ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – Side Story < Love Story > 1-8

Side Story < Love Story > 1-8

เด็กชายตอบออกไปแบบนั้น เพราะได้รับการปฏิบัติว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักครั้งหนึ่งแล้วต่อหน้าคนอื่น เขาเหลือบมองฟิลลิปราวกับจะบอกว่าไม่ต้องกังวล พวกเขาสบตากัน เขาวิตกกังวลเพราะฟิลลิปกำลังใช้สายตาที่สงบอย่างเย็นชาจ้องมองเด็กชาย

ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ เราพูดอะไรผิดอีกแล้วเหรอ

เด็กชายเหงื่อซึมพร้อมกับรู้สึกกังวล

“ฮ่าๆๆ นั่นสิ คนอย่างนายจะไปสนิทกับฟิลลิปได้ยังไง กระต่ายน้อยปีเตอร์”

เฟร็ดพาดแขนลงบนไหล่ของปีเตอร์ก่อนจะกดน้ำหนักลงไป และพูดจาเหน็บแนม

“แล้วจะเอายังไงล่ะ”

ฟิลลิปเอ่ยถามเด็กชายอย่างกะทันหัน

“ครับ?”

“ปาร์ตี้น่ะ ฉันถามว่าจะมากี่โมง”

เขาไม่ได้ถามว่าจะมาหรือไม่มา แต่เปลี่ยนเป็นถามว่าจะมากี่โมงแทน ในระหว่างที่เด็กชายกระสับกระส่ายเพราะรู้สึกตื่นตระหนก เฟร็ดก็เอ่ยแทรกบทสนทนามาว่า “ปาร์ตี้อะไรเหรอ”

“ปาร์ตี้อาทิตย์หน้าน่ะ”

“นายเชิญเด็กนี่ไปที่นั่นเหรอ”

เฟร็ดตกใจและถามซ้ำ “เหอะ” พอฟิลลิปพยักหน้า เฟร็ดก็แสร้งหัวเราะ

“มาตรฐานของปาร์ตี้คงลดลงแล้วแน่ๆ ถึงได้เชิญทั้งหมา ทั้งวัวมาหมด”

ปลายนิ้วของเด็กชายที่กอดกระเป๋าอยู่สั่น

“ฮ่าๆๆ”

ฟิลลิปหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอียงคอ

“งั้นนายจะมาด้วยไหมล่ะ”

“ใคร? ฉันน่ะเหรอ จริงเหรอ”

เฟร็ดถามกลับตาเป็นประกาย แม้จะเป็นนักกีฬาในทีมฟุตบอลเดียวกัน แต่เฟร็ดที่เป็นตัวสำรองก็ต่างกับฟิลลิปที่เป็นควอร์เตอร์แบ็กตัวหลักราวฟ้ากับดิน แม้ตอนนี้จะพูดคุยราวกับสนิทสนมกัน แต่ปกติแล้วเฟร็ดไม่เคยพูดกับฟิลลิปเลย

ปาร์ตี้ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้าเป็นงานที่ทุกคนอยากไปจนเขาถือเป็นเกียรติที่ตัวเองก็ได้รับเชิญ

“ฉันไปที่นั่นด้วยได้เหรอ”

“ก็ไม่ใช่ที่ที่นายจะไปไม่ได้นี่ เพราะทั้งหมาทั้งวัวก็มากันหมด”

“ฮ่าๆๆ งั้นไปกี่โมงดีล่ะ โคตรเจ๋งเลย”

เฟร็ดที่ไม่มีสมองพอที่จะเข้าใจคำพูดประชดประชันแกว่งกำปั้นอยู่กลางอากาศด้วยความดีใจ

“งานเริ่มตั้งแต่สองทุ่มจะมาตอนไหนก็ได้”

“เข้าใจแล้ว งั้นเจอกันวันนั้นนะ”

เฟร็ดที่ตื่นเต้นดีใจจนรูจมูกเกร็งโบกมือก่อนจะจากไป

พอเหลือกันอยู่สองคนอีกครั้ง ฟิลลิปก็ยิ้มกว้างและหันกลับมามองด้านหลัง

“แล้วนายมากี่โมงล่ะ?”

***

เด็กชายวางหนังสือที่อ่านอยู่ไว้บนตักและหยิบแซนด์วิชออกมาจากถุงกระดาษ ในจังหวะที่เขากำลังจะกัด มือที่ยื่นมาจากด้านหลังก็ฉวยแซนด์วิชไป

“…!”

“จะกินแล้วนะ”

ฟิลลิปนั่นเอง เขาเอาแซนด์วิชไปกัดกินอย่างหน้าตาเฉย หลังจากทำให้แซนด์วิชหายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยการกินไม่กี่คำ เขาก็นั่งลงบนม้านั่งพร้อมกับมองเด็กชาย

“สวัส…ดีครับ”

เด็กชายเอ่ยทักทายโดยไม่ยอมสบตา

“ดูเหมือนจะยุ่งนะ ฉันเจอหน้านายได้ยากมากเลย”

“…เปล่า คือผม…”

‘จริงสิ แล้วจะมากี่โมงล่ะ?’

ตอนนั้นพอฟิลลิปหันกลับมามองพร้อมรอยยิ้มที่โชว์ฟันเรียงตัวสวย เด็กชายก็หายไปแล้ว

‘ฮ่าๆๆๆๆ’

ฟิลลิปยืนหัวเราะอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง มันไม่น่าเชื่อจนเขารู้สึกโมโห หลังจากนั้นตอนเขาไปหาหลังเลิกเรียน เด็กชายก็ซ่อนตัวราวกับจะหลบหนี แม้จะลองไปรอที่ม้านั่งในช่วงพักกลางวัน แต่เด็กชายก็ไม่โผล่มา วันต่อไป และวันต่อต่อไปก็เหมือนกัน

ในที่สุดวันนี้ฟิลลิปก็ได้เจอเด็กชายที่มองไปรอบๆ ก่อนจะเดินมาหลังจากที่ผ่านช่วงพักกลางวันไปสักพักแล้ว

“ไม่มีเรียนเหรอ”

“…ครับ”

“แต่ฉันมี”

“ครับ?”

เด็กชายตกใจและเอ่ยถามซ้ำ ฟิลลิปยิ้มตาหยีก่อนจะพูดต่อว่า “ล้อเล่น” เด็กชายจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ

นี่เป็นคำโกหกที่ไม่แนบเนียน ฟิลลิปโดดเรียนวิชาฟิสิกส์มาอยู่ที่นี่ ไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมที่เขาจะขาดเรียนวิชาของคุณครูเมสันที่เช็กชื่อคนเข้าเรียนอยู่เสมอ และมารอเด็กชายที่นี่เลยสักนิด เขาก็แค่โคตรจะโมโหเลยจริงๆ เท่านั้นเอง

“ยังต้องการเวลาคิดอยู่อีกเหรอ”

ฟิลลิปยิ้มพลางเอ่ยถาม เด็กชายกลอกดวงตากลมโตไปทางด้านข้างและพูดอ้อมแอ้มว่า “ครับ”

นี่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย แม้จะไม่ชอบท่าทีของเด็กชายที่ชอบในอะไรสักอย่างของประเทศที่พ่อแม่ที่ทิ้งไปอาศัยอยู่และยิ้มอย่างไร้เดียงสาก็จริง แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะพูดถึงขนาดนั้น

ทั้งการที่เขามองเห็นน้ำตาของเด็กชายที่ได้รับความเจ็บปวดจากคำพูดนั้น การที่ภาพนั้นทำให้เขารู้สึกไม่ดีอย่างประหลาด และการชวนไปงานปาร์ตี้ ทุกอย่างเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากที่เขาคิด แต่สิ่งที่ไม่ได้อยู่ในความคิดของเขามากกว่าอะไรทั้งหมดคือปฏิกิริยาของเด็กชายที่ได้รับเชิญให้ไปงานปาร์ตี้

การเชิญไปงานปาร์ตี้ไม่ได้มีความหมายยิ่งใหญ่อะไร ถ้าอีกฝ่ายตื่นเต้นดีใจและยิ้มเหมือนกับพวกทึ่มที่ได้รับเชิญให้ไปงานปาร์ตี้ก็จบแล้ว แต่เด็กชายกลับทำหน้าซีดเหมือนคนที่ได้รับหมาตายเป็นของขวัญ และรีบหลบสายตาทันทีที่ได้รับคำเชิญ

“คือผม ผม…”

เด็กชายยังคงพูดตะกุกตะกักด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ดีใจเลยสักนิด

แม่งเอ๊ย ทำตัวน่าหงุดหงิดจังวะ

ฟิลลิปกดความหงุดหงิดที่พลุ่งพล่านขึ้นมาและทำตาหยี

แม้กระทั่งไอ้หมูตอนเฟร็ดที่โง่จนไม่รู้ว่าจะมีหัวไปทำไมยังดีใจที่ได้รับคำเชิญ และทำตัวบ้าๆ เลย แล้วปฏิกิริยาแบบนี้คืออะไรกันแน่ แถมไอ้เด็กนี่ยังไม่ยอมสบตาเขาตอนคุยด้วย มิหนำซ้ำยังเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาเป็นประกายตอนที่เฟร็ดโผล่มาอีก

“อื้อ ลองพูดมาสิ”

“ยังไงคนแบบผมก็ไม่ควรไปที่แบบนั้น…”

“ที่แบบนั้นคืออะไร”

“…”

เด็กชายไม่สามารถเอ่ยปากพูดได้ในทันที

แม้จะไม่มีคนที่พูดถึงการแบ่งแยกเชื้อชาติออกมาตรงๆ แต่ภายในโรงเรียนก็มีการแบ่งชนชั้นที่มองไม่เห็นอยู่ คนขาวก็จะอยู่กับพวกคนขาว คนเอเชียตะวันออกก็จะอยู่กับพวกคนเอเชียตะวันออก และคนลาตินก็จะอยู่กับพวกคนลาติน แทบจะไม่มีการรวมกลุ่มแบบผสมเชื้อชาติเลยด้วยซ้ำ

แต่ก็จะมีคนที่ก้าวข้ามเส้นพวกนั้นได้อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่บ้าง และฟิลลิป เลวินก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นคนดังของโรงเรียน และไม่ว่าใครก็อยากจะอยู่ในกลุ่มของเขา ตรงข้ามกับเด็กชายที่เป็นคนต่างชาติที่ไม่สามารถอยู่ที่ไหนได้เลย ต่อให้บอกว่าจะมางานปาร์ตี้ในครั้งนี้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะจริงๆ และคนทั้งคู่ก็รู้ความจริงข้อนั้นดี

“งั้นก็เข้าใจแล้ว”

พอฟิลลิปตอบอย่างใจกว้าง เด็กชายก็ทำสีหน้าโล่งใจ

“ถ้าต้องการเวลาคิดก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่นา”

ฟิลลิปเอนตัวนอนบนม้านั่ง และนอนหนุนตักของเด็กชายทั้งอย่างนั้น เขารู้สึกได้ว่าตัวของเด็กชายเกร็ง

“…เอ่อ…”

“ขอนอนงีบหนึ่งนะ แล้วฉันจะลุก”

เขาทั้งเอาแต่ใจและดื้อรั้น

เขานึกว่าถ้าทำแบบนี้ เด็กชายจะทำตัวไม่ถูกและต้องบอกว่าจะไปอย่างแน่นอน แต่เด็กชายกลับมีท่าทีหนักใจ และไม่ยอมตอบว่าจะมางานปาร์ตี้

ฟิลลิปลืมตาข้างหนึ่งและพูดว่า “ถ้าคิดเสร็จแล้วปลุกด้วยนะ” ก่อนจะหลับตาลงไปตามเดิม เขาได้ยินเสียงร้องโอดครวญอยู่เหนือศีรษะ ไม่รู้ทำไมเสียงนั้นถึงเหมือนกับเสียงของลูกสุนัขที่ร้องหงิงๆ จนทำให้ฟิลลิปหัวเราะออกมา

เขาจดจำเรื่องที่ว่าอย่าแกล้งอะไรก็ตามที่ยังเด็กและอ่อนแอได้ขึ้นใจ เพราะมันสร้างความรำคาญให้เขา แต่ทั้งๆ ที่รู้อย่างนั้น เขากลับไม่รู้สึกว่าอยากจะหยุดง่ายๆ

“…หลับแล้วเหรอครับ”

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กชายก็เอ่ยถามด้วยเสียงเบาๆ ฟิลลิปแกล้งทำเป็นหลับ และไม่ยอมแสดงปฏิกิริยาใดๆ ทั้งๆ ที่ตื่นอยู่

“ห้ามหลับนะ…เฮ้อ…”

คำพูดที่พูดพึมพำคนเดียวอย่างกระวนกระวายใจตามมาด้วยเสียงถอนหายใจ เขาได้ยินเสียงเด็กชายที่ถอนหายใจเงียบๆ หยิบหนังสือที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาและพลิกหน้ากระดาษ

ไม่อยากจะเชื่อ บางครั้งเด็กชายก็ทำพฤติกรรมที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน คิดที่จะอ่านหนังสือในสถานการณ์ที่ฉันยังนอนหนุนตักนายอยู่เนี่ยนะ? เขาแยกไม่ออกแล้วว่าอีกฝ่ายขี้กลัวหรือใจกล้ากันแน่

ฟิลลิปกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ทั้งที่ยังหลับตาอยู่

กลิ่นของต้นไม้ที่ชุ่มชื้นเพราะฝนที่ตกลงมาเมื่อวานลอยเข้ามาผสมกับกลิ่นตัวจางๆ ของเด็กชาย กลิ่นที่ละมุนละไมและนุ่มนวลลอยออกมาจากตัวของเด็กชายต่างจากไอ้พวกชมรมกีฬาที่มีแต่กลิ่นเหงื่อ

สิ่งที่ยังเป็นเด็กและอ่อนแอมักจะปล่อยกลิ่นออกมาเพื่อให้ได้รับความรักตามสัญชาตญาณ ฟิลลิปไม่เคยถูกกลิ่นแบบนั้นขโมยหัวใจได้เลยสักครั้ง ทั้งหมดที่เขาทำคือระงับความต้องการอันแสนโหดร้ายไม่ให้บีบสิ่งที่อ่อนแอพวกนั้นให้แหลกคามือเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกถึงความต้องการแบบนั้นเลย

ใบไม้ปลิวไปพร้อมกับสายลม แสงแดดที่เจิดจ้าส่องเข้ามายังดวงตาที่ปิดสนิท สติที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปทำให้เขาผ่อนคลายไปหมดทั้งตัว นี่เป็นความสงบที่สมบูรณ์แบบจนงดงามอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ

ตอนที่ลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เข้ามาในสายตาเป็นอันดับแรกคือแก้มของเด็กชายที่แดงระเรื่อ มันสุกราวกับลูกพีชที่พอกัดไปแล้วจะมีความชุ่มฉ่ำออกมา

ฟิลลิปหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะลืมตาขึ้น คราวนี้เขามองเห็นฝ่ามือของเด็กชายที่บังแถวๆ ใบหน้าของตนไว้

“ตื่นแล้วเหรอครับ”

เด็กชายลดมือลงและเอ่ยถาม เพราะรู้สึกถึงการขยับตัว แสงแดดที่ใบไม้ไม่สามารถบังไว้ได้โดนใบหน้าของฟิลลิปโดยตรง

“อ๊ะ ขอโทษครับที่อยู่ๆ ก็เอามือลง”

พอเห็นฟิลลิปที่เพิ่งตื่นนอนขมวดคิ้ว เด็กชายก็กระวีกระวาดยกมือขึ้นมาตามเดิม

แล้วฟิลลิปก็ได้รู้ว่าทำไมเด็กชายถึงได้ยกมือขึ้นมาราวกับถูกทำโทษด้วยท่าทางที่น่าหัวเราะแบบนั้น เพื่อไม่ให้แสงแดดโดนหน้าของเขาในขณะที่นอนหลับ เด็กชายจึงยกมือขึ้นมาบังให้อยู่ตลอดเวลา

จนกระทั่งใบหน้ากลายเป็นสีแดง

เป็นแบบนี้ทุกครั้ง เด็กชายปฏิบัติต่อฟิลลิปเหมือนเป็นสิ่งที่ควรจะได้รับการปกป้องอย่างเต็มใจ แม้การดูแลที่เงอะงะนั้นจะดูไม่น่าเชื่อจนเขาหัวเราะออกมาในตอนแรก แต่ตอนนี้เขากลับไม่ได้รู้สึกอารมณ์ไม่ดี

ไม่สิ แทนที่จะอารมณ์ไม่ดี เขากลับ…

“…”

“…”

พวกเขาสบตากัน

เขาทั้งคู่จ้องหน้ากันโดยไม่กะพริบตาเลยสักครั้ง เขาต้องพูดล้อเล่นอะไรสักอย่างเพื่อทำให้บรรยากาศที่น่าอึดอัดใจนี้หายไป ถึงจะรู้อย่างนั้น แต่ฟิลลิปก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

สายตาของเขาเกาะติดอยู่ที่เด็กชายอย่างพอดิบพอดี

แก้มที่แดง เพราะแสงแดดของช่วงต้นฤดูร้อนที่สาดส่องลงมากับขนตาที่ยาว เส้นผมที่เป็นประกายเพราะแสงแดด และริมฝีปากเล็กๆ ที่เผยอออกเล็กน้อย

ความรู้สึกรุนแรงที่เขาไม่รู้จักที่มาพุ่งขึ้นมาจนถึงด้านในลำคอ

“ถ้าตื่นแล้วผม…”

เด็กชายเกร็งหน้าตักและเอนไหล่ไปด้านหลังราวกับจะขอร้องให้เขาลุกขึ้นเสียที การกระทำนั้นทำให้เหงื่อที่เกาะอยู่ที่หน้าผากของอีกฝ่ายไหลลงมาตามแก้ม และหยดลงบนริมฝีปากของฟิลลิป

กลิ่นเหงื่อที่รู้สึกได้อย่างเลือนรางทำให้ฟิลลิปตาพร่าในทันที ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่พุ่งขึ้นมาจนถึงลำคอของเขาคือความกระหายที่รุนแรง พอตั้งสติได้ เขาคว้าข้อมือของเด็กชายไว้แล้ว

“…”

ความมึนงงและความรู้สึกไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นในดวงตากลมโตของอีกฝ่าย เด็กชายตัวสั่นราวกับลูกสัตว์เล็กๆ ที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน และยังไม่มีแม้กระทั่งความสามารถที่จะปกป้องตัวเองเลยแม้แต่น้อย

ความปรารถนาต่างๆ ที่ควบคุมไม่ได้เริ่มวิ่งไปมาอย่างไม่รู้ทิศทาง เขาเกร็งมือที่กำข้อมือของเด็กชายไว้ ร่างของอีกฝ่ายที่สู้แรงของเขาไม่ได้เอนมาด้านหน้า ใบหน้าของพวกเขาใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน

ตอนนั้นเอง

“ฟิลลิป!”

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท