เมื่อถีบโจวเสวียนจนล้มลง เฉินตันจูก็ไม่ทันลุกขึ้น นางใช้ขายันตัวเองถอยหลังไปหลายก้าว
ทั้งสองคนนั่งมองหน้ากันอยู่บนพื้น
“ท่านทำอันใด” โจวเสวียนขมวดคิ้ว
เฉินตันจูถลึงตา “ท่านต่างหากจะทำอันใด”
โจวเสวียนหัวเราะ ถูมือทั้งสองข้าง “ไม่ใช่ท่านให้ข้าพูดหรือ เวลานี้มาถามข้าว่าข้าทำอันใด”
พูดพลางใช้มือยันพื้นลุกขึ้นมา เดินมาทางเฉินตันจู ก่อนจะยื่นมือออกมาอีกครั้ง
เฉินตันจูกระโดดลุกขึ้นมาเอง ปัดมือของเขาทิ้ง ยืนอยู่อีกด้าน “ท่านพูดก็พูด จะยื่นมือมาทำอันใดกัน”
อาจเป็นเพราะได้ยินคำว่ายื่นมือมา อาเถียนพุ่งตัวออกมาจากด้านใน “เกิดอันใดขึ้น” ก่อนจะยืนขวางไว้ด้านหน้าของเฉินตันจู
โจวเสวียนสะบัดมือด้วยความโกรธ “ข้าจะดึงท่านขึ้นมา ไม่รู้น้ำใจคน” พูดพลางหันหลังเดินจากไป
อาเถียนเฉลียวอย่างมาก “ดึงคุณหนูขึ้นมา? คุณหนู ท่านถูกเขาตีจนล้มหรือเจ้าคะ” ก่อนจะรีบตะโกนเรียกจู๋หลิน “จู๋หลินเป็นอันใด เหตุใดเขาจึงไม่ดูแลท่าน”
จู๋หลินนั่งอยู่บนหลังคา สีหน้าสับสนเหมือนดั่งจิตใจ อืม เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน โจวเสวียนกับคุณหนูตันจูดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้เช่นนั้น…เวลานั้นองค์ชายสามเพียงแค่ถามว่าชอบหรือไม่ เวลานี้โจวเสวียนและคุณหนูตันจูถึงขั้นสาบานกันแล้ว
เขาเป็นแค่องครักษ์ เรื่องมากมายเหล่านี้เขาไม่เข้าใจจริงๆ
เฉินตันจูถูกเสียงตะโกนของอาเถียนทำให้สับสนยิ่งขึ้น รีบดึงนางเอาไว้ “ไม่ใช่ๆ” นางไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร “ข้าถีบเขาก่อน จากนั้นล้มลงเอง”
อาเถียนโล่งใจ “คุณหนูไม่เสียเปรียบก็พอ”
เสียเปรียบไม่เสียเปรียบหรอก โจวเสวียนพูดเองว่าไม่ชอบองค์หญิงจินเหยา อีกทั้งยังสาบานว่าจะไม่แต่งงานกับนาง เช่นนี้ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาเมื่ออดีตชาติขององค์หญิงจินเหยาได้ แต่ว่า เฉินตันจูบีบนิ้วมือ นางไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา นางสัมผัสได้ว่าคำสาบานของโจวเสวียนมีความหมายแบบอื่น…
หรือว่าเขาเข้าใจผิด?
นางบังคับให้เขาไม่แต่งงานกับองค์หญิงจินเหยา หรือเขาจะเข้าใจผิดว่านางคิดเกินเลยกับเขา?
เฉินตันจูครุ่นคิดถึงท่าทีของตนเอง คงไม่ได้ถึงขั้นทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดกระมัง
“คุณหนู?” อาเถียนเขย่าตัวนาง ถามอย่างกังวลและเป็นห่วง
เฉินตันจูยิ้มปลอบใจนาง “ข้าคิดเรื่องอื่นอยู่ จิตใจไม่สงบ”
ใช่ องค์ชายสามเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เวลานี้ไม่มีผู้ใดสงบใจได้ หลิวเวยกลัวจนเป็นลมไปแล้ว อาเถียนพยุงเฉินตันจู พลางเกลี้ยกล่อม “คุณหนูก็พักเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
เวลานี้นอกจากรอคงไม่มีวิธีอื่นแล้ว เฉินตันจูถอนหายใจพลางพยักหน้า
โชคดีที่ใช้เวลารอไม่นานนัก เมื่อตะเกียงที่จัดเตรียมไว้หน้าจวนโหวสว่างขึ้น คนในวังก็ส่งข่าวมาว่าองค์ชายสามทรงมีสุขภาพไม่ดี เสวยบางสิ่งที่ไม่อาจเสวยได้ อาทิแปะก๊วย จึงทำให้อาการกำเริบ แต่เนื่องจากวันนั้นแขกมาจำนวนมากจึงประมาท ขนมที่วางอยู่ด้านหน้าขององค์ชายสามโรยด้วยผงแปะก๊วย…
สำนักพระราชวังเป็นผู้เตรียมอาหาร พวกเขาย่อมต้องรับการลงโทษ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้อื่น
องครักษ์หลวงถอนกำลังออกไป ผู้คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงต่างก็โล่งใจ มีคนวิจารณ์เสียงเบา องค์ชายสามไม่อาจเสวยสิ่งของได้ตามใจ ร่างกายเช่นนี้ ฮ่องเต้ยังมอบหมายงานสำคัญ ช่างเป็นการหาปัญหาใส่ตัว ดู ในที่สุดก็เกิดเรื่องขึ้น
คนอย่างองค์ชายสามควรอยู่เฉยๆ โดยไม่ต้องทำสิ่งใด เลี้ยงเอาไว้ก็พอ
แม้ว่าฮ่องเต้จะตรัสให้งานเลี้ยงดำเนินต่อไป แต่ทุกคนก็ไม่มีจิตใจที่ดื่มด่ำกันต่อ โจวเสวียนจึงยุติงานเลี้ยงทันที เขาต้องเข้าวังไปเยี่ยมองค์ชายสาม ดังนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันไป
ถึงแม้เฉินตันจูไม่อยากคุยกับโจวเสวียนนัก แต่ก็ยังอดถามเขาไม่ได้ “ข้าสามารถตามท่านเข้าวังไปเยี่ยมองค์ชายสามได้หรือไม่”
ภายใต้แสงสว่างของลานภายในจวน โจวเสวียนมองดูนาง “ท่านคิดว่าอย่างไร”
เฉินตันจูพยักหน้าอย่างดีใจทันที “ท่านโหวโจวเป็นคนที่มีคุณธรรม ยอมออกมือช่วยเหลือตันจู ข้าจดจำไว้ในใจ บุณคุณนี้ไม่อาจเอ่ยด้วยวาจาได้…”
เมื่อฟังคำพูดแสร้งโง่ของนาง โจวเสวียนหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน อดยื่นมือออกไปไม่ได้…
เฉินตันจูก้าวถอยหลังหลบไปตามสัญชาตญาณ
ภายใต้แสงไฟหลากสีสะท้อนให้เห็นถึงความระแวงบนใบหน้าของหญิงสาว โจวเสวียนส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าจะกลับมาหาท่านอีกครั้ง เวลานี้ท่านกลับไปอย่างเชื่อฟังเถิด” ครุ่นคิดก่อนจะชี้ไปยังเรือนด้านหลัง เลิกคิ้วด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน หากท่านอยากเข้ามาอยู่ในเรือนนี้ล่วงหน้า ข้าก็ไม่รังเกียจ”
เฉินตันจูไม่พูดสิ่งใดอีก นางพาอาเถียนและหลิวเวยขึ้นรถไป
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากประตูจวนโหวที่สว่างไสวอย่างวุ่นวาย โจวเสวียนมองดูรถม้าของเฉินตันจูจากไป ก่อนจะรับม้าที่ชิงเฟิงนำมา ขึ้นม้าเคลื่อนตัวไปทางพระราชวัง
เฉินตันจูส่งหลิวเวยกลับจวนก่อน จากนั้นเคลื่อนตัวออกไปทางนอกเมือง ระหว่างทางนางมองไปยังทิศทางของพระราชวัง ถอนหายใจอย่างระอา แม่ทัพหน้ากากเหล็กพักอยู่ในพระราชวัง หากให้จู๋หลินไปขอร้องเขา เขาย่อมรับปากพานางเข้าวัง แต่แม่ทัพหน้ากากเหล็กช่วยนางได้เช่นนี้ นางไม่อาจรับได้อย่างไร้จิตใจ…เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับองค์ชายถูกทำร้าย
เวลานี้ทุกคนต่างหลีกเลี่ยง แม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือ หากเข้าไปพัวพันจะเป็นปัญหา
บางทีผู้ร้ายนั้นอาจกำลังวางกับดักรอคนจำนวนมากขึ้น
ผู้ร้ายนั้นย่อมต้องอยู่ภายในพระราชวัง ไม่แน่ว่าอาจเป็นผู้ที่เคยทำร้ายองค์ชายสามมาก่อน
องค์ชายสามเคยบอก เขารู้ว่าศัตรูคือผู้ใด เช่นนั้นเขาคงจะมีการระวังหรือไม่ เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเพราะไม่ทันระวัง?
เฉินตันจูถอนหายใจเบาๆ สิ่งที่นางทำได้คือรักษาโรค ถอนพิษช่วยคน แต่เวลานี้ถูกหญิงสาวเมืองฉีแย่งชิงไป…เมื่อครุ่นคิดถึงตรงนี้ นางกัดฟันทุบรถ เป็นเพราะโจวเสวียน โจวเสวียน! หากไม่ใช่เพราะเขา ตนเองย่อมอยู่ข้างตัวขององค์ชายสาม ถึงแม้จะไม่อาจป้องกันองค์ชายสามจากการถูกวางยาพิษได้ แต่ตนเองย่อมสามารถช่วยเหลือได้ทันเวลา เวลานี้ผู้ที่ติดตามเข้าวังย่อมต้องเป็นนาง
เฉินตันจูทุบรถไปหลายที จินตนาการว่ารถคือโจวเสวียน ทุบจนมือของตนเองเจ็บจึงพอใจ
ช่างเถิด สิ่งสำคัญคือความปลอดภัยขององค์ชายสาม
ถือว่าเป็นโชคชะตา เฉินตันจูมองไปยังพระราชวัง หญิงสาวเมืองฉียังคงปรากฏตัวขึ้น ต่อมานางจะเฉือนเนื้อถอนพิษให้องค์ชายสามหรือไม่ จากนั้นองค์ชายสามยอมสละร่างกายสละชีวิตเพื่อนาง...
“คุณหนู” อาเถียนเรียกขานอย่างระวัง
เฉินตันจูเบนสายตากลับมา วางม่านรถลง “ไปเถิด”
…
ห้องพระบรรทมของฮ่องเต้สว่างไสว ฮ่องเต้ยืนนิ่งอยู่ด้านนอกม่านของห้องพระบรรทม ห่างออกไปคือเหล่าองค์ชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ รวมไปถึงองค์รัชทายาทท่านอ๋องฉี และองค์รัชทายาทก็เสด็จมาด้วย
ไม่นานนัก ม่านถูกเปิดขึ้น หมอหลวงผมขาวที่สวมชุดขุนนางท่านหนึ่งเดินออกมา พร้อมกับหมอหลวงคนอื่นด้านหลังเขา
ร่างดุจภูผาของฮ่องเต้เคลื่อนไหวทันที เขาเดินเข้าไป “หมอหลวงจาง เป็นอย่างไร”
ใต้เท้าจางหมอหลวงใหญ่จากสำนักหมอหลวงสีหน้าอ่อนโยน น้ำเสียงผ่อนคลาย “อย่ากังวลพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท องค์ชายสามทรงไม่เป็นอันใดแล้ว”
ฮ่องเต้หลับตาลง ขันทีจิ้นจงพยุงเขาเอาไว้
“ขอบใจเจ้ามาก” ฮ่องเต้พูด น้ำเสียงสั่นเทาไม่อาจควบคุมได้ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ตระหนกมากเพียงใด
หมอหลวงจางก้มคำนับ ก่อนจะมองไปยังด้านหลัง “ครานี้องค์ชายสามสามารถพลิกร้ายกลายเป็นดีได้ เพราะสาวรับใช้คนนี้”
เหล่าหมอหลวงต่างหลบทาง ฮ่องเต้เห็นหญิงสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดที่อ่อนโยนผู้หนึ่งยืนก้มหน้าอยู่ เมื่อได้ยินหมอหลวงกล่าวถึง นางเงยหน้าขึ้นด้วยความตระหนก ก่อนจะรีบก้มหน้าลงอีกครั้งเมื่อเห็นฮ่องเต้ นางจึงคุกเข่าคำนับ
หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้แต่งกายเหมือนดั่งนางใน ฮ่องเต้ยังไม่ถาม องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉียืนขึ้นมาอย่างดีใจ “ฝ่าบาท นางเป็นน้องสาวจากตระกูลเสด็จย่าของกระหม่อม นางสามารถช่วยองค์ชายสามได้ ช่างดีเสียจริง”
ที่แท้ก็เป็นหญิงสาวเมืองฉี ฮ่องเต้ตอบรับ ก่อนจะให้สาวรับใช้ผู้นี้ลุกขึ้น ก่อนจะมองไปยังองค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีอีกครั้ง พูดด้วยความจริงใจและซาบซึ้ง “เส้าอัน ครานี้ขอบใจเจ้ามาก”
องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ พูดพร้อมน้ำตา “กระหม่อมปวดใจยิ่งนัก แค้นใจที่ไม่อาจรับความทรมานแทนองค์ชายสามได้”
องค์ชายห้าส่งเสียงไม่พอใจอยู่ด้านข้าง “บางคราโจรอาจตะโกนจับโจร ถอนพิษได้ ผู้ใดจะรู้ว่าจะวางยาพิษได้เหมือนกันหรือไม่”
สีหน้าขององค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีเปลี่ยนไปทันที ปิดบังใบหน้าด้วยความโศกเศร้า “ฝ่าบาท หัวใจของกระหม่อม ควักออกมา…”
ฮ่องเต้พูดด้วยความโกรธ “มู่หยง เจ้าพูดเหลวไหลอันใดกัน!”
องค์ชายห้าก้มหน้าไม่พูดสิ่งใดอีก องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีปิดหน้าสะอื้นเสียงเบา
ฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “พวกเจ้าออกไปคุกเข่าด้านนอก”
เหล่าองค์ชายลุกออกไปอย่างไม่กล้าพูดสิ่งใด ฮ่องเต้เห็นองค์รัชทายาทเดินออกไปทางด้านนอกด้วยจึง รีบเรียก “เจ้าตามไปทำอันใด”
องค์รัชทายาทดวงตาแดงก่ำ “ล้วนเป็นเพราะกระหม่อม…”
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” ฮ่องเต้พูด “เจ้าเฝ้าน้องสามของเจ้าอยู่ตรงนี้”
องค์รัชทายาทตอบรับ
ฮ่องเต้มองหญิงสาวเมืองฉีที่ยืนก้มหน้าอยู่ เอ่ย “เจ้าด้วย เผื่อซิวหยงเป็นอันใดขึ้นมาอีก”
หญิงสาวเมืองฉีโค้งตัว “หม่อมฉันน้อมรับพระราชโองการเพคะ”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง