ลูกบาสเกตบอลวาดเป็นเส้นโค้งขนาดใหญ่ และเข้าไปในห่วง เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังมาจากทั่วสารทิศ
“เยี่ยม!”
“ส่งมาทางนี้”
ฟิลลิปที่ประสบความสำเร็จกับการโยนลูกที่เหมือนกับภาพวาดส่งลูกบอลให้เบาๆ
“ฟิลลิป!”
เสียงที่เรียกจากด้านหลังเรียกให้ฟิลลิปหันหน้าไป คนที่ยืนอยู่ตรงรั้วชี้ไปที่ข้างๆ เป็นเจน่าที่ทำหน้าบึ้งตึงนิดหน่อยนั่นเอง
“ฉันเรียกนายตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ เหมือนนายจะไม่ได้ยิน”
ฟิลลิปใช้เสื้อยืดเช็ดเหงื่อพร้อมกับตอบว่า “งั้นเหรอ” ก่อนจะยิ้มให้ พอเห็นใบหน้าที่ยิ้มอย่างเจิดจรัสมากกว่าปกติภายใต้แสงแดดที่สาดส่องลงมา ใบหน้าของเจน่าก็ค่อยๆ ดีขึ้น
“วันนี้นายจะไปกินข้าวด้วยกันนี่”
“อย่างนั้นเหรอ ขอโทษนะ”
เขาไม่ได้รู้สึกขอโทษเลยสักนิด เขาไม่เคยสัญญาอะไรแบบนั้นเลยสักครั้ง หลังจากมีเซ็กซ์ด้วยกันเมื่อวาน เจน่าก็ถามว่า “พรุ่งนี้ไม่กินข้าวกลางวันด้วยกันหน่อยเหรอ” และเขาก็แค่ตอบว่า “ถ้ามีเวลา” เท่านั้น
“ฉันรออยู่นะ”
เจน่าเร่งฟิลลิป
เธอเป็นราชินีของทีมเชียร์ลีดเดอร์ เป็นเพื่อนที่สนิทกับโคลอี้ที่สุด และในขณะเดียวกันพวกเธอก็เป็นคู่แข่งกันด้วย ตอนนี้เป็นเวลาที่โรงอาหารของโรงเรียนแออัดจอแจที่สุด เธอตั้งใจจะลากฟิลลิปไปที่โรงอาหารในเวลานี้อย่างแน่นอน
“รีบไปกันเถอะ”
เจน่าดึงมือของฟิลลิป
“การแข่งขันยังไม่จบเลยนะ”
แม้ฟิลลิปจะยิ้มราวกับลำบากใจให้ แต่เธอกลับไม่แม้แต่จะทำเป็นได้ยิน
“นี่เป็นเกมที่นายเล่นเอาสนุกเฉยๆ นี่ เกมแบบนั้นสำคัญกว่าฉันเหรอ”
“ฮ่าฮ่า ไม่มีทางน่า”
แม้เกมการแข่งขันบาสเกตบอลจะไม่สำคัญ แต่แทนที่จะพูดให้ชัดเจนกว่า “ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเธอ” เขากลับยิ้มพอเป็นพิธี
“งั้นก็รีบไปกันเถอะ”
เธอดึงมือของฟิลลิป สำหรับเจน่าที่มีนิสัยชอบแข่งขันในทุกเรื่อง ไม่มีถ้วยรางวัลอะไรจะดีเท่าฟิลลิป เลวินอีกแล้ว และฟิลลิปก็ตระหนักได้ว่าชื่อที่ตนเลือกตามชอบใจเมื่อวานนี้เป็นตัวเลือกที่ผิดขนาดไหน
“ทำอะไรอยู่ เร็วสิ”
เธอเร่งฟิลลิปอีกครั้ง
เหี้ยเอ๊ย
ฟิลลิปยิ้มอย่างงดงามก่อนจะก่นด่าในใจ เขารู้ดีประมาณหนึ่งว่าเจน่ามีนิสัยแบบนี้ เพราะเธอเป็นคนประเภทที่ไม่เคยพลาดที่หนึ่งของชั้นปีเลย ทั้งๆ ที่รู้แต่ทำไมเขาถึงยังเลือกนะ
“แล้วนายจะให้ใครเป็นคู่ควงในงานปาร์ตี้วันเกิดของนายเหรอ”
เจน่าเอ่ยถามพลางเบิกตาโต เด็กสาวที่มีดวงตาและเส้นผมสีดำเพราะเป็นลูกเสี้ยวที่ได้รับสายเลือดของย่าที่เป็นชาวเอเชียตะวันออกมานั้นเป็นสาวงามที่สูงเพรียวและน่าดึงดูด
…ไม่เหมือนกันเลยสักนิด
ในตอนนั้นเขาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมองมาทางนี้จากอีกด้านหนึ่งของรั้ว พวกเขาสบตากัน
“ฟิลลิป ได้ฟังที่ฉันพูดอยู่หรือเปล่า”
“อ้อ ฟังอยู่”
ฟิลลิปตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไรพร้อมกับหันหน้าไปอีกครั้ง แม้จะสบตากัน แต่เด็กชายก็ทำเป็นไม่รู้จักและเดินต่อไป
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นน่ะ จู่ๆ ก็ทำหน้าตาน่ากลัวขึ้นมา”
ฟิลลิปพูดว่า “ฉันเหรอ” พร้อมกับทำตาหยี นี่เป็นใบหน้าที่งดงาม แม้จะไม่ใช่คำที่น่าจะเหมาะกับผู้ชายที่ได้รับหน้าที่หัวหน้าทีมฟุตบอลด้วยตัวแหน่งควอร์เตอร์แบ็ก แต่วินาทีนั้นเจน่าไม่สามารถนึกคำอื่นนอกจากคำนั้นได้อีกแล้ว
“ปะ เปล่า เพราะจู่ๆ แววตาของนายก็แข็งกระด้างน่ะ ช่างเถอะ…”
เจน่าพึมพำด้วยใบหน้าที่แดงพร้อมกับเงยหน้ามองฟิลลิป ฟิลลิปหัวเราะอย่างนุ่มนวลพร้อมกับเสยผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงขึ้นไป นักเรียนหญิงที่อยู่รอบๆ สนามกลั้นหายใจอย่างพร้อมเพรียงกัน การที่ฟิลลิป เลวินถูกเรียกว่าเจ้าชายของวู้ดสันไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีเหตุผล
ยิ่งสายตาของคนรอบข้างมองมาเท่าไร ความภาคภูมิใจก็แสดงบนใบหน้าของเจน่ามากขึ้นเท่านั้น
“ฟิลลิป อีกเดี๋ยว…”
ฟิลลิปเอ่ยเรียกชื่อของเธอว่า “เจน่า” ก่อนที่เธอจะทันได้พูดต่อ
“อะ อื้อ”
เด็กสาวที่ไม่มีทางแสดงอาการตื่นคนต่อหน้าคนอื่นตอบกลับด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง แล้วการทำตายิ้มของฟิลลิปก็ดำเนินต่อไป
***
“เฮ้อ…”
เด็กชายยืนทำหน้าเหนื่อยอยู่หน้าล็อกเกอร์และถอนหายใจออกมา เมื่อวานเขานอนอยู่บนเตียงเพื่อที่จะนอนหลับ แต่พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบนรถ เขาก็นอนลืมตาจนสว่างคาตาอยู่ทั้งคืน
เด็กชายใช้กระจกมองสำรวจฟันของตัวเองทันทีที่เข้าไปในบ้าน และก็พบว่าไม่มีอะไรติดอยู่เลย
ทำไมคนคนนั้นถึงได้ทำแบบนั้นนะ
แม้จะพยายามลองคิด แต่ก็ไม่ได้คำตอบ ในระหว่างที่คิดเด็กชายก็ลูบไล้ริมฝีปากที่นิ้วของฟิลลิปสอดเข้ามาอยู่หลายครั้งเหมือนเป็นความเคยชิน และทุกครั้งที่ทำแบบนั้นความร้อนที่เขาไม่รู้จักก็จะแผ่ซ่านไปทั่วริมฝีปาก และทำให้ใบหน้าของเขาร้อนวูบวาบ
[สุดสัปดาห์หน้าว่างไหม]
น้ำเสียงนุ่มนวลที่เอ่ยถามแบบนั้นวนเวียนอยู่ในหู
หากบอกว่าได้รับเชิญให้ไปงานปาร์ตี้วันเกิดของฟิลลิป เลวินใครจะเชื่อ แม้กระทั่งตัวเขาเองยังไม่เชื่อเลย
อันที่จริงเขาถึงกับไปถามแอรอนที่เป็นน้องชาย เพราะครุ่นคิดอย่างหนัก แน่นอนว่าเขาไม่ได้บอกว่าตัวเองได้รับเชิญ และไปบอกว่าเพื่อนได้รับเชิญให้ไปงานปาร์ตี้อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะธุระนั่นนี่ ทันทีที่เขาพูดจบ แอรอนก็ทำสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับกำชับอย่างเด็ดขาดว่า ‘อย่าไปที่นั่นนะพี่’ แม้เขาจะลองพูดต่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็ยังคงเหมือนเดิม
‘ยังไงก็ห้ามไปนะพี่’
เนื่องจากไม่มีพรสวรรค์ในการโกหก สุดท้ายเขาก็ได้แต่สัญญากับแอรอนว่าจะไม่ไป
…คงจะล้อเล่นล่ะมั้ง
นี่เป็นข้อสรุปที่ถึงแม้จะมีเหตุผลที่สุด แต่ก็เป็นข้อสรุปที่เขาไม่อยากจะยอมรับ
ตัวเขาที่ทั้งนอนไม่หลับและกลุ้มใจอยู่ทั้งคืนด้วยความคิดหลายๆ อย่างช่างน่าสมเพช เด็กชายถอนหายใจอย่างหนักอีกครั้งก่อนจะหยิบหนังสือที่อยู่กระเป๋าออกมา และเริ่มจัดล็อกเกอร์
ในขณะที่ปิดประตูล็อกเกอร์ เด็กชายก็ต้องกลั้นหายใจดัง เฮือก
“หวัดดี”
ฟิลลิปที่ยืนพิงล็อกเกอร์อยู่ยิ้มพร้อมกับเอ่ยทักทาย
“สะ สวัสดีครับ”
เด็กชายยิ้มอย่างประดักประเดิดพลางเอ่ยทักทาย หัวใจของเขาเต้นตึกตัก
“เมื่อกี้ฉันทักนายตรงนั้น”
ฟิลลิปชี้ไปทางสนามบาสเกตบอลพลางพูด
“คือ…ผมไม่เห็นครับ”
เด็กชายก้มหน้าลง เขาไม่มีพรสวรรค์ในการโกหก ยิ่งอยู่ต่อหน้ายิ่งแล้วใหญ่เลย
“งั้นเหรอ?”
ฟิลลิปครางรับในลำคอและยกยิ้มมุมปาก
“…ผมมีเรียน ขอตัวก่อนนะครับ”
เด็กชายพูดทั้งที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้น
“เรียนวิชาอะไรเหรอ”
“วิชาประวัติศาสตร์ครับ ของคุณครูเควิน”
“อ๋อ มิสเตอร์เควิน เมื่อวานนอนหลับเต็มอิ่มไหม”
วิชาประวัติศาสตร์ของคุณครูเควินได้ชื่อว่าเป็นวิชาที่น่าเบื่อ ถึงขนาดที่ทำให้เด็กนักเรียนเกินครึ่งห้องฟุบหลับ เพราะการออกเสียงที่เชื่องช้าและพึมพำจนได้ยินไม่ชัดเจน แม้จะรู้ว่าเป็นคำล้อเล่นที่พูดด้วยเหตุผลนั้น แต่เด็กชายกลับหน้าแดง เพราะรู้สึกเหมือนโดนจับได้ว่าเมื่อวานตัวเองนอนไม่หลับและกลุ้มใจอยู่ทั้งคืน
“…เอ่อ ครับ หลับสนิทดี…งั้นผมขอตัว…”
เขากอดหนังสือและตั้งใจจะเดินเข้าห้องเรียน แต่ฟิลลิปกลับขวางหน้าไว้
“เหมือนฉันจะยังไม่ได้ยินคำตอบเลยนะ”
“คำตอบอะไรเหรอครับ”
“ที่ว่าจะมาหรือไม่มาปาร์ตี้ไง”
“อ๋อ ครับ…คือ…”
เด็กชายพูดตะกุกตะกัก ไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร
แอรอนทั้งฉลาด เล่นกีฬาเก่ง และมีเพื่อนเยอะไม่เหมือนกับเขา คำแนะนำที่น้องชายให้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในโรงเรียนนั้นถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ และการที่เขาจะทำตามคำพูดของน้องในคราวนี้ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
“จะไม่มาเหรอ”
ฟิลลิปกอดอกพลางเอ่ยถาม เด็กชายเหงื่อแตกเพราะความตื่นตระหนก ปาร์ตี้ของฟิลลิป เลวินไม่ใช่ที่ที่คนอย่างเขาควรจะเข้าร่วม
“…ผมจะลองคิดแล้วมาบอกนะครับ”
“จะคิดถึงเมื่อไรล่ะ”
หางตาของฟิลลิปหยีลงอย่างนุ่มนวล นี่เป็นตายิ้มที่ทั้งงดงามและอ่อนโยน มีอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาด ฟิลลิปชวนซ้ำอีกครั้งจนมันมากเกินไปที่จะเป็นการล้อเล่น นี่อาจจะเป็นแค่การแกล้งเล่นก็ได้ แต่ถ้ามีจุดประสงค์เพื่อแกล้งเขาแล้ว การตื๊อถึงขนาดนี้ดูไม่สมกับเป็นอีกฝ่ายเลย
เหนือสิ่งใดก็คือ…
“ถ้าเป็นเพราะไม่มีชุดดีๆ จะใส่ ฉันจะซื้อให้ชุดหนึ่ง”
น่ากลัว เขารู้สึกกลัวใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฟิลลิปอย่างประหลาด
“ไม่ต้องหรอกครับ แค่พูดแบบนั้นผมก็รู้สึกขอบคุณแล้วครับ”
“นี่ไม่ใช่ใบหน้าที่รู้สึกขอบคุณหรือเปล่า ฮ่าฮ่า”
“เอ่อ คือ…”
เขาล้อเล่น หรือว่าพูดจริงกันนะ…เราควรจะตอบกลับยังไงดีล่ะ
แล้วใครบางคนก็จับไหล่ของเด็กชายที่กำลังตื่นตระหนกจนทำตัวไม่ถูก
“โอ๊ะ กระต่ายน้อยปีเตอร์ ดูเหมือนจะตัวเล็กลงไปอีกในช่วงวันหยุดนะเนี่ย”
เฟร็ดนั่นเอง แม้ปกติเขาไม่มีทางเป็นแบบนี้เด็ดขาด แต่ความคิดที่ว่าจะสามารถหลุดออกไปจากสถานการณ์นี้ได้ทำให้เด็กชายแสดงสีหน้ายินดีออกมาโดยไม่รู้ตัว
“วะ หวัดดี”
พอเด็กชายเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน เฟร็ดก็ร้องว่า “หา” และทำตาโตราวกับตกใจ แต่แล้วผมของเด็กชายที่ยิ้มอย่างไม่น่าเชื่อถือก็ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงทันที ด้วยเหตุนั้นร่างกายผอมแห้งของเด็กชายจึงโยกไปมา
“อย่านะ”
พอเด็กชายท้วงด้วยเสียงเล็กๆ เฟร็ดจึงผละมือออกไป
“นายทำการบ้านวิชาประวัติศาสตร์หรือยัง”
“…อื้อ”
เด็กชายสังเกตฟิลลิปที่ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะเอ่ยตอบ รอยยิ้มหายไปจากตาของฟิลลิปตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
“งั้นเหรอ? ขอดูหน่อยสิ”
เด็กชายรีบหยิบสมุดออกจากกระเป๋ามายื่นให้ เฟร็ดเปิดสมุดออกและแสยะยิ้มหลังจากที่อ่านเนื้อหา
“งั้นฉันขอยืมไอ้นี่หน่อยนะ แล้วเดี๋ยวเอามาคืนให้”
“หา? ไม่ได้นะ ชั่วโมงต่อไปของฉันคือคาบของคุณครูเควิน”
เด็กชายยื่นมือออกไปทันทีด้วยสีหน้าเหยเก
“นั่นไม่ใช่เรื่องของฉันนี่”
“เอาคืนมานะ”
เฟร็ดหัวเราะคิกคักและชูหนังสือขึ้นสูง แม้เด็กชายจะพยายามกระโดดเหยงๆ เพื่อแย่งสมุดคืนมา แต่ก็เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ เฟร็ดก้มมองเด็กชายที่ติดกับแผนการเดิมๆ ทุกครั้งอย่างไม่รู้จักเบื่อราวกับสนุก
และตอนนั้นเอง
“ถึงจะลอกก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
มือที่ยื่นมาจากด้านหลังแย่งสมุดที่เฟร็ดถืออยู่ไปก่อนจะพูดต่อ
“คนอื่นอาจจะไม่ แต่มิสเตอร์เควินเป็นคนที่ตรวจการบ้านอย่างเข้มงวดมาก ไม่นานเขาก็จะรู้ว่านี่ไม่ใช่เนื้อหาที่นายเป็นคนทำ”
เฟร็ดจิ๊ปากก่อนจะบ่นพึมพำและคืนสมุดให้เด็กชายตามเดิม เด็กชายรีบเก็บสมุดใส่กระเป๋าและกอดกระเป๋าอะไว้
“แล้วนายมาทำอะไรตรงนี้ล่ะ”
เฟร็ดมองฟิลลิปก่อนจะเอ่ยถามราวกับคาดไม่ถึง
“มีธุระนิดหน่อยน่ะ”
ฟิลลิปใช้สายตาชี้ไปทางเด็กชาย
“กับหมอนี่น่ะเหรอ”
เฟร็ดถามกลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“อืม ทำไมล่ะ ไม่ได้เหรอ”
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก แค่คาดไม่ถึงน่ะ มันคือความรู้สึกเชื่อมโยงกันในอะไรสักอย่างพวกคนเกาหลีหรือเปล่า ฮ่าๆๆๆ”
ดูเหมือนเขาจะพูดสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นการล้อเล่นออกมา แต่ฟิลลิปไม่หัวเราะเลยสักนิด เขาทำนิ่งและเอ่ยถามซ้ำ
“ฉันเห็นรู้เลย ฉันเปลี่ยนสัญชาติตอนไหนเหรอ”
“เอ่อ คือ ที่ฉันจะพูดคือ…”
“นายเองก็เพิ่งเปลี่ยนสัญชาติเหรอ”
ฟิลลิปเอ่ยถามเด็กชาย เด็กชายจึงรีบส่ายหน้า
“ไม่เคยเปลี่ยน?”
“…ฮ่าๆๆ แค่ล้อเล่นเฉยๆ เอง ล้อเล่นน่ะ เพราะพวกนายทั้งคู่ไม่รู้จักกัน แต่อยู่ด้วยกัน ฉันก็เลยคิดว่าเป็นแบบนั้นหรือเปล่าเฉยๆ น่ะ ฮ่าๆๆ”
เฟร็ดหัวเราะเจื่อนๆ และเกาหัว จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปทางเด็กชาย
“พวกนายไม่ได้สนิทกันนี่ ไม่ใช่เหรอ”
ทิศทางของบทสนทนาเปลี่ยนไปที่เด็กชายซึ่งตกเป็นเหยื่อได้ง่ายแทน
“อ๋อ อื้อ…ไม่ได้สนิทกันหรอก ไม่เลย”