เฉินตันจูที่อยู่บนภูเขาดอกท้อก็ไม่ได้หลับทั้งคืน ถึงแม้ไม่ได้อยู่ใกล้เท่าคนในพระราชวัง แต่เมื่อถึงเวลากลางวัน นางก็รู้ว่าองค์ชายสามฟื้นแล้ว
องค์หญิงจินเหยาส่งนางในมาบอกนาง องค์ชายสามฟื้นตั้งแต่ตอนเช้า อาบน้ำ กินยา จนกระทั่งเวลากลางวันก็สามารถลุกขึ้นนั่งได้แล้ว หมอหลวงบอกว่าตอนบ่ายจะสามารถลุกขึ้นเดินได้
อาการนี้มาอย่างรุนแรง แต่จากไปอย่างรวดเร็ว โชคดีที่มีสาวรับใช้ขององค์รัชทายาทท่านอ๋องฉี
“สาวรับใช้ยังอยู่ในวังหรือไม่” เฉินตันจูถามนางใน
นางในตัวน้อยนั่งบนเสื่อ มือหนึ่งถือขนมถั่วเขียวนุ่มๆ เอาไว้ ภายในปากเคี้ยวอยู่ไม่อาจพูดได้ จึงพยักหน้าตอบ ถึงแม้ภายในวังจะมีเสื้อผ้าและอาหารที่ดีที่สุด ในฐานะนางในขององค์หญิงไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม แต่ของอร่อยด้านนอกวังก็มีมากมาย นางออกจากวังไม่บ่อย จึงได้กินน้อยครั้ง
หลังจากกลืนขนมถั่วเขียวลงไป นางจึงรีบพูดต่อคุณหนูตันจู “ฝ่าบาททรงให้นางอยู่ในวัง หมอหลวงบอกว่าโชคดีที่มีนาง องค์ชายสามจึงสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว”
เฉินตันจูส่งชาสดชื่นให้นางถ้วยหนึ่ง “ลองชิมอันนี้ ชาที่พวกข้าผัดเอง ข้าใส่น้ำผึ้งเพิ่มลงไปด้วย…ฝีมือของสาวรับใช้คนนั้นเก่งมากหรือ”
นางในจิบชา เอียงศีรษะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่รู้เหมือนกัน คงจะเก่งมาก”
เฉินตันจูตอบรับ ต้องการถามบางสิ่งอีกแต่ก็ไม่รู้ควรถามสิ่งใด นางมองออกไปนอกประตู หากเป็นแต่ก่อน ถึงแม้รู้ว่าองค์หญิงจินเหยาจะส่งคนมา องค์ชายสามยังคงส่งคนมา แต่ครานี้…
“อ่อ ยังมีอีก พี่เสี่ยวชวีบอกว่า องค์ชายสามให้เขามาบอกท่าน แต่ข้างตัวองค์ชายในเวลานี้เองก็ต้องการคน เขามอบหมายให้ผู้อื่นก็ไม่วางใจ ดังนั้นจึงวานให้ข้ามาบอกคุณหนูตันจู” นางในนึกขึ้นได้จึงรีบพูด
บนใบหน้าของเฉินตันจูปรากฏรอยยิ้ม พยักหน้า “ได้ ข้ารู้แล้ว เสี่ยวชวีไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่ ไม่ได้ถูกลงโทษใช่หรือไม่”
นางในรีบส่ายหน้า “ไม่ องค์ชายสามดีต่อคนข้างตัวมาก ได้ยินว่าเมื่อเช้าฮ่องเต้เพียงแค่ตำหนิสาวรับใช้นั้นเล็กน้อย องค์ชายสามยังปกป้อง”
เฉินตันจูบีบนิ้วตอบรับ “ใช่ องค์ชายสามเป็นคนดีเช่นนี้”
นางในกินขนมถั่วเขียวเสร็จ ดื่มชาจนพอใจจึงลุกขึ้นขอตัวลา “คุณหนูตันจูมีสิ่งใดอยากทูลองค์หญิงกับองค์ชายสามหรือไม่”
เฉินตันจูส่ายหัว “ไม่มี ให้องค์ชายสามรักษาตัวให้ดีก็พอ ให้องค์หญิงวางใจ องค์ชายสามต้องดีขึ้นแน่”
นางในตอบรับ ถือสำรับขนมที่อาเถียนเตรียมให้นางจากไปด้วยความสุข
หลังจากอาเถียนไปส่งนางในกลับมา นางก็เห็นเฉินตันจูยังคงนั่งเหม่อยลอยอยู่
“คุณหนู” อาเถียนพูดอย่างปวดใจ “อากาศยังเย็นอยู่ เข้าไปนั่งด้านในเถิด”
เฉินตันจูตอบรับ แต่ไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย
“คุณหนู ท่านอย่าเสียใจ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน คนที่เชิงเขาพูดเหลวไหล…” อาเถียนพูดอย่างขุ่นเคือง แต่เมื่อคำพูดออกจากปากก็รู้สึกผิดปกติ จึงหยุดลง
เฉินตันจูมองนาง “พูดถึงข้าอย่างไรอีก”
อาเถียนก้มหน้า “ก็ไม่พ้นพูดว่าองค์ชายสามร่างกายอ่อนแอ เดิมทีควรพักผ่อน แต่วิ่งไปทั่วทุกที่ จึงอาการกำเริบ…องค์ชายสามไปงานเลี้ยงเพราะอยากพบคุณหนู”
แน่นอน คำร่ำลือพูดได้ไม่น่าฟังนัก บอกว่าเป็นการแอบพบกัน
“คำพูดเหลวไหลเสียจริง คุณหนูของพวกเราแอบพบกับองค์ชายสามเมื่อใดกัน” เยี่ยนเอ๋อโกรธ “งานเลี้ยงใหญ่ขนาดนั้น คนมากขนาดนั้น ทั้งองค์หญิง ทั้งคุณหนูหลิวเวยล้วนอยู่ข้างตัว คุณหนูของพวกเราเล่นอยู่กับองค์หญิง”
แอบพบปะส่วนตัวหรือ เฉินตันจูไม่พูด ก้มหน้าปล่อยแขนเสื้อลง ให้มือทั้งสองที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อจับกันไว้เบาๆ จับมือกันภายใต้กลุ่มคนโดยไม่มีใครสังเกตเห็น เป็นการพบปะส่วนตัวหรือไม่?…
องค์ชายสามหายดีอย่างรวดเร็ว เมื่อตื่นมาในวันรุ่งขึ้น กลางคืนก็ถูกขันทีพยุงเดินได้แล้ว เมื่อถึงวันที่สาม เขาถูกยกขึ้นเกี้ยวเข้าราชสำนักหารือ
พระสนมสวีเกิดปากเสียงกับฮ่องเต้เรื่องนี้ ตำหนิฮ่องเต้ว่าไม่ควรให้องค์ชายสามทรงงานอีก เขากำลังทำให้องค์ชายสามต้องตาย นางตำหนิได้อย่างไม่น่าฟัง บอกว่าฮ่องเต้ทำเพื่อเกียรติของตนเอง ไม่สนใจชีวิตขององค์ชายสาม ทำให้ฮ่องเต้โกรธจนเตะโต๊ะพลิกคว่ำ กักบริเวณพระสนมสวี
คนในวังมองดูเงียบๆ ฮองเฮารู้สึกว่าพระสนมสวีน่าสงสารเป็นครั้งแรก “องค์ชายสามเป็นเช่นนี้แล้ว ฝ่าบาทยังบังคับเช่นนี้จะมากเกินไปหรือไม่”
องค์ชายห้ารีบวางชาในมือลง “เสด็จแม่ อย่าทะเลาะกับเสด็จพ่อเพื่อพระสนมสวี”
ฮองเฮาถลึงตาใส่บุตรชาย “ข้าสามารถทะเลาะกับฝ่าบาทเพื่อบุตรชายได้ แต่ข้าไม่มีทางทะเลาะกับฝ่าบาทเพราะสนมเพียงคนเดียว”
ในสายตาของฮ่องเต้ นางเป็นฮองเฮาที่ไร้ความคิด มีหน้าที่แค่ให้กำเนิดบุตร เมื่อเห็นสวามีทะเลาะกับอนุภรรยาย่อมต้องดีใจ
องค์ชายห้ารินชาให้ฮองเฮา พูดด้วยรอยยิ้ม “เสด็จแม่เฉลียวยิ่งนัก ลูกกังวลเกินไป”
ฮองเฮาส่งยิ้มให้บุตรชาย จิบชา ก่อนจะขมวดคิ้ว “ว่าแต่ฝ่าบาทกำลังทำสิ่งใด”
“เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่ในการผลักดันนโยบาย” องค์ชายห้าพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เสด็จแม่ อย่างไรเวลานี้ล้วนบอกว่าองค์ชายสามประสบอันตรายเพราะเรื่องนี้”
ฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางให้เรื่องนี้ล้มเลิกกลางคัน ดังนั้นองค์ชายสามย่อมต้องปฏิบัติตนอย่างไม่เกรงกลัวอุปสรรคขัดขวาง ทรงงานต่อไป
ฮองเฮากระจ่าง เอ่ยถาม “หากเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทไม่ได้ให้ความสำคัญองค์ชายสาม หากแต่ให้ความสำคัญเรื่องนี้ ใช้เขาในการทำเรื่องนี้”
องค์ชายห้านึกถึงคำพูดของคนรอบตัว ทั้งพยักหน้าทั้งส่ายหน้า “แต่หากองค์ชายสามทำเรื่องนี้ออกมาได้ดี คงไม่ธรรมดา”
ทำได้ดีหรือ คงเป็นเรื่องของอนาคต ฮองเฮายิ้ม ก่อนจะคลายคิ้วที่ขมวดออก “คงต้องดูว่าร่างกายขององค์ชายสามสามารถอดทนได้ถึงตอนนั้นหรือไม่” นางเหลือบมององค์ชายห้า ถามเสียงเบา “สองคนนั้นยังไม่จัดการใช่หรือไม่”
องค์ชายห้าส่ายหัว “ยัง”
ฮองเฮาวางถ้วยชาลง “ปล่อยเอาไว้ก่อนเถิด ครั้งหน้ายังมีประโยชน์”
องค์ชายห้าไม่ใส่ใจนัก เขาเรียกชื่อของขันทีประจำตัว เมื่อรอเขาเดินเข้ามากระซิบข้างหูกำชับ ก่อนที่ขันทีนั้นจะถอยออกไป
“ฝ่าบาทจะทรงเสวยพระกระยาหารที่ตำหนักของเหนียงเหนียง” เขาพูดกับเหล่าขันทีที่ยืนอยู่ด้านนอกตำหนักด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปดูพระกายาหารที่ห้องเครื่อง”
มีบ่าวรับใช้สองคนของฮองเฮาติดตามเขาไปด้วย ยังไม่ถึงเวลาเสวยพระกายาหาร เหล่าขันทีในห้องเครื่องต่างสนทนากันอย่างสนุกสนาน เมื่อเห็นคนของฮองเฮาเดินทางมา ต่างรีบออกมาต้อนรับ ขันทีขององค์ชายห้ามองกลุ่มคน สองคนที่อยู่ด้านหลังสุดเงยหน้าขึ้นมองเขา ขันทีขององค์ชายห้าพยักหน้าให้พวกเขาอย่างลับๆ สองคนนั้นจึงก้มหน้าถอยออกไป
ทางนี้กำลังสนทนากัน มีขันทีอีกกลุ่มเดินมาอย่างรวดเร็ว “เร็วๆ เตรียมพระกายาหาร”
อีกฝ่ายเป็นขันทีของทางฮ่องเต้ ภายในห้องเครื่องโกลาหลขึ้นมาทันที ขันทีของฮองเฮาและองค์ชายห้าต่างรีบถอยไปสองข้าง พวกเขามองท้องฟ้าด้วยความฉงน “เวลานี้ ฝ่าบาทจะเสวยพระกายาหารแล้วหรือ”
ขันทีที่กำลังวุ่นวายอยู่ทางนั้นยิ้มให้เขา “มิใช่ฝ่าบาท แต่องค์ชายสามต้องเสด็จไปทรงงาน จึงต้องเสวยก่อน มิฉะนั้นหากทรงงานขึ้นมา ได้เสวยอีกเมื่อใดก็ไม่รู้”
ทุกคนต่างมีสีหน้ากระจ่าง สบตากันพร้อมยิ้ม ไม่พูดสิ่งใด
นับแต่เกิดเรื่องนั้น ฮ่องเต้ไม่ใช่ผู้ใดทั้งสิ้น ห้องเครื่องขององค์ชายสามก็เลิกใช้ สิ่งที่องค์ชายสามใช้หรือกินล้วนเป็นไปตามฮ่องเต้
ทางด้านห้องเครื่องกำลังโกลาหล ส่วนทางด้านองค์ชายสามนั่งอยู่บนเกี้ยวออกจากวังหลัง มาทางตำหนักด้านนอก
รอบด้านเกี้ยวล้อมรอบไปด้วยขันที ด้านหน้าด้านหลังมีองครักษ์คุ้มกัน ขบวนดุจดั่งฮ่องเต้เสด็จ
หวังเจียนยืนมองเหตุการณ์นี้อยู่บนบันไดด้วยรอยยิ้ม พูด “บัดนี้องค์ชายสามได้รับความโปรดปรานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก” พูดพลางมองไปยังแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ส่งเสียงจิ๊ปากสองที “ฝ่าบาทไม่ได้เรียกพบท่านแม่ทัพหลายวันแล้ว พวกเราอย่าอยู่ในพระราชวังต่อ กลับไปค่ายทหารเถิด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองขบวนที่เดินอยู่บนทางที่กว้างขวาง เกี้ยวที่งดงามปิดบังคนที่อยู่ด้านใน สายตาของเขาจับจ้องไปยังด้านข้างของเกี้ยว นอกจากขันทีและองครักษ์แล้ว ยังมีหญิงสาวอีกหนึ่งนางติดตาม…
“ได้รับความโปรดราน ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี” เขาพูด “องค์ชายสาม ไม่ง่าย”
หวังเจียนหัวเราะเย้ยหยัน “ท่านแม่ทัพสงสารตนเองก่อนเถิด บนโลกนี้มีผู้ใดง่ายบ้าง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับ ก่อนจะครุ่นคิดบางสิ่งได้ เขาเรียกขานเฟิงหลิน เฟินหลินเดินขึ้นมาจากด้านข้าง
“ไปเชิญคุณหนูตันจูมา” เขาพูดกับเฟิงหลิน
เฟิงหลินตอบรับก่อนจะหันหลังจากไป หวังเจียนส่งเสียงเรียกสองครั้ง จับเขาเอาไว้ไม่อยู่ ทำได้เพียงจับแขนของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เอ่ยถาม “ท่านจะทำสิ่งใด เชิญนางมาทำอันใด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กราวกับจะพูด แต่หวังเจียนชิงพูดขึ้นก่อน “คิดให้ดี รักษาโรค มีข้าอยู่ ทำสิ่งอื่น มีองครักษ์อยู่”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กจึงเอียงคอเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดจริงจัง เมื่อครุ่นคิดอยู่สักพักจึงพูดขึ้น “คิดไม่ออก รอมาก่อนค่อยว่ากันเถิด” พูดพลางเดินเข้าตำหนักไป
หวังเจียนโกรธจนถลึงตา มีประโยคหนึ่งเขาพูดผิด บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดง่าย แต่คุณหนูเฉินตันจูง่ายมาก