินเลี้ยงดูผู้สูงอายุ เรื่องอะไรนางจะยอมเสี่ยงเป็นธุระจัดการเกี่ยวกับผลประโยชน์ให้กับครอบครัวของหวังหรง
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าครอบครัวหวังหรงจะพยายามขอร้องอย่างไร นางก็ไม่ยอมใจอ่อนเป็นธุระให้กับพวกเขา
แม่หรงเริ่มหงุดหงิด “ครอบครัวของเราต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เพราะคุณแม่แท้ ๆ แต่คุณแม่กลับไม่คิดจะช่วยเหลือพวกเราเลย!”
หญิงชราสวนกลับทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น “หรงหรงต่างหากที่เป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวของหล่อนต้องตกที่นั่งลำบาก เป็นความผิดของฉันตรงไหน?”
แม่หรงตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “คุณแม่ลองคิดดูสิคะว่าทำไมหรงหรงถึงได้สร้างปัญหามากมายไม่หยุดหย่อน? ไม่ใช่เพราะหล่อนอยากแต่งงานกับฟางจั๋วหรานหรอกเหรอ! ถ้าคุณแม่จัดการให้หล่อนได้แต่งงานกับฟางจั๋วหรานตั้งแต่แรก เรื่องทั้งหมดก็คงไม่บานปลายมาถึงขั้นนี้ ถ้าฟางจั๋วหรานกลายเป็นลูกเขยของเรา เราก็คงไม่ต้องลำบาก คุณแม่ยังกล้าปฏิเสธว่าไม่ใช่ความผิดของตัวเองอีกเหรอคะ?”
สองพ่อลูกตระกูลหวังกลับเห็นดีเห็นงามกับข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผลของแม่หรง พวกเขารีบพยักหน้าซ้ำ ๆ เป็นเชิงสนับสนุน
แม่เฒ่าหวังสะบัดเสียงใส่ “ฉันเคยรับปากว่าฟางจั๋วหรานต้องได้แต่งงานกับหรงหรง ฉันรักษาคำพูดของตัวเองแน่ ภายในสิบวันแผนการของฉันจะต้องเห็นผล”
พอพูดถึงเรื่องนี้ แม่เฒ่าหวังก็หันมองไปทางหวังหรง “แต่ย่าคงต้องขอให้หรงหรงช่วยย่าอีกแรงหนึ่ง ไม่อย่างนั้นแผนการนี้คงสำเร็จได้ยาก”
หวังหรงรีบถาม “ช่วยยังไงเหรอคะ?”
แม่เฒ่าหวังบอกเล่าแผนการทั้งหมดให้ฟัง
ทันทีที่ได้ยินแผนการ ใบหน้าของหวังหรงก็ปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย
ขิงแก่ย่อมเผ็ดร้อนกว่าขิงอ่อนอยู่วันยังค่ำ แผนการของคุณย่าช่างร้ายกาจจริง ๆ!
ตราบใดที่ฟางจั๋วหรานตกหลุมพรางแผนนี้จนไม่สามารถหาทางออกได้ เขาจะเหลือทางเลือกอยู่แค่สองทาง คือยอมแต่งงานกับหล่อน หรือยอมติดคุกจนเสื่อมเสียชื่อเสียง
หล่อนไม่สนใจแล้วว่าฟางจั๋วหรานจะแต่งงานกับหล่อนด้วยความรักหรือไม่ เมื่อไหร่ก็ตามที่หล่อนสามารถผูกมัดเขาไว้จนดิ้นไม่หลุด ชีวิตของหล่อนจะกลับมาเหนือกว่าใคร ๆ อีกครั้ง
ถึงผูกมัดไม่สำเร็จ คนที่ชีวิตพังก็คือเขา!
พ่อหรงและแม่หรงเองก็เห็นด้วยกับแผนการของแม่เฒ่าหวัง
แต่ถึงแม้แผนการที่ว่าจะเข้าท่าสักแค่ไหน ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องที่พวกเขาทั้งสามกำลังเผชิญอยู่ได้
ตอนนี้แม่หรงมีเงินติดตัวอยู่แค่ไม่กี่ร้อยหยวน พอกินใช้ได้แค่ระยะหนึ่งเท่านั้น
ทั้งครอบครัวไม่มีแหล่งรายได้อีกต่อไป หล่อนไม่กล้าใช้จ่ายเงินที่เหลืออยู่แค่ไม่กี่ร้อยหยวนนี้อย่างประมาท ด้วยกลัวว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา อาจไม่มีเงินเหลืออยู่เลยแม้แต่หยวนเดียว
อย่างไรก็ตาม แม่เฒ่าหวังยังยืนกรานว่าจะไม่ร้องขอเงินจากหวังเหวินฟางแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาทางกันเอง
สามพ่อแม่ลูกปรึกษากันอยู่นาน จนได้ข้อสรุปว่าไหน ๆ ก็หลีกเลี่ยงการขอเงินจากอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว อย่างนั้นก็ขอยืมเงินสักห้าร้อยหยวนมาในคราวเดียวเลยดีกว่า
ขืนพวกเขาร้องขอเงินค่าครองชีพจากหวังเหวินฟางเป็นรายเดือน ไม่ใช่แค่ทำให้ลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย แต่ยังทำให้หวังเหวินฟางพลอยรังเกียจที่พวกเขาร้องขอเงินจากหล่อนไม่รู้จบ
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน หวังเหวินฟางก็เก็บข้าวของ สะพายกระเป๋าหนังราคาแพง ก่อนจะปั่นจักรยานกลับบ้าน
ระหว่างทาง จู่ ๆ หล่อนก็ได้ยินเสียงใครบางคนร้องเรียก พอหันหน้าไปมอง จึงเห็นว่าเป็นครอบครัวของหวังหรง
หวังเหวินฟางลงจากจักรยาน ถามด้วยความประหลาดใจ “พวกพี่มาที่นี่ทำไมคะ?”
ถนนเส้นนี้ไม่ใช่เส้นทางที่ทั้งสามใช้สัญจรเป็นประจำหลังจากเลิกงานเสียหน่อย
สามพ่อแม่ลูกหันมองสบตากันไปมา แต่ละคนต่างแสดงท่าทางอ้ำอึ้งเหมือนไม่กล้าพูด
ในที่สุด หวังหรงที่ถูกสายตาคมกริบของผู้เป็นแม่บีบบังคับจึงเป็นฝ่ายโพล่งขึ้นมา “พวกเรา… มารอคุณอาค่ะ…”
“รอฉัน?” หวังเหวินฟางยิ่งสงสัย “ทำไมถึงไม่ไปรอที่บ้านฉันกันล่ะ?”
ถึงแม้ฟางเว่ยกั๋วจะไม่ค่อยชอบใจครอบครัวของพี่ชายและพี่สะใภ้ของหล่อนเท่าไรนัก แต่ทุกครั้งที่พวกเขาแวะเวียนมาหาถึงที่บ้าน ฟางเว่ยกั๋วก็มีมารยาทพอที่จะไม่พูดอะไร
หวังหรงจำใจพูดตามตรง “เราอยากคุยกับคุณอาแค่ไม่กี่คำเองค่ะ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปที่บ้านหรอก”
“คุยเรื่องอะไร?” สีหน้าของหวังเหวินฟางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม สายตาของหล่อนกวาดมองไปยังใบหน้าของสามพ่อแม่ลูกทีละคน
“หนูแค่… อยากจะขอยืมเงินจากคุณอาสักห้าร้อยหยวนค่ะ…”
สีหน้าของหวังเหวินฟางเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันทีเมื่อได้ยินคำว่าขอยืมเงิน
นั่นเป็นเพราะหล่อนรู้ดีว่าคราวนี้ถ้าหล่อนยอมให้พี่ชายและพี่สะใภ้ของตัวเองยืมเงินอีก ก็ไม่ต่างอะไรกับเอาซาลาเปาไส้หมูไปโยนเข้าปากสุนัข(1) ไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ไม่ว่าพี่ชายและพี่สะใภ้จะขอยืมเงินเท่าไร หล่อนแทบจะประเคนให้โดยไม่คิดเล็กคิดน้อยด้วยซ้ำ
หล่อนคิดเสมอว่าพ่อหรงเป็นพี่ชายคนเดียวของตัวเอง ถ้าไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ คนนอกรู้เข้าคงเยาะเย้ยถากถางหล่อนแน่
แต่เพราะครั้งที่แล้วหล่อนแอบยักยอกเงินเก็บของครอบครัวจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนให้กับครอบครัวของพี่ชาย ทำให้ฟางเว่ยกั๋วโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เรียกคืนสมุดบัญชีทุกเล่มไปเก็บไว้กับตัว เรื่องนี้จึงทำให้หล่อนเริ่มไม่พอใจครอบครัวของพี่ชาย
ถ้าครอบครัวของเขาไม่คอยฉุดรั้งหล่อนไว้ หล่อนกับฟางเว่ยกั๋วคงไม่มีปัญหาขัดแย้งกันแบบนี้
หล่อนถามอย่างโกรธเคือง “พวกเธอจะยืมเงินไปทำอะไร?”
หวังหรงนึกลังเล แต่แล้วก็ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้หล่อนฟัง
หลังจากหวังเหวินฟางรู้เรื่องทั้งหมด หล่อนยิ่งโกรธจัดจนใบหน้าดำคล้ำเหมือนก้นหม้อ
ที่แท้ก็เป็นเพราะฟางจั๋วหราน เขาบังอาจพรากหน้าที่การงานอันดีไปจากครอบครัวของพี่ชายหล่อน
หล่อนขึ้นควบจักรยานอีกครั้งแล้วปั่นจากไป ตั้งใจว่าจะคุยเรื่องนี้กับฟางเว่ยกั๋ว ขอให้เขาหาทางฝากญาติทั้งสามคนของหล่อนกลับเข้าไปทำงานในสำนักงานการไฟฟ้าตามเดิมให้ได้
ต่อให้กลับเข้าไปทำงานที่สำนักงานการไฟฟ้าไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องหาองค์กรอื่นที่มีสวัสดิการดีทัดเทียมกัน
นอกจากนี้ หล่อนต้องหาทางโน้มน้าวให้ฟางเว่ยกั๋วสั่งสอนฟางจั๋วหรานลูกชายของเขาเสีย เขาไม่มีสิทธิ์ทำเรื่องโหดร้ายกับครอบครัวของพี่ชายหล่อนเหมือนเป็นคนนอก
พอเห็นว่าแผ่นหลังของหวังเหวินฟางค่อย ๆ ห่างไกลออกไป ครอบครัวหวังหรงก็อดหันมามองหน้ากันอีกครั้งไม่ได้
หล่อนยังไม่ทันตกลงว่าจะให้ยืมเงินหรือเปล่า แต่กลับปั่นจักรยานหนีไปเสียแล้ว
หวังเหวินฟางปั่นจักรยานเข้าไปในเขตชุมชนภายในอึดใจเดียว ระหว่างทางเวลาพบเจอเพื่อนบ้าน หล่อนพยายามรักษาท่าทางสง่างามน่าคบหา ทักทายพวกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
ทันทีที่กลับถึงบ้าน หล่อนถึงได้เผยธาตุแท้ของตัวเองออกมา เอาแต่สบถด่าทอหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานอย่างอารมณ์ร้าย สาปแช่งให้พวกเขาตายไม่ดีในสักวัน
ฟางเว่ยกั๋วมีงานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนฝูง จึงยังไม่กลับมาในเวลานี้ ในบ้านไม่มีคนอื่น จึงไม่มีใครมองเห็นด้านมืดของหล่อน
กว่าฟางเว่ยกั๋วจะกลับมาก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว
หวังเหวินฟางหยิบรองเท้าแตะออกไปวางให้เขาด้วยท่าทางนอบน้อมอ่อนโยน พูดด้วยความเป็นห่วง “คุณคงหิวมาก ฉันทำปลาไหลน้ำแดงที่คุณชอบไว้ให้แล้ว รีบล้างมือแล้วกินข้าวก่อนเถอะค่ะ”
ฟางเว่ยกั๋วชำเลืองมองโต๊ะอาหาร เห็นว่าอาหารทุกจานยังคงมีไอร้อนกรุ่นโชยขึ้นมา
ความรู้สึกผิดเล็กน้อยก่อตัวขึ้นในหัวใจ “คุณก็ยังไม่ได้กินข้าวมื้อเย็นเหรอ?”
หวังเหวินฟางส่ายหน้า “ฉันตั้งใจว่าจะยังไม่กินจนกว่าคุณจะกลับมา คุณทำงานหนักตั้งแต่เช้าจนมืดค่ำ จะให้ฉันกินดื่มรออยู่ที่บ้านอย่างสุขสบายได้ยังไง”
ฟางเว่ยกั๋วพูดเบา ๆ “ต่อไปนี้ไม่ต้องรอกินอาหารมื้อเย็นพร้อมผมอีก ผมเลื่อนขั้นขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกแล้ว งานยุ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า ต้องออกไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานบ่อย ๆ คงกลับบ้านดึกเป็นปกติ คุณจะอดทนหิวไปตลอดไม่ได้”
หวังเหวินฟางรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ แต่ไม่ได้แสดงออกแต่อย่างใด ยังคงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ตักข้าวใส่ถ้วยให้เขาจนพูน ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกันกับสามี เริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนักว่าหวังหรงมาขอยืมเงินจากหล่อนอีกแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………
หมายความว่า ให้ไปแล้วยากที่จะได้คืน
สารจากผู้แปล
แผนการของย่าหวังคืออะไรกันนะ พี่หมอจะรู้ทันแผนแม่เฒ่าไหม
ไหหม่า(海馬)