ตอนที่ 257 คาดเดา
ฮ่องเต้เดินออกมา มองเหล่าองค์ชายที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกตำหนัก
องค์ชายสองสีหน้าตึงเครียด แต่ภายในดวงตาไม่กังวลมากนัก งานเลี้ยงครานี้เสด็จแม่ของเขาเป็นผู้บัญชา ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ปลอบประโลมพระสนมเสียนไปแล้ว ให้นางกลับไปพักผ่อน อีกทั้งยังให้สำนักหมอหลวงดูอาการให้พระสนมเสียน ให้นางหลับสบาย
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไม่โทษพวกเขาแม่ลูกแม้แต่น้อย
องค์ชายสี่สายตาล่อกแล่ก คุกเข่าอย่างไม่อยู่นิ่ง องค์ชายห้าท่าทางหงุดหงิด
ฮ่องเต้ราวกับสามารถได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดในใจ คงไม่พ้นองค์ชายสามร่างกายไม่ดี เกี่ยวอันใดกับพวกเขา
องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีหลั่งน้ำตาด้วยดวงตาแดงก่ำ…น้ำตานี้ไม่ต้องสนใจ ฮ่องเต้รู้ดี ถึงแม้แมวตัวหนึ่งในพระราชวังตาย องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีก็สามารถร้องไห้จนเป็นลมไปได้
“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่” ฮ่องเต้ถามเสียงทุ้ม “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าใช่หรือไม่!”
ถึงแม้บอกว่าไม่ใช่ยาพิษ แต่ขนมแปะก๊วยที่องค์ชายสามกินเข้าไปนั้น มองไม่ออกแม้แต่น้อยว่าเป็นขนมแปะก๊วย กลิ่นของแปะก๊วยแรงเช่นนั้นยังถูกปิดบังเอาไว้ ฮ่องเต้ลองลิ้มรสก็ไม่อาจได้กลิ่นของแปะก๊วยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ามีคนเจตนา
เหล่าองค์ชายร้องถึงความไม่เป็นธรรมขึ้นมาทันที
“เสด็จพ่อ กระหม่อมไม่รู้แม้แต่น้อย”
“กระหม่อมตั้งใจดีดพิณอยู่เสมอ”
“สิ่งใดเสวยได้ สิ่งใดเสวยไม่ได้ พี่สามรู้ดีกว่าพวกเรา เขาไม่ระวังเอง”
“อาจเพราะพี่สามเหน็ดเหนื่อยเกินไป จิตใจเหม่อลอย เฮ้อ ข้าบอกแล้วว่าร่างกายของพี่สามไม่ดี เหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ ควรมีเวลาพักผ่อนให้มาก ยังไปงานเลี้ยงอันใด”
“เป็นความผิดของข้าเอง ข้ามีโทษ”
“ใช่ เป็นความผิดของเจ้า ฉู่เส้าอัน เหตุใดคนที่เกิดอาการถึงไม่ใช่เจ้า”
เหล่าองค์ชายถกเถียงกัน
ฮ่องเต้ฟังจนรำคาญใจ จึงตะโกนออกมา “หยุด! พวกเจ้าล้วนอยู่ในเหตุการณ์ ผู้ใดก็หนีไม่พ้น”
องค์ชายห้าได้ยินจึงรีบพูด “เสด็จพ่อ อันที่จริงคนที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ยิ่งมีส่วนเกี่ยวข้อง เสด็จพ่อลองคิดดู พวกกระหม่อมอยู่ด้วยกัน จับตาซึ่งกันและกัน คนที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ทำสิ่งใด ไม่มีผู้ใดรู้…”
องค์ชายสี่พยักหน้าตาม “ใช่ๆ เสด็จพ่อ เวลานั้นโจวเสวียนไม่อยู่ในเหตุการณ์ ควรถามเขา”
ฮ่องเต้ชี้พวกเขา “กักบริเวณ ห้ามออกมาเป็นเวลาสิบวัน!”
เหล่าองค์ชายรวมทั้งองค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีล้วนถูกพาตัวลงไป เพียงแต่ไม่มีความเกรงกลัวหรือโกรธเคือง ตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากองค์รัชทายาท ทุกคนล้วนถูกกักบริเวณเป็นประจำ ไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก ส่วนองค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีที่โชคร้าย นอกจากไม่ร้องไห้แล้ว ยังดีใจเป็นอย่างมาก…
“ฉู่เส้าอันเจ้ายังยิ้มได้! เจ้าถูกชื่นชมว่ามีคุณงามความดีไม่ใช่หรือ แต่เวลานี้ก็ถูกลงโทษ”
“ฝ่าบาทลงโทษข้าแสดงว่าไม่ได้มองข้าเป็นคนนอก สั่งสอนข้าอย่างเข้มงวด ข้าย่อมดีใจ”
เหล่าองค์ชายจากไปด้วยความโหวกเหวก ภายนอกตำหนักกลับคืนสู่ความสงบ เหล่าองค์ชายสบาย แต่คนอื่นไม่สบาย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับองค์ชาย อีกทั้งยังเป็นองค์ชายสามที่ฮ่องเต้รักใคร่ที่สุด อีกทั้งเพิ่งถูกมอบหมายงานสำคัญ…
นึกถึงคลื่นลับภายในพระราชวังก่อนหน้านี้ เวลานี้คลื่นลับลูกนั้นกำลังถูกซัดขึ้นฝั่งแล้ว
ฮ่องเต้ยืนอยู่ด้านนอกตำหนักเป็นเวลานานด้วยสีหน้าตึงเครียด ขันทีจิ้นจงยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้างไม่กล้ารบกวน จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ด้านหน้ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินมาอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาท” โจวเสวียนคำนับ
ฮ่องเต้มองเขา “เป็นอย่างไร”
โจวเสวียนพูด “สำนักพระราชวังมีขันทีสองคนปลิดชีพตนเอง”
เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรไม่ต้องพูด ฮ่องเต้กระจ่างแล้ว มีคนเจตนาทำร้าย เขาหลับตาลง น้ำเสียงแหบพร่า “ซิวหยงผิดอันใด”
โจวเสวียนยิ้ม “คงผิดเพราะฝ่าบาทให้ความสำคัญ”
กล้าพูดเสียจริง! ขันทีจิ้นจงรู้สึกเย็นสันหลังอย่างมาก ผู้ใดจะรู้สึกถูกคุกคามที่องค์ชายสามถูกให้ความสำคัญจนวางแผนทำร้าย แต่เขาไม่กล้าเงยหน้าแม้แต่น้อย ยิ่งไม่กล้ามองเข้าไปภายในตำหนัก…
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “สองคนนั้นทิ้งหลักฐานไว้หรือไม่”
โจวเสวียนส่ายหัว “ไม่มี นอกจากความตาย ไม่มีร่องรอยใด”
“ไม่มีหลักฐานก็อย่าพูดเหลวไหล” ฮ่องเต้ตำหนิเขา “แต่ว่า ความสำคัญที่เจ้าพูดคงจะเป็นสาเหตุ เรื่องที่ข้าให้ซิวหยงทำ ก่อให้เกิดความไม่พอใจของคนจำนวนมาก”
ภายใต้การสนับสนุนของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ฮ่องเต้ตัดสินใจผลักดันนโยบายคัดเลือกขุนนางด้วยความสามารถ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหล่าชนชั้นสูงเคียดแค้นที่สุด เวลานี้มีองค์ชายสามเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้ ความเคียดแค้นเหล่านั้นย่อมรวมอยู่บนตัวของเขา
โจวเสวียนพูด “มีความเป็นไปได้ยิ่งนัก เช่นนั้นจับมาประหารเสียกลุ่มหนึ่งเพื่อเป็นแบบอย่าง”
ฮ่องเต้หัวเราะออกมาด้วยความโกรธ “ไม่มีหลักฐานจะสังหารคนได้อย่างไร” เขาขมวดคิ้วมองโจวเสวียน “เวลานี้ความอาฆาตของเจ้ามีมาก? เหตุใดจึงอยากสังหารคนอยู่เรื่อย”
โจวเสวียนพูด “ที่ไหนกัน ฝ่าบาท กระหม่อมแค่รู้สึกว่า สำหรับบางเรื่องบางคนแล้ว การสังหารเหมาะสมกว่า”
ฮ่องเต้มองใบหน้ารูปงามของชายหนุ่มตรงหน้า กลิ่นอายความอ่อนโยนของเขานับวันยิ่งสลายไป ความอาฆาตในดวงตาของเขาไม่อาจปิดบังได้แล้ว บัณฑิตผู้หนึ่งถูกสงครามแทรกซึมมาหลายปี…ผู้ใหญ่ก็คงไม่อาจรักษาเจตนาเดิมของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นโจวเสวียนยังอายุน้อยเช่นนี้ ภายในใจของเขาโศกเศร้ายิ่งนัก หากโจวชิงยังอยู่ อาเสวียนคงไม่กลายเป็นเช่นนี้
“อาเสวียน” ฮ่องเต้พูด “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ แม่ทัพหน้ากากเหล็กกลับมาแล้ว ให้เขาพักผ่อนสักระยะ เจ้าไปดูแลทางด้านค่ายทหารเถิด”
โจวเสวียนไม่ได้ดึงดัน ตอบรับก่อนจะเดินจากไป
ฮ่องเต้มองร่างของโจวเสวียนที่หายลับไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ถอนหายใจเสียงเบา “ค่ายทหารก็ไม่อาจให้อาเสวียนอยู่แล้ว ถึงเวลาเปลี่ยนที่ให้เขาแล้ว”
บทสนทนานี้ขันทีจิ้นจงสามารถรับต่อได้ เขาพูดเสียงเบา “ฮองเฮาเอ่ยปากเรื่องงานแต่งขององค์หญิงจินเหยากับอาเสวียนต่อทางโจวฮูหยินแล้ว ทางด้านโจวฮูหยินและคุณชายใหญ่เหมือนไม่คัดค้าน”
เรื่องนี้ฮ่องเต้ย่อมรู้ดี โจวฮูหยินและคุณชายใหญ่ไม่คัดค้าน แต่ก็ไม่ได้ตกลง เพียงแค่บอกว่าโจวเสวียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา เรื่องแต่งงานให้โจวเสวียนตัดสินใจเอง…ไร้เยื่อใยจนทำให้คนปวดใจ
ถึงแม้พี่น้องสองคนนี้นิสัยแตกต่างกัน แต่ความดื้อรั้นเหมือนกันอย่างมาก ฮ่องเต้เจ็บปวดใจ “เรื่องแต่งงานข้าจะหาโอกาสถามเขา แต่งงานมีครอบครัว จิตใจของเขาคงมั่นคงขึ้น ตั้งแต่บิดาของเขาไม่อยู่ จิตใจของเด็กคนนี้มักลอยอยู่เรื่อย”
ขันทีจิ้นจงเห็นอารมณ์ของฮ่องเต้ผ่อนคลายลงแล้ว จึงรีบพูด “ฝ่าบาท ฟ้ามืดแล้ว อากาศเย็นแล้ว เข้าไปด้านในเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าเดินเข้าตำหนักไป ภายในตำหนักเงียบสงบไร้ผู้คน หมอหลวงสองคนต้มยาอยู่ห้องด้านข้าง องค์รัชทายาทนั่งอยู่ด้านหน้าม่านของห้องบรรทมคนเดียว มองม่านหนาหนักอย่างเหม่อลอย
“จิ่นหยง” ฮ่องเต้เรียกเสียงเบา “เจ้าไปพักเถิด”
องค์รัชทายาทดึงสติกลับมา ลุกขึ้น ราวกับต้องการยืนกรานจะอยู่ต่อ แต่นาทีถัดมาดวงตาหม่นหมอง ราวกับรู้สึกว่าตนเองไม่ควรอยู่ต่อ เขาก้มหน้าตอบรับ ทำท่าจะเดินจากไป ฮ่องเต้ไม่อาจทนดูเขาเป็นเช่นนี้ได้จึง เรียกขานเขาเอาไว้ “จิ่นหยง เจ้ามีสิ่งใดจะพูดหรือ”
องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้น “เสด็จพ่อ ถึงแม้กระหม่อมเป็นกังวลเรื่องร่างกายของน้องสาม แต่กระหม่อมขอให้เสด็จพ่อโปรดให้น้องสามดูแลเรื่องนโยบายคัดเลือกขุนนางด้วยความสามารถต่อไป เช่นนี้ย่อมเป็นการปลอบที่ดีที่สุดสำหรับน้องสาม อีกทั้งยังเป็นการตักเตือนผู้อื่นได้ดีที่สุด”
ฮ่องเต้มองใบหน้าขององค์รัชทายาท พยักหน้าอย่างหนักแน่น “เจ้าพูดถูก เมื่ออาซิวฟื้นขึ้นมา แม้จะต้องใช้การพยุง ข้าก็จะให้คนพยุงเขาขึ้นราชสำนัก”
ดวงตาที่กังวลขององค์รัชทายาทปรากฏรอยยิ้ม โค้งคำนับ “กระหม่อมขอทูลลา เสด็จพ่อต้องรักษาพระองค์ด้วย”
ฮ่องเต้พยักหน้า มององค์รัชทายาทจากไป ก่อนจะเปิดม่านเดินเข้าห้องบรรทม
องค์ชายสามหลับใหลอยู่บนเตียงมังกร ขันทีข้างกายและหญิงสาวเมืองฉีคนนั้นยังคงยืนรับใช้อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นฮ่องเต้เข้ามา ทั้งสองคนต่างรีบคำนับ ฮ่องเต้บอกให้พวกเขาไม่ต้องมากพิธี เอ่ยถามหญิงสาวเมืองฉี “เป็นอย่างไร” พูดพลางก้มดูองค์ชายสาม องค์ชายสามยังคงสลบอยู่ “สลบไม่ฟื้นหรือ”
หญิงสาวเมืองฉีพูดเสียงเบา “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัยเพคะ หม่อมฉันใช้ยาประโลมจิตใจต่อองค์ชายสาม เมื่อผ่านคืนนี้ พรุ่งนี้ย่อมฟื้นขึ้นมาเพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า ในขณะที่กำลังจะยืนตัวตรง เขาเห็นองค์ชายสามที่นอนสลบขมวดคิ้ว ร่างกายมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ภายในปากพึมพำบางสิ่ง
ฮ่องเต้เข้าใกล้ทันที ก่อนจะได้ยินองค์ชายสามพึมพำ “งดงามมาก แกว่งได้งดงามมาก”
หมายความว่าอย่างไร ฮ่องเต้ถามเสี่ยวชวีขันทีผู้ติดตามขององค์ชายสามด้วยความฉงน เสี่ยวชวีผงะ สายตาหลบหลีกเล็กน้อย ก้มหน้าทูล “ตอนที่องค์ชายอยู่ในจวนท่านโหว ได้เห็นการละเล่นแกว่งชิงช้าพ่ะย่ะค่ะ”
แกว่งชิงช้าหรือ การละเล่นเช่นนี้องค์ชายสามย่อมไม่อาจเล่นได้ อันตรายเกินไป ดังนั้นเมื่อได้เห็นจึงชอบใจและดีใจอย่างมาก ฮ่องเต้มองใบหน้าซีดเซียวขององค์ชายสามที่สลบไปอีกครั้ง ภายในใจเศร้าโศก
“รอเจ้าหายดี” เขาก้มตัวราวกับกล่อมเด็กน้อย “ข้าจะให้เจ้าเล่นชิงช้าในวังสักครั้ง”