ตอนที่ 289 เหตุฉุกเฉิน
แม่หรงรีบเดินไปปิดประตูลานบ้าน ก่อนจะหันมาพูดกับหวังหรงด้วยสีหน้าเย็นชา “ฉันว่าแกไม่ต้องจ่ายเงินให้คนพวกนี้หรอก ต่อให้เราปฏิเสธไม่จ่ายค่าชดเชย แล้วพวกเขาจะทำอะไรเราได้?”
หวังหรงเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
หล่อนให้คำสัญญาปากเปล่าไป ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ครอบครัวแซ่ตู้มาวุ่นวายจนส่งผลกระทบต่อแผนการของคุณย่า โดยใช้กลวิธีถ่วงเวลาเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น
ตลอดระยะเวลาห้าวันที่หล่อนถูกคุมขังอยู่ในสถานีตำรวจ หล่อนกินอาหารครบสามมื้อก็จริง แต่เป็นเมนูที่เรียบง่ายไม่หนักท้อง
หวังหรงที่เคยชินกับการใช้ชีวิตที่อู้ฟู่ทำใจกลืนกินอาหารพวกนั้นไม่ได้ ตักเข้าปากไปแค่สองคำก็ยอมแพ้ไม่กินต่ออีก
หล่อนแต่งเนื้อแต่งตัวแบบเรียบ ๆ ก่อนจะออกจากบ้านไปพร้อมกับสะพายกระเป๋า ตั้งใจว่าจะไปที่ร้านเว่ยเซียงเพื่อกินซาลาเปากับติ่มซำให้อิ่มหนำ
กิจการร้านของว่างเว่ยเซียงยังคงซบเซาเช่นเคย หวังหรงจึงไม่เสียเวลาเลือกโต๊ะ พอนั่งลงแล้วก็หันไปพูดกับพนักงาน “ขอเกี๊ยวหมูเห็ดหอมหน่อยสิ”
ตอนแรกพนักงานต้องการจะพูดอะไรบางอย่างกับหล่อน แต่หล่อนกลับปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยท่าทางที่ไม่ดีนัก
หล่อนตะคอกสั่งของกินราวกับพวกหล่อนเป็นทาสในยุคสมัยโบราณ ประโยคที่ต้องการพูดจึงถูกกลืนกลับลงไปในลำคออีกครั้ง
พนักงานรีบยกเกี๊ยวหมูเห็ดหอมที่นึ่งสุกร้อน ๆ มาเสิร์ฟให้กับหวังหรงทันที
หวังหรงจัดการกับอาหารตรงหน้าจนหมดเกลี้ยง เช็ดปาก แล้วลุกขึ้นเตรียมเดินออกจากร้านไป
พนักงานหยุดหล่อนเอาไว้ก่อน “นี่! คุณยังไม่ได้จ่ายเงินเลยนะคะ!”
ดวงตาของหวังหรงวาวโรจน์ขึ้นด้วยความไม่พอใจ “เธอคิดว่าหลังตู้กวงฮุยโดนจับ ฉันคงไม่มีใครคอยหนุนหลังอย่างนั้นสินะ? ฉันจะบอกให้ ตู้กวงฮุยกับฉันร่วมหุ้นกันเปิดร้านนี้ ถึงเขาถูกดำเนินคดี แต่ฉันก็ยังมีสถานะเป็นผู้จัดการร้านนี้ ในเมื่อฉันเป็นถึงเจ้าของร้าน เธอยังกล้าเรียกเก็บเงินจากฉันอีกเหรอ? เชื่อไหมว่าฉันไล่เธอออกได้เลยนะ!”
พนักงานกระตุกยิ้มมุมปาก มองดูหวังหรงที่กำลังด่าทอตนด้วยความโกรธราวกับหล่อนเป็นตัวตลก ยืนนิ่ง ๆ โดยไม่หักล้างแม้แต่คำเดียว
หญิงสาวอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องครัว พูดกับหวังหรงด้วยใบหน้าที่มืดมน “ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านนี้ แล้วฉันเป็นใครกันล่ะ?”
หวังหรงมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า พูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ฉันจะไปรู้กับเธอเหรอ!”
ป้าหูรีบเดินตามออกมา “เสี่ยวหวัง แม่ของตู้กวงฮุยเซ้งร้านนี้ให้เสี่ยวซ่งไปแล้ว ตอนนี้หล่อนมีสถานะเป็นเจ้าของร้านนี้”
หวังหรงรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที หันไปตำหนิป้าหูด้วยแรงอารมณ์ “ทำไมป้าไม่บอกฉันให้เร็วกว่านี้ล่ะ?”
ป้าหูเองก็ไม่พอใจเหมือนกัน ต่อให้ตัวเองบอกความจริงกับหวังหรง หล่อนก็ตำหนิตนอยู่ดี
ฉันเองก็ไม่อยากบอกหล่อนเท่าไหร่หรอก ถึงปล่อยให้หล่อนทะเลาะกับเถ้าแก่เนี้ยซ่งไปซะ!
เจ้าของร้านคนใหม่ที่ชื่อเสี่ยวซ่งเรียกเก็บเงินค่าอาหารจากหล่อนทันที
หวังหรงค้นหาเงินที่พกติดตัวอยู่นาน หลังจากคุ้ยหาในกระเป๋าเสื้อและกระเป๋าสะพายแล้วก็หยิบเงินที่มีอยู่เพียงน้อยนิดออกมา แต่ยังขาดไปอีกสองเฟิน
พนักงานหันไปมองเสี่ยวซ่งเพื่อให้เธอช่วยตัดสินใจ
เสี่ยวซ่งโบกไม้โบกมือทันที “ยกประโยชน์ให้หล่อนไปเถอะ ดูจากการแต่งตัวแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าหล่อนจะเป็นผู้ดีตกอับ แม้แต่เงินจ่ายค่าเกี๊ยวก็ยังไม่มี!”
หวังหรงไม่เคยถูกใครเยาะเย้ยซึ่งหน้ามาก่อน จึงรีบเดินหนีไปท่ามกลางสายตาดูถูกเหยียดหยามของทุกคน
หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งไปได้ไกลแค่ไหน จนกระทั่งสองขาล้าเกินจะวิ่งต่อ ถึงค่อย ๆ ลดความเร็วลง เปลี่ยนจากการวิ่งเป็นเดินทอดน่อง
พอนึกขึ้นได้ว่าหล่อนจะต้องไปหาลูกพี่ลูกน้องห่าง ๆ ของตัวเองที่ชื่อว่าหลูจ้าวซิ่ง หวังหรงก็หยุดเดิน ก่อนจะหันหน้าเข้าผนังกระจกใสของร้านอาหารระดับภัตตาคารแห่งหนึ่งเพื่อแต่งหน้า
หล่อนไม่อยากให้หลูจ้าวซิ่งเห็นว่าตัวเองมีสภาพโทรมบักโกรก หวังให้เขากลายเป็นสุนัขรับใช้ตัวต่อไป
หล่อนจำเป็นต้องรักษารูปลักษณ์ภายนอกที่สมบูรณ์แบบต่อหน้าเขา เพื่อที่เขาจะได้หลงในตัวหล่อนจนโงหัวไม่ขึ้น หลังจากนี้หล่อนจะได้ใช้งานเขาเมื่อไรก็ได้ตราบใดที่ต้องการ
ขณะที่หวังหรงหยิบลิปสติกออกมาเตรียมจะทาปาก ก็บังเอิญเห็นว่าฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายกำลังรับประทานอาหารอยู่ภายในร้าน ภาพนั้นทำให้หล่อนริษยาจนหลงลืมทุกสิ่งอย่าง
เมื่อกี้นี้หล่อนมีเงินติดตัวไม่พอแม้แต่จะจ่ายค่าเกี๊ยว แต่ฟางจั๋วหรานกลับพานังสารเลวหลินม่ายมาเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่!
หวังหรงรู้สึกอึดอัดใจมากจนไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว ในที่สุดก็หันหลังเดินจากไป
เหตุผลที่ฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายอยู่ในร้านอาหารจีนกวางตุ้งระดับภัตตาคารที่มีชื่อร้านว่าอ้ายฉินไห่ ก็เพื่อถือเคล็ดเอาฤกษ์เอาชัย
ร้านอาหารกวางตุ้งอ้ายฉินไห่แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งกิจการที่ฟางจั๋วหรานก่อตั้งขึ้น
อาหารกวางตุ้งทุกเมนูของที่นี่มีรสชาติอร่อยมาก ฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายต่างเพลิดเพลินกับอาหารมื้อพิเศษ
ทันใดนั้นเอง เก้าอี้ตัวหนึ่งในร้านอาหารกลับล้มตึงลงกับพื้นเสียงดังลั่น ตามด้วยเสียงคนตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างตื่นตระหนก “มีคนชัก!”
หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานหันขวับมองไปตามเสียงพร้อมกัน เห็นชายชราคนหนึ่งที่มีเส้นผมหงอกขาว แต่งกายดี กำลังนอนราบไปกับพื้นโดยที่ลำตัวชักกระตุกเกร็งไม่หยุด
ชายวัยกลางคนอีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับเขาต่างหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ
หนึ่งในพวกเขาตะโกนถามด้วยความกระวนกระวาย “หมอ ที่นี่มีหมอหรือเปล่า!”
ฟางจั๋วหรานวางตะเกียบในมือลงแล้วเดินจ้ำอ้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว “ผมเป็นหมอครับ”
ชายวัยกลางคนรีบคว้าตัวเขาไว้พลางพูดว่า “รีบช่วยเหล่าหนิวเร็วเข้าเถอะครับ!”
ฟางจั๋วรานย่อตัวลงเพื่อตรวจสอบอาการเบื้องต้นของนายหนิว เพื่อนสนิทที่ร่วมหุ้นทำร้านอาหารกับเขารู้ข่าวก็รีบออกมาดู
เขารีบห้ามฟางจั๋วหราน “จั๋วหราน นายอย่ารีบร้อนทำอะไรโดยพลการนะ ถ้าเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นกับเขาจะทำยังไง? ฉันโทรหาโรงพยาบาลแล้ว พวกเขาจะส่งรถพยาบาลมาที่นี่เดี๋ยวนี้”
เขาคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ชายชราคนนี้อาการป่วยกำเริบระหว่างที่อยู่ในร้านของเขาก็จริง แต่นั่นก็เป็นเพราะโรคประจำตัว ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา ตราบใดที่เขาโทรแจ้งโรงพยาบาล ปฏิบัติตามขั้นตอนการช่วยเหลือ ไม่ว่าเขาจะตายหรือรอด เขาก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใด ๆ
แต่ถ้าชายชราเสียชีวิตเพราะฟางจั๋วหรานเข้ามาแทรกแซง สมาชิกในครอบครัวของชายชราอาจเอาเหตุผลนี้มาฟ้องร้อง จนเขาต้องสูญเสียทั้งเงินและชื่อเสียง!
ทั้งหมดนึ้คือเหตุผลที่เขาพยายามห้ามปรามไม่ให้ฟางจั๋วหรานช่วยเหลือชายชราโดยพลการ
ชายวัยกลางคนทั้งสองไม่เห็นด้วย โพล่งถามออกมาพร้อมกัน “คุณห้ามไม่ให้คุณหมอคนนี้ช่วยชีวิตเหล่าหนิว ถ้าอาการของเขาร้ายแรงขึ้นมา คุณจะรับผิดชอบเรื่องนี้ยังไง?”
ฟางจั๋วหรานตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในใจของเขาเกิดความคิดผสมปนเปกันหลายหลาก ถ้าเขาไม่เสนอตัวว่าตัวเองเป็นหมอตั้งแต่แรก เรื่องทั้งหมดก็คงไม่ยุ่งยากแบบนี้
แต่เขาเสนอตัวไปแล้วว่าตัวเองเป็นหมอ ทั้งยังอาสาว่าจะช่วยตรวจดูอาการของชายชรา ถ้าเขาหยุดการกระทำเหล่านั้นก็เท่ากับเป็นฆาตกรปล่อยให้เขาตาย
ฟางจั๋วหรานทำการตรวจสอบอาการเบื้องต้นของนายหนิวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วินิจฉัย “โรคลมชักกำเริบ อาหารเข้าไปอุดอยู่ในหลอดลม ตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องทำการเจาะคอทันทีเพื่อเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาจากร่างกาย เพื่อให้แน่ใจว่าเขาสามารถหายใจได้”
เพื่อนสนิทของเขารีบถาม “รอจนกว่ารถพยาบาลจะมาถึงได้หรือเปล่า?”
ฟางจั๋วหรานส่ายหน้า “ไม่ได้!”
เพื่อนสนิทของเขารีบหันมองไปรอบ ๆ “แล้วต้องทำยังไงล่ะ? ที่นี่ไม่ใช่ห้องผ่าตัด คงทำการผ่าตัดให้คุณลุงคนนี้ไม่ทันแน่”
“ขอแค่มีมีดปอกผลไม้ หลอดดูด กับแอลกอฮอล์ ฉันว่าฉันทำได้”
ชายวัยกลางคนทั้งสองหันมองสบตากัน จากนั้นก็หันไปกระตุ้นพวกเขาทันที “ถ้าอย่างนั้นพวกคุณรีบจัดการเลย!”
ฟางจั๋วหรานหันไปพูดกับเพื่อนสนิท “รีบเอาสิ่งของที่จำเป็นมาให้ฉันเร็ว!”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาคงทำอะไรไม่ได้นอกจากลองดู เพื่อนสนิทของเขาหันหลังกลับไปเตรียมอุปกรณ์
หลินม่ายหันไปมองชายวัยกลางคนทั้งสองด้วยสายตาเฉียบขาด “พวกคุณร้องขอให้แฟนฉันช่วยชีวิตคุณลุงคนนี้ ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมา ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ?”
การช่วยชีวิตคนอื่นไม่ใช่ปัญหา แต่เธอไม่อยากถูกฟ้องผิดเอาภายหลัง โดยเฉพาะเมื่อคนที่อาจถูกฟ้องผิดคือแฟนหนุ่มของเธอ
เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนทั้งสองต้องการใช้ฟางจั๋วหรานเป็นกระสุนปืนใหญ่(1)
ถ้าช่วยชีวิตชายชราไว้ได้สำเร็จ ทุกฝ่ายคงลงเอยด้วยดี
แต่ถ้าฟางจั๋วหรานทำพลาดขึ้นมา เขาจะกลายเป็นคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ชีวิตคนตกอยู่ในความเสี่ยงแบบนี้ คุณยังมัวสนใจเรื่องนี้อยู่เหรอ คุณยังมีความเป็นคนอยู่หรือเปล่า?”
หลินม่ายสวนกลับทันที “ในเมื่อคุณรู้ว่าชีวิตคนกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ถ้าอย่างนั้นก็ควรร่างสัญญาแสดงความรับผิดชอบซะ ไม่งั้นฉันไม่อนุญาตให้แฟนฉันผ่าตัดให้เขาแน่!”
ชายวัยกลางคนทั้งสองหันมองไปทางฟางจั๋วหรานพร้อมกัน “คนเป็นหมอย่อมมีจรรยาบรรณแพทย์มากพอ เขาไม่มีทางเพิกเฉยต่อความเป็นตายของคนอื่นหรอก”
ฟางจั๋วหรานเห็นว่าเพื่อนสนิทของเขาวิ่งตรงเข้ามาพร้อมกับมีดปอกผลไม้ หลอด แอลกอฮอล์ความเข้มข้นสูง และชุดปฐมพยาบาล เขาก็ไม่สนใจทุกคนอีก รีบเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมใช้
ขั้นตอนแรกที่ทำคือเอามีดปอกผลไม้ไปเผาไฟเพื่อฆ่าเชื้อ รอจนมันเย็นลงแล้วก็เริ่มผ่าตัดเปิดหลอดลม
การเจาะคอก็เหมือนกับการผ่าตัดเล็กทั่วไป ถึงไม่มีมีดที่ใช้สำหรับการผ่าตัดโดยเฉพาะ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับเขา
……………………………………………………………………………………………………………….
อุปมาว่า ใช้คนเป็นเครื่องมือเสี่ยงตายแทน, เป็นคนที่ต้องรับผิดชอบการกระทำแทนตัวเอง
สารจากผู้แปล
อ้าว พี่หมอร่วมหุ้นเปิดร้านอาหารกับเพื่อนแล้วเหรอ
ว่าแต่ใช้ Heilmlich maneuver ก่อนไม่ได้เหรอ? หรือมันอุดหลอดลมลึกจนใช้วิธีนี้ไม่ได้? ไม่อยากให้พี่หมอเสี่ยงผ่าตัดแล้วมีเรื่องฟ้องร้องเลย
ไหหม่า(海馬)