ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – Side Story < Love Story > 1-9

Side Story < Love Story > 1-9

เสียงแหลมสูงดังมาจากด้านล่างนั่น เด็กชายสะดุ้งตกใจราวกับโดนไฟจี้ เขาสะบัดมือของฟิลลิปและลุกขึ้น ในระหว่างนั้นหนังสือของเด็กชายที่วางอยู่ตรงม้านั่งก็ร่วงลงพื้น

“ฟิลลิป ฉันหาตั้งนานแหนะ มาทำอะไรอยู่ในที่แบบนี้”

ฟิลลิปค่อยๆ ลุกจากม้านั่ง

“แล้วทำไมถึงปิดโทรศัพท์มือถือล่ะ ฉันส่งข้อความหาตลอด แต่นายไม่ยอมอ่านเลย”

เจน่าตำหนิฟิลลิปโดยไม่หยุดหายใจ ฟิลลิปเสยผมที่ยุ่งขึ้นไปก่อนจะถอนหายใจ

“ทำไมถึงโดดเรียนคาบของคุณครูเมสัน…”

ตอนนั้นเองเด็กชายที่กำลังก้มตัวลงไปเก็บหนังสือบนพื้นก็เข้ามาในสายตาของเด็กสาวที่กำลังพูดอยู่

“แล้วทำไมเด็กนั่นถึงอยู่ที่นี่”

ลักษณะการพูดที่เหมือนกับเห็นสิ่งของน่าเกลียดที่ไม่สมควรจะอยู่ตรงนี้ทำให้เด็กชายสะดุ้งและก้มหน้า

“ฮ่าฮ่า”

ฟิลลิปหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหลับตาลงและลืมตาขึ้น เขารู้สึกเหมือนถูกจับไอ้นั่นไว้ก่อนจะเสร็จ

“ว่าแต่เธอมีธุระอะไรที่นี่ล่ะ แล้วเธอรู้ได้ยังไง”

ดวงตาของเขาที่ยิ้มจนเรียวเล็กนั้นเป็นประกายอย่างเยือกเย็น

“ก็ลุคบอกว่าเห็นนายขึ้นมาที่นี่หลายครั้งน่ะสิ ว่าแต่โคลอี้บอกว่าตัวเองจะไปงานปาร์ตี้ที่จัดขึ้นสุดสัปดาห์นี้ในฐานะคู่ควงของนาย จริงหรือเปล่า”

“ขึ้นมาถึงที่นี่เพื่อที่จะถามเรื่องนั้นเหรอ”

ฟิลลิปเอียงคอถาม

“นายบอกว่าเลิกกับโคลอี้แล้วนี่ นายคงไม่ได้โกหกแบบนั้นเพื่อที่จะนอนกับฉันสักครั้งหรอกใช่ไหม”

เด็กสาวข่มความโกรธไว้ไม่ได้ และแผดเสียงออกมา

“ตอบสิ อย่ามาเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นนะ!”

ฟิลลิปลุกขึ้นและย่างสามขุมไปตรงหน้าเจน่า เนื่องจากไหล่ที่กว้างเป็นพิเศษ ยิ่งระยะห่างแคบลง ความน่าเกรงขามก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว เจน่าเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวและเงยหน้าขึ้นมองเขา

“เจน่า”

ฟิลลิปทัดผมให้เธอก่อนจะพูดต่อ

“ฉันไม่มีทางโกหกแบบนั้นเพื่อที่จะนอนกับเธอหรอก”

น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำและหวานราวกับกลิ่นของดอกไลแลคที่อยู่ในสายลมอ่อนๆ ที่ปลุกให้ฤดูใบไม้ผลิตื่นขึ้น แต่ไม่รู้ทำไมเจน่าถึงรู้สึกเหมือนกับถูกกระแสลมหิมะจากทางเหนือที่ทำให้เส้นผมแข็งเป็นน้ำแข็งพัดใส่ทั้งตัว เธอรีบก้มหน้าลง

“…เลิกกับโคลอี้แล้วจริงๆ ใช่ไหม”

“อื้อ”

เขาโกหก เขาไม่สามารถเลิกได้ เพราะไม่เคยคบตั้งแต่แรก และกับเจน่าก็เหมือนกัน

“งั้นสุดสัปดาห์นี้…”

เจน่าเงยหน้าขึ้นมาพูดต่อ และสบตากับเด็กชายที่มองมาทางนี้อย่างเหม่อลอย

“อะไรเนี่ย ทำไมยังอยู่ตรงนั้นอยู่อีก”

พอเห็นเด็กสาวนิ่วหน้า เด็กชายก็สะพายกระเป๋าอย่างลนลาน หนังสือที่ยัดเข้าไปได้อย่างยากเย็นหล่นออกมาตามเดิมผ่านช่องว่างของกระเป๋าที่ไม่สามารถปิดได้

“ขอโทษครับ เดี๋ยวผมจะไปแล้ว…”

เด็กชายเอ่ยคำขอโทษที่ไม่รู้ว่าบอกใคร และเริ่มเก็บสมุดโน้ตและหนังสืออีกครั้ง ปากกาด้ามหนึ่งกลิ้งมาอยู่ที่ปลายเท้าของฟิลลิป แม้จะรู้ แต่เขาก็จงใจไม่เก็บ เพราะจู่ๆ เขาก็คิดว่าอยากจะเห็นหัวกลมๆ ของเด็กชายขยับอยู่ตรงปลายเท้าของตัวเอง

เด็กชายยืนกำกระเป๋า ไม่กล้าเดินเข้าไปตรงหน้าของคนทั้งสองคน ฟิลลิปก้มมองข้อมือบางๆ ของอีกฝ่ายที่สามารถทำให้หักได้หากบีบแรงๆ ก่อนจะพูดด้วย

“รู้ไหมว่าบ้านของฉันอยู่ที่ไหน”

“…พอจะรู้อยู่บ้าง”

ฟิลลิปยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้

เด็กชายลังเล แล้วเขาก็รับโทรศัพท์มือถือมาพิมพ์เบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไป

ความมั่นใจของเจน่าถูกทำลาย

ไม่มีใครในละแวกนี้ที่ไม่รู้ว่าคฤหาสน์ของตระกูลเลวินอยู่ที่ไหน หากอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง การกระทำของเขาในตอนนี้ต้องเป็นแผนการเพื่อให้ได้เบอร์โทรศัพท์อย่างแน่นอน

แม้ฟิลลิป เลวินที่เหมือนจะมีตัวหนังสือว่า ‘พวกรักต่างเพศ’ เขียนแปะไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้าจะไม่มีทางชอบผู้ชาย แต่ความจริงที่ว่าอีกฝ่ายไม่สนใจตัวเองและไปสนใจคนอื่น อีกทั้งคนอื่นที่ว่านั่นยังเป็นพวกเนิร์ดธรรมดาๆ จนน่าประหลาดทำให้เด็กสาวอารมณ์เสีย

“ดูๆ ไปแล้วนายเป็นน้องของแอรอนใช่ไหม”

เจน่าหรี่ตาพร้อมกับพูดราวกับนึกอะไรบางอย่างออก

“…เป็นพี่ชายครับ”

เด็กชายเอ่ยตอบเสียงเบา

“แต่ดูไม่เหมือนแอรอนเลยสักนิด”

“…ครับ”

เสียงของเด็กชายที่เอ่ยตอบแบบนั้นเบาราวกับคนที่ทำความผิด เป็นปฏิกิริยาที่ต่างกับคืนวันนั้นที่ทำตาเป็นประกายและบอกว่าน้องชายเรียนเก่ง เล่นกีฬาเก่ง และเท่จริงๆ ต่างจากตัวเองอย่างสิ้นเชิง

“อ๋อ จริงด้วย มีแต่นายเท่านั้นนี่นาที่เป็นแบบนั้น”

เด็กสาวพยักหน้าราวกับรู้สึกเห็นใจจริงๆ และกระซิบข้างหูฟิลลิปราวกับพูดความลับที่ยิ่งใหญ่

“น่าเห็นใจนะ เห็นว่ามีแต่เด็กนั่นที่ถูกรับมาเลี้ยงน่ะ”

นี่เป็นเสียงที่ไม่ใช่แค่ฟิลลิปเท่านั้น แต่เด็กชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็น่าจะได้ยินอย่างชัดเจน

เพราะมีผิวขาว ใบหน้าของเด็กชายจึงแดงขึ้นมาทันที สีหน้าที่แสดงออกมาทั้งหมดแม้อารมณ์จะเปลี่ยนไปแค่เล็กน้อยทำให้เขารู้สึกเห็นใจ แต่สิ่งที่แดงไม่ได้มีแค่ใบหน้าเท่านั้น เพราะตรงบริเวณดวงตาที่มีน้ำตาคลออยู่ก็แดงเช่นกัน น้ำตานั้นไหลอาบแก้มและเปียกเสื้อ

ใบหน้าตอนร้องไห้ของเด็กชายสวยอย่างน่าประหลาด ไม่ว่าจะเป็นตากับปลายจมูกกลมๆ ที่แดงขึ้นมา หรือหยดน้ำตาใสๆ ที่เอ่อคลอก่อนจะหล่นลงมาก็ตาม

เมื่อเห็นผู้ชายร้องไห้ เขาควรจะรู้สึกหงุดหงิด แต่นี่อย่าว่าแต่หงุดหงิดเลย ต่อให้เห็นอีกหลายครั้งเขาก็ไม่รู้สึกเบื่อ

“…ผมขอตัวก่อนนะครับ”

เด็กชายรีบยกกระเป๋าขึ้นและวิ่งลงเนินไป เพราะกลัวว่าจะถูกเห็นใบหน้าตอนร้องไห้ พอเหลือกันอยู่สองคนเจน่าก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ

“ฟิลลิป”

พอฟิลลิปหันกลับมาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย หญิงสาวก็พูดต่อ

“สุดสัปดาห์นี้ช่วยมารับฉันที่หน้าบ้านตอนหนึ่งทุ่มหน่อยนะ เพราะพ่อบอกว่าอยากจะเจอนายสักครั้งน่ะ”

เจน่าเป็นลูกสาวคนเดียวที่แสนล้ำค่าของท่านประธานหวัง ผู้เป็นเศรษฐีที่มีอำนาจทางการเงินในด้านอสังหาริมทรัพย์ เธอเชื่อว่าหากเป็นฟิลลิป เลวิน เธอก็จะสามารถอวดพ่อได้อย่างภาคภูมิใจ เพราะเขาเป็นผู้ชายที่ตรงกับมาตรฐานของตัวเอง

ฟิลลิปไม่ตอบ เขาก้มลงไปหยิบปากกาที่กลิ้งมาอยู่ตรงปลายเท้าของตัวเองขึ้นมา แม้จะเป็นการกระทำที่ไม่สำคัญอะไร แต่เพราะแขนและขาที่ยาวจึงทำให้ดึงดูดสายตา เด็กสาวมองฟิลลิป เลวินอย่างเหม่อลอย

“ว่าแต่เจน่า”

พอฟิลลิปเรียกชื่อ เด็กสาวก็รีบปรับสีหน้าและตอบว่า “หืม?”

“เธอรู้จักน้องของเด็กคนนั้นได้ยังไง”

“ก็แอลลี่น้องของโคลี้เคยคบกับน้องชายของเด็กนั่นอยู่พักหนึ่งน่ะ พอได้ยินว่าพี่ชายอยู่โรงเรียนเดียวกัน คนอื่นๆ ก็เลยไปดูเพราะตื่นเต้น แต่ก็อย่างที่เห็น เพราะสภาพแบบนั้น คนอื่นๆ หัวเราะแล้วก็ถามว่ามีแค่พี่ชายหรือเปล่าที่ถูกรับมาเลี้ยง พอได้ยินเรื่องนั้นแอรอนก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย เขาเลิกกับแอลลี่เพราะเรื่องนั้นแหละ ใครจะไปรู้ล่ะว่าถูกรับมาเลี้ยงจริงๆ”

เขาพอจะเดาสาเหตุได้แล้วว่าทำไมพอพูดถึงเรื่องน้องชาย เด็กชายต้องทำหน้าหวาดกลัวขนาดนั้นด้วย ฟิลลิปครางรับในลำคอ ก่อนจะยกยิ้มมุกปากแล้วพูดต่อ

“แต่เขาห้ามพูดเรื่องแบบนั้นต่อหน้าเจ้าตัวไม่ใช่เหรอ”

“เรื่องอะไร อ๋อ เรื่องนั้น”

เด็กสาวยักไหล่ให้หนึ่งทีก่อนตะพูดต่อ

“ไม่มีใครไม่รู้หรอกว่าเด็กนั่นถูกรับมาเลี้ยง”

หลังจากเหลือบมองไปทางที่เด็กชายจากไป ฟิลลิปก็เคาะดินที่เปื้อนปากกาออก

“แต่ฉันไม่รู้เลยนะ?”

ฟิลลิปทำแววตาซื่อตรงที่สุดในโลกและพูดโกหกออกมาอย่างหน้าตาเฉย

“แล้วยังไงล่ะ มันเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่อะไรหรือไง”

มันไม่ใช่ความลับที่ยิ่งใหญ่ หากดูจากการที่เด็กชายพูดเรื่องนั้นขึ้นมาก่อนอย่างไม่ปิดบัง นี่ไม่ใช่เรื่องที่เด็กชายควรจะร้องไห้ หรือกระทบกระเทือนจิตใจ เพราะเด็กคนนั้นเป็นเด็กขี้แยที่ร้องไห้ได้ง่ายอยู่แล้ว

เว้นแต่ว่า

“เรื่องที่โคลอี้เล่าเป็นเรื่องจริงสินะ”

“เรื่องอะไรเหรอ”

ฟิลลิปทำตายิ้มอย่างนุ่มนวลที่สุด มันเป็นตายิ้มที่สวยงามพอที่จะถูกเรียกว่า ‘เจ้าชายของวู้ดสัน’

“ก็เรื่องที่เธอเป็นผู้หญิงหยาบคายไง”

เขาไม่ได้อารมณ์ดีเลยสักนิดกับการเห็นเด็กชายร้องไห้เพราะคนอื่น

***

ฟิลลิปเข้ามาในห้องและวางกระเป๋าลงอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง

โคลอี้จับมือฟิลลิปและลากไปที่มุมตึกทันทีที่คาบเรียนจบ หลังจากแน่ใจแล้วว่ารอบๆ ไม่มีคน เด็กสาวก็พุ่งเข้าใส่ราวกับรออยู่แล้วพร้อมกับตะคอก

‘นายบ้าไปแล้วเหรอ ฉันไปพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไร ทำไมต้องใช้คำพูดที่ไม่ควรพูดทำให้คนอื่นดูโง่ด้วย’

เห็นได้ชัดว่าเจน่าที่โวยวายอยู่พักใหญ่และพยายามจะตบหน้าฟิลลิปแต่ทำไม่สำเร็จไปลงที่ใคร

‘ทำให้คนอื่นดูโง่ ฉันน่ะเหรอ?’

ฟิลลิปเอียงคอพลางเอ่ยถาม

‘ก็ที่นายไปพูดเรื่องไร้สาระกับเจน่าไง’

ฟิลลิปพูดว่า ‘อ๋อ เรื่องนั้นเอง’ พร้อมกับยิ้มตาหยี

‘ฟิลลิป เลวิน!’

ทำไมพวกผู้หญิงที่โกรธถึงได้เรียกเราด้วยชื่อเต็มแบบนี้ทุกครั้งเลยนะ ฟิลลิปก้มมองโคลอี้ที่ตัวสั่นและมองตัวเอง และยิ้มอย่างสุขุม

‘ฉันไปพูดแบบนั้นตอนไหน!’

โคลอี้ไม่เคยเรียกเจน่าว่านังผู้หญิงหยาบคายตรงๆ เธอแค่พูดว่าเจน่าเป็นผู้หญิงที่โลภมาก เห็นแก่ตัว และคิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลกเท่านั้น

บทสนทนาส่วนใหญ่ที่เริ่มต้นด้วยการพูดว่า “ฉันรู้ดีกว่าใคร เพราะฉันสนิทกับเธอ” มักจะต่อด้วยการพูดจาว่าร้ายเจน่า

‘นั่นสิ ฉันจำไม่ได้เลย’

‘ในเมื่อจำไม่ได้ แล้วทำไมต้องพูดในสิ่งที่ตัวเองรับผิดชอบไม่ได้ด้วยล่ะ ไปบอกเจน่าเลยนะว่านายพูดไปเรื่อย! รู้ไหมว่าฉันดูประหลาดแค่ไหนเพราะคำพูดของนาย’

‘จริงด้วย ดูเหมือนความจำของฉันจะไม่ค่อยดีเท่าไร ถึงขนาดจำหน้าคนไม่ค่อยได้เลย’

‘จู่ๆ ก็พูดอะไรน่ะ’

‘ก็ฉันเจอคลิปสนุกๆ จากกล่องดำน่ะสิ คลิปที่ถ่ายใครบางคนที่เอาตะปูมาทิ่มยางรถยนต์ของฉันน่ะ ฮ่าฮ่า’

กล่องดำของเฟอร์รารี่ไม่ใช่ระบบบันทึกภาพต่อเนื่อง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่มีความคิดที่จะเปิดดูอย่างละเอียดเลยสักนิด แต่โคลอี้ไม่มีทางรู้ความจริงข้อนั้น ใบหน้าของเธอซีดเผือด

‘ไม่ว่าจะมองยังไงฉันก็นึกไม่ออกเลยว่าเป็นใคร ฉันก็เลยคิดว่าจะเอาลงโฮมเพจของโรงเรียนดีไหม เธอคิดว่ายังไงล่ะ’

พอฟิลลิปถาม โคลอี้ก็พูดไม่ออกและได้แต่กัดริมฝีปาก เธอรู้ดีว่าหากคลิปที่เธอนอนคว่ำหน้าลงกับพื้นและใช้ตะปูเจาะยางรถยนต์ถูกเผยแพร่ออกไป ชื่อเสียงของเธอจะเป็นอย่างไร

โคลอี้พูดบทที่ไม่สามารถหาความแปลกใหม่ได้เลยว่า ‘ฟิลลิป นายมันเฮงซวยจริงๆ เลย’ ก่อนจะจากไป

ตั้งแต่นั้นเขาก็ได้ยินข่าวลือว่าโคลอี้กับเจน่าแตกคอกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องที่เจน่าพูด เหมือนจะบอกว่าตื่นเต้นที่เด็กนั่นมีพี่ชายก็เลยไปมุงดูและรุมหัวเราะเยาะ

…ตอนนั้นก็คงจะร้องไห้เหมือนกันสินะ

พอนึกถึงเด็กชายที่ร้องไห้น้ำตาหยดแหมะๆ คนเดียวเหมือนคนโง่ เขาก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

ฟิลลิปหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาจากเสื้อที่โยนทิ้งไป และหาเบอร์โทรศัพท์ที่บันทึกเอาไว้เมื่อกี้

[หวัดดี]

ผ่านไปไม่นานก็มีข้อความตอบกลับจากเด็กชายส่งกลับมา

[ครับ สวัสดีครับ…คุณเป็นใครครับ]

ไอ้คนหยาบคาย

ฟิลลิปยิ้มก่อนจะขยับนิ้ว

[คิดว่าใครล่ะ]

ผ่านไปไม่นานก็มีข้อความถามซ้ำกลับมาว่า [ฟิลลิป??]

[ดูเหมือนนายจะรอการติดต่อจากคนอื่นนอกจากฉันนะ ถ้าดูจากการที่นายใส่เครื่องหมายคำถามมาสองอันน่ะ]

[เปล่าครับ คือผมไม่คิดว่าจู่ๆ คุณจะส่งข้อความมาหา…สวัสดีครับ]

ฟิลลิปหัวเราะกับคำทักทายที่อีกฝ่ายพิมพ์ทิ้งท้ายอีกครั้ง

[ทำอะไรอยู่]

[การบ้านครับ การบ้านวิชาไวยากรณ์]

[ขอโทษที่รบกวนเวลาที่แสนสนุกนะ]

[ไม่เลยครับ! ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยครับ…ไม่สนุกเลยครับ]

เขานึกใบหน้าใสซื่อที่คงจะทำตัวไม่ถูกกับคำพูดล้อเล่นที่พูดไปอย่างนั้นและกำลังตอบกลับมา ฟิลลิปกระตุกยิ้มพร้อมกับนอนคว่ำหน้าบนเตียง ในระหว่างที่กำลังคิดว่าจะพูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้อย่างไรดี ก็มีข้อความจากเด็กชายส่งเข้ามา

[เมื่อกี้ผมขอโทษนะครับ คุณคงจะลำบากเพราะผม]

ฟิลลิปอ่านข้อความนั้น และเช็กชื่อผู้ส่งอีกครั้ง

เขาพิมพ์ว่า ‘ทำไมต้องเป็นนายด้วยล่ะ’ แล้วก็ลบ จากนั้นเริ่มขยับนิ้วอีกครั้ง

[ใช่แล้ว ฉันลำบาก]

คำตอบถูกส่งกลับมาทันทีที่เขาได้ยินเสียงข้อความถูกส่งไป

[ขอโทษครับ ผมจะไปขอโทษแฟนของคุณด้วยตัวเองเองครับ]

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท