ตอนที่ 286 ไม่ใช่คู่ต่อสู้
ฟางเว่ยกั๋วขมวดคิ้วอย่างนึกรังเกียจ “ทำไมหรงหรงถึงมาขอยืมเงินคุณอีกแล้วล่ะ? หล่อนไปสร้างปัญหาอะไรมา?”
หวังเหวินฟางทอดถอนหายใจเบา ๆ “คุณเดาถูกแล้ว หล่อนไปสร้างเรื่องให้หลินม่ายขุ่นเคืองใจ จั๋วหรานรู้เข้าก็โกรธมาก จัดการใช้เส้นสายที่ตัวเองมีไล่หล่อนกับพ่อแม่ออกจากงานทั้งสามคน ครอบครัวของพวกเขาไม่มีงานการที่มั่นคง เลยมาขอหยิบยืมเงินจากฉัน แต่ฉันปฏิเสธไป ปล่อยให้พวกเขาหาทางดิ้นรนกันเอง”
หล่อนตั้งใจแสดงให้ฟางเว่ยกั๋วเห็นว่าหล่อนเชื่อฟังเขา ตราบใดที่เขาไม่ยินยอมให้ครอบครัวของพี่ชายหล่อนหยิบยืมเงิน หล่อนก็จะไม่ให้ยืมโดยพลการ
แต่หล่อนคงนึกไม่ถึงว่าประโยคนี้จะส่งผลย้อนกลับ ทำให้ฟางเว่ยกั๋วยิ่งคิดมากเข้าไปใหญ่
ก่อนหน้านี้หล่อนเคยควักเงินของเขาให้ครอบครัวของพี่ชายหยิบยืม ทำตัวเป็นคนใจกว้าง แม้กระทั่งเงินหนึ่งหมื่นห้าพันยังยอมหยิบยื่นให้อีกฝ่ายโดยไม่ลังเล
มาตอนนี้กลับไม่ยอมให้ครอบครัวของพี่ชายหยิบยืมเงินเสียอย่างนั้น
ผู้หญิงคนนี้คิดว่าเขาเป็นคนโง่หลงเชื่อคนง่ายหรือยังไงกัน?
หลังจากหวังเหวินฟางพูดจบ หล่อนก็รอดูปฏิกิริยาของฟางเว่ยกั๋ว แต่เขากลับไม่ตอบสนองอะไรเลย
หล่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นว่าเขากำลังหลับตาพริ้มพลางเอนหลังพิงโซฟา ท่าทางดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากพูดพล่ามต่อไป
“หรงหรงนี่ก็ช่างไม่รู้ประสีประสาเอาซะเลย สร้างปัญหาให้ใครไม่ว่า ดันไปสร้างปัญหาให้กับหลินม่าย หล่อนเป็นถึงคนรักของจั๋วหราน เพื่อปกป้องหล่อน จั๋วหรานถึงกับยอมมีปากเสียงกับพ่อแท้ ๆ ของเขา ไปหาเรื่องหลินม่ายแบบนี้ จั๋วหรานจะเอาเรื่องครอบครัวหล่อนจนหมดอนาคตก็ไม่แปลกหรอก!”
ฟางเว่ยกั๋วยังคงไม่ตอบกลับอะไร
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งเหยิงของคนตระกูลหวัง
หวังเหวินฟางแอบกัดฟันกรอด
ในความคิดของหล่อน ตราบใดที่หล่อนประณามว่าสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวของพี่ชายตกงานกันทั้งบ้าน เป็นเพราะหวังหรงไปทำให้หลินม่ายไม่พอใจ ฟางจั๋วหรานจึงยื่นมือเข้ามาแก้แค้นแทน ฟางเว่ยกั๋วจะต้องโกรธมากแน่ อาจถึงขั้นเรียกฟางจั๋วหรานมาคุยให้รู้เรื่อง ไม่คาดคิดว่าเขาจะเพิกเฉยเสีย
หล่อนคงลืมนึกไปว่าก่อนหน้านี้หวังหรงก็เคยทำลายอนาคตของฟางถิงมาแล้วครั้งหนึ่ง
ถึงแม้ตอนนั้นฟางเว่ยกั๋วจะเข้าข้างหล่อน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เกลียดชังหวังหรง
ดังนั้นเมื่อหวังหรงมีปัญหาอีกครั้ง ฟางเว่ยกั๋วจึงไม่อยากพาตัวเองเข้าไปยืนหยัดเพื่อหล่อนอีก
เมื่อเห็นว่าประโยคใส่ไฟของตัวเองไม่เกิดประโยชน์ หวังเหวินฟางจึงกลอกตา วางตะเกียบในมือลง แล้วเก็บถ้วยชามอย่างเงียบ ๆ
ฟางเว่ยกั๋วขมวดคิ้วและลืมตาขึ้นทันที พอมองไปทางโต๊ะอาหารแล้วเห็นว่าข้าวในชามของอีกฝ่ายยังพร่องไปไม่ถึงครึ่ง เขาก็ถามว่า “ทำไมคุณกินน้อยจังล่ะ?”
หวังเหวินฟางทำหน้าบึ้ง “ครอบครัวของพี่ชายฉันตกงาน จะให้ฉันกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยได้ยังไง!”
ฟางเว่ยกั๋วเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดว่า “อีกประมาณสองวัน ผมจะหาทางให้สมาชิกในครอบครัวของพี่ชายคุณได้กลับเข้าไปทำงานอีกครั้ง”
ในที่สุดหวังเหวินฟางก็รู้สึกดีขึ้น
ถึงตอนนี้ฟางจั๋วหรานจะยังไม่ได้รับการสั่งสอนโดยตรงจากฟางเว่ยกั๋ว แต่ก็เป็นเรื่องดีที่ครอบครัวของพี่ชายหล่อนจะได้มีงานทำ อย่างน้อยพวกเขาจะได้ไม่มาขอยืมเงินหล่อนอีก
หล่อนถาม “คุณวางแผนจะฝากครอบครัวของพี่ชายฉันให้ทำงานในองค์กรไหนคะ?”
ฟางเวายกั๋วนิ่งคิด “สำนักงานการประปาก็แล้วกัน สวัสดิการไม่ได้แย่ไปกว่าสำนักงานการไฟฟ้าสักเท่าไหร่”
หวังเหวินฟางพยักหน้าหงึกหงักด้วยความพึงพอใจ
ดึกมากแล้ว สองสามีภรรยานอนเคียงข้างอยู่บนเตียงเดียวกัน หวังเหวินฟางเป็นฝ่ายริเริ่มพลิกตัวเข้าไปกอดฟางเว่ยกั๋วก่อน
ที่ผ่านมา เมื่อใดก็ตามที่หล่อนต้องการร้องขออะไรจากเขา แค่ทำแบบนี้ ก็จะบรรลุเป้าหมายได้อย่างไม่ยากเย็น
แค่หล่อนเอ่ยปากขอ เมื่ออยู่บนเตียง ไม่มีอะไรที่เขาให้หล่อนไม่ได้
แตกต่างจากคืนนี้ ทันทีที่หล่อนเริ่มกอดก่ายเขา ก็ถูกฟางเว่ยกั๋วผลักออกไป ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขยะแขยง “เราสองคนต่างก็อายุมากแล้วนะ ยังคิดถึงเรื่องพรรค์นี้อยู่เหรอ!”
คำพูดของเขาทำให้หวังเหวินฟางหน้าแดงก่ำ ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมนอนนิ่งอย่างสงบ
ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ในเมื่อหล่อนแก่ตัวลงแล้ว การพึ่งพารูปร่างหน้าตาของตัวเองเพื่อยั่วยวนฟางเว่ยกั๋วให้ยอมสยบคงเป็นไปไม่ได้อีก
ทันใดนั้นหล่อนพลันตระหนักถึงวิกฤตบางอย่าง แต่กลับไม่รู้ว่าควรแก้ไขวิกฤตนั้นอย่างไรดี
เมื่อวานนี้ เนื่องจากครอบครัวของหวังหรงไม่ประสบความสำเร็จในการขอยืมเงินจากหวังเหวินฟาง
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาจึงออกไปดักรอหวังเหวินฟางที่ระหว่างทางไปทำงานของอีกฝ่ายอีกครั้ง
หวังเหวินฟางนึกรำคาญตาที่เห็นว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ของตัวเองมาดักรออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อขอเงินจากตัวเอง
หล่อนสะบัดเสียงใส่ “พวกพี่เห็นว่าฉันเป็นเหมืองทองคำ หรือเห็นว่าฉันพิมพ์ธนบัตรได้เองกันแน่ ถึงได้วิ่งโร่มาขอเงินจากฉันทีละห้าร้อยหยวนแบบนี้ ใช่ว่าพวกพี่ไม่รู้สักหน่อย สำนักงานศิลปะและวัฒนธรรมประจำเมืองที่ฉันทำงานอยู่จ่ายเงินเดือนให้ฉันแค่ห้าสิบหกสิบหยวน แถมฉันยังต้องจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูให้แม่ แค่นี้ก็มีภาระหนักพออยู่แล้ว พวกพี่ยังกล้าแบมือขอเงินจากฉันอยู่เหรอ?!”
แม่ของหวังหรงกลอกตา “อย่าสร้างภาพว่าตัวเองยากจนไปหน่อยเลย คนอย่างเธอไม่มีวันจนหรอก สามีเธอเป็นถึงหัวหน้าขององค์กรขนาดใหญ่ ได้เงินเดือนละไม่ต่ำกว่าหลายร้อยหยวน ต่อให้เธอแบ่งเงินเดือนทั้งหมดมาจุนเจือเครือญาติ ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับชีวิตครอบครัวของเธอซะหน่อย”
ใบหน้าของหวังเหวินฟางแดงก่ำด้วยความโกรธ “ถึงครอบครัวฉันจะไม่สนใจพึ่งพาเงินเดือนอันน้อยนิดที่ฉันได้รับ แต่ฉันก็เลี้ยงดูแม่เป็นอย่างดี ทำไมต้องเลี้ยงดูพวกพี่ด้วย?”
แม่หรงโต้กลับ “ใครบอกว่าเราอยากให้เธอมาเลี้ยงดู? ถ้าเราไม่มีปัญหา เรื่องอะไรจะมาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากเธอกัน?”
หวังเหวินฟางรู้จักธาตุแท้ของพี่สะใภ้ตัวเองเป็นอย่างดี
หล่อนดูเหมือนมีภูมิหลังชาติตระกูลที่ดี วางตัวสง่างาม แต่ทั้งหมดนั่นเป็นแค่การเสแสร้ง
ครอบครัวเดิมของอีกฝ่ายเคยทำงานเป็นกรรมกรอยู่แถวท่าเทียบเรือ แน่นอนว่านิสัยค่อนไปทางตลาดล่าง ถึงอาศัยอยู่ในตัวเมืองมานาน แต่ความมีอารยะกลับไม่เคยซึมซับเข้าไปในกมลสันดาน
หลังจากแต่งงานกับพี่ชายของหล่อน และภายใต้การจัดแจงของฟางเว่ยกั๋ว ผู้หญิงคนนี้ถึงกลายมาเป็นพนักงานฝ่ายปฏิบัติการระดับล่างในสำนักงานการไฟฟ้า การวางตัวจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
แต่ไม่ว่าอย่างไร หวังเหวินฟางก็ยังนึกดูถูกพี่สะใภ้ของตัวเองอยู่วันยังค่ำ
พอเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มพูดจาเหน็บแนม หล่อนก็หงุดหงิดขึ้นมา พูดสวนไปอย่างหมดความอดทน “พอได้แล้ว! ฉันไม่มีเงินติดตัวมากขนาดนั้นหรอกนะ รออีกสักสองวัน เหล่าฟางจะหาทางจัดการให้พวกพี่ได้เข้าไปทำงานในสำนักงานการประปา เพราะฉะนั้นรอฟังข่าวดีอยู่เฉย ๆ เถอะ!”
ได้ยินแบบนั้นครอบครัวหวังหรงจึงยอมหลีกทาง ปล่อยให้หวังเหวินฟางไปทำงาน
ถึงแม่ของหวังหรงจะยังมีเงินเก็บก้อนหนึ่งอยู่ในมือ แต่หล่อนตั้งปณิธานไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะไม่หยิบมันออกมาใช้จ่าย
หวังเหวินฟางไม่ให้เงินแล้วอย่างไร? แค่เกาะแม่เฒ่าหวังกินเสียก็สิ้นเรื่อง
แม้แม่เฒ่าหวังจะไม่ยินยอมเลี้ยงดูพวกเขาในทุกวิถีทาง แต่ก็คงใจแข็งอยู่ได้ไม่นานหรอก นางจะปฏิเสธไม่ให้ความช่วยเหลือครอบครัวของลูกชายไปตลอดได้อย่างไร
ต่อให้ทำแบบนั้นได้ ก็ห้ามครอบครัวของลูกชายอุปโภคบริโภคสิ่งต่าง ๆ ร่วมกับตัวเองไม่ได้อยู่ดี
ในเมื่ออีกฝ่ายรับปากว่าครอบครัวของพวกเขาจะได้งานใหม่ในอีกสองวัน เช่นนั้นก็อดใจรอต่อไปอีกหน่อยเถอะ
สองวันต่อมา ฟางเว่ยกั๋วใช้เส้นสายฝากฝังตำแหน่งงานได้สำเร็จ เขาพาสมาชิกของครอบครัวหวังหรงเข้าทำงานในสำนักงานการประปาได้ในที่สุด
ถึงไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนก และเป็นแค่พนักงานฝ่ายปฏิบัติการทั่วไป แต่ครอบครัวของหวังหรงต่างก็พึงพอใจมาก
เมื่อไหร่ก็ตามที่ชีวิตตกต่ำลงเรื่อย ๆ เวลานั้นถึงจะตระหนักว่าการมีงานทำนั้นสำคัญไฉน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานดี ๆ ที่มีเงินเดือนสูงลิ่วแบบนี้
ก่อนหน้านี้พวกเขาอดวิตกกังวลไม่ได้ ด้วยกลัวว่าการที่พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจำคุกของหวังเฉียง อาจทำให้สำนักงานการประปาไม่ยอมรับพวกเขาเข้าทำงาน
นึกไม่ถึงว่าฟางเว่ยกั๋วจะมีความสามารถมากขนาดนี้ มากถึงขั้นที่สามารถฝากให้พวกเขาได้เข้าทำงานในสำนักงานการประปา
สมาชิกทั้งสามของครอบครัวหวังหรงใจชื้นขึ้นมา เพราะในที่สุดก็ไม่ต้องทนอดอยากอีกต่อไป
ทว่าสิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงยิ่งกว่า คือการที่พวกเขาเพิ่งจะทำงานในสำนักงานประปาได้แค่ครึ่งวันเช้า ครึ่งวันบ่ายกลับถูกเชิญออกเสียดื้อ ๆ
เหตุผลก็เพราะสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพวกเขาถูกระวางโทษจำคุก ซึ่งขัดต่อระเบียบการจ้างงาน
ครอบครัวของหวังหรงรีบบอกข่าวร้ายนี้ให้หวังเหวินฟางได้รับรู้
หวังเหวินฟางก็ส่งต่อข่าวร้ายนี้ให้กับฟางเว่ยกั๋วทันที
ฟางเว่ยกั๋วต่อสายตรงโทรถามเจ้าพนักงานอาวุโสของสำนักงานการประปา ที่เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดหาตำแหน่งงานให้กับครอบครัวของหวังหรง
เจ้าพนักงานอาวุโสคนนั้นก็คือเส้นสายของเขาในสำนักงานการประปานั่นเอง
อีกฝ่ายบอกเขาว่าศัลยแพทย์ที่มีชื่อว่าฟางจั๋วหราน ได้ส่งเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการว่าจ้างงานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของสำนักงานการประปาต่อนายกเทศมนตรีโดยตรง ดังนั้นทางสำนักงานจึงต้องเชิญครอบครัวของหวังหรงออกจากงานโดยทันที
เจ้าพนักงานอาวุโสคนนี้ไม่พอใจมาก กล่าวหาฟางเว่ยกั๋วสารพัดว่าไร้มนุษยธรรม จงใจทำให้ชื่อเสียงด้านการทำงานของเขาต้องแปดเปื้อน จนเขาได้รับผลกระทบมากมาย
ฟางเว่ยกั๋วจึงต้องจ่ายเงินปิดปากเขาเป็นจำนวนมาก ทำให้เขายอมปล่อยวางเรื่องนี้อย่างไม่เต็มใจนัก
หวังเหวินฟางถามอย่างกระวนกระวาย “เราควรทำยังไงดีคะ?”
ฟางเว่ยกั๋วชายตามองหล่อน “รายชื่อสมาชิกครอบครัวของพี่ชายคุณถูกส่งตรงถึงมือนายกเทศมนตรีแล้ว ผมคงมอบหมายให้ใครจัดหาตำแหน่งงานให้พวกเขาไม่ได้อีก”
หวังเหวินฟางพยายามขอร้อง “งั้นคุณช่วยพูดกับจั๋วหรานให้หน่อยซิคะ ให้เขาละเว้นครอบครัวของพี่ชายฉันซะที”
ฟางเว่ยกั๋วเองก็ตั้งใจว่าจะพูดคุยกับลูกชายคนโตเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะหวังเหวินฟางขอร้อง แต่เป็นเพราะเขายอมทนให้ลูกชายคนโตหยามหน้าเขาไม่ได้ต่างหาก
เขาโทรศัพท์หาฟางจั๋วหรานด้วยสีหน้ามืดมน
ฟางจั๋วหรานนิ่งฟังน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของฟางเว่ยกั๋วผ่านทางโทรศัพท์อย่างเงียบ ๆ ก่อนจะกรอกเสียงตอบกลับไป “ใครสั่งสอนให้หลานสาวของภรรยาพ่อมาใส่ร้ายม่ายจื่อกันล่ะ นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับแล้ว!”
ฟางเว่ยกั๋วพูดด้วยความโกรธ “แกปฏิบัติกับครอบครัวของหวังหรงแบบนี้ เพราะเห็นแก่คนนอกงั้นเหรอ?”
ฟางจั๋วหรานโต้กลับ “ในสายตาของพ่ออาจมองม่ายจื่อเป็นคนนอก แต่ในสายตาของผม ผมกลับมองว่าครอบครัวของหวังหรงเป็นแค่คนนอก!”
หลังจากหยุดชะงักไปชั่วครู่ เขาก็พูดเสริม “ภรรยาของพ่อก็เหมือนกัน”
ฟางเว่ยกั๋วโกรธมากจนสีหน้าเปลี่ยนเป็นถมึงทึง
ฟางจั๋วหรานยังคงพูดจาทิ้งระเบิดต่อไป “ทำไมพ่อถึงเอาแต่กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของผม ในเมื่อพ่อคิดว่าตัวเองมีความสามารถมากกว่าผม งั้นก็จัดการแก้แค้นให้ครอบครัวของหวังหรงเลยสิ พ่อคิดว่าการโทรมาตะคอกใส่ผมแบบนี้จะทำให้ผมกลัวอย่างนั้นเหรอ? อย่าลืมว่าเจ้านายของพ่อป่วยเป็นโรคหัวใจ สักวันหนึ่งเขาต้องเข้ารับการผ่าตัดทำบายพาสหัวใจกับผม ขอแค่ผมพูดอะไรกับเขาไม่กี่ประโยคเท่านั้น คิดว่าตำแหน่งที่พ่อนั่งอยู่จะมั่นคงไปได้ตลอดหรือเปล่าล่ะ?”
พูดจบแล้ว เขาก็กดวางสาย
เขาจินตนาการได้เลยว่าฟางเว่ยกั๋วที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของปลายสายต้องโกรธมากจนแทบอยากจะฆ่าเขาทิ้ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
อีกด้านหนึ่ง ฟางเว่ยกั๋วไม่ได้แค่โกรธเป็นฟืนไฟ แต่ยังรู้สึกหวั่นกลัว
ลูกชายคนโตของเขาไม่ได้มีแค่มีดผ่าตัด ไม่ได้มีแค่ทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังมีวิธีการที่ร้ายกาจกว่าเขาหลายเท่าตัว เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายอีกต่อไป
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อยากให้ตัวเองและครอบครัวอยู่รอดก็ต้องยอมจมแล้วแหละนังหรง ทำอะไรไว้ก็ต้องยอมรับผลกรรม ไม่เลือกงานไม่ยากจนนะจ๊ะ
ไหหม่า(海馬)