TW : มีการแสดงออกถึงการดูถูกพวกรักร่วมเพศ (Homophobia)
“เหอะ…”
ฟิลลิปแสร้งหัวเราะ
เขาพิมพ์จนถึงคำว่าขอโทษนังผู้หญิงแบบนั้นไปก็เปล่าประโยชน์ แล้วก็ลบทิ้งเพราะกลัวว่าเด็กชายจะตกใจ
[ฉันลำบากเพราะไม่รู้ว่านายจะมางานปาร์ตี้กี่โมงต่างหาก ฉันต้องรอต่อไปนี่นา]
แม้จะรออยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีคำตอบส่งกลับมา ฟิลลิปนอนตัวตรงอยู่บนเตียงและจ้องหน้าจออยู่ตลอดเวลา ในที่สุดหน้าต่างข้อความก็เด้งขึ้นมา
[…ผมลองคิดดูแล้ว ขอบคุณมากนะครับที่เชิญผม แต่ผมคิดว่าผมไม่ไปที่นั่นน่าจะดีกว่า]
“ฮ่าๆๆๆ”
ฟิลลิปที่อ่านข้อความหัวเราะออกมาในที่สุด
ฟิลลิปมักจะถูกรายล้อมด้วยผู้คนที่แสดงออกว่าชื่นชอบในตัวเขา และคนที่แสดงออกว่าชื่นชอบเขาที่ถูกเรียกว่าเป็นเจ้าชายของวู้ดสันก็ไม่ได้มีแค่ผู้หญิงเท่านั้น ถึงขนาดที่พวกเกย์พูดกันว่าถ้าได้กดไหล่ของฟิลลิป เลวินก่อนตาย พวกเขาก็ไม่มีความปรารถนาอะไรอีกแล้ว อันที่จริงก็มีผู้ชายมาสารภาพรักกับเขาอยู่หลายคน และทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นฟิลลิปก็จะยิ้มอย่างลำบากใจ และเอ่ยตอบไปว่าถึงจะรู้สึกขอบคุณ แต่ก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย แต่แน่นอนว่าภายในใจของเขากลับพ่นคำด่าว่า ‘ก็ลองยื่นรูหลังที่สกปรกเข้ามาสิไอ้พวกเกย์หน้าโง่’
มือของฟิลลิปกำโทรศัพท์แน่นจนเส้นเอ็นขึ้น เขาก็ส่งข้อความตอบกลับสั้นๆ ไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
[ทำไมล่ะ]
แม่งเอ๊ย ทำไมวะ แกก็ชอบฉันนี่
ฟิลลิปพอจะมองออกอยู่บ้างว่าเด็กชายมีความรู้สึกที่พิเศษกับตัวเอง เขาอ่านปฏิกิริยาที่คนแสดงออกมาในตอนที่ชื่นชอบใครสักคนได้ดีกว่าใคร สายตาที่เอาแต่มองมาอยู่เสมอ รอยยิ้มที่เขินอาย ปลายนิ้วที่สั่นด้วยความวุ่นวายใจ ความรู้สึกหวั่นไหวเพราะปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่ไม่ได้พิเศษอะไร และท่าทีต่างๆ ที่ดูยุ่งเหยิง
ทุกอย่างที่เด็กชายแสดงออกต่อหน้าเขา ไม่ว่าจะเป็นอาหารกลางวันสำหรับสองคนที่ห่อมาทุกวันอย่างไม่รู้จักเบื่อ หนังสือที่พอเขาแสดงความสนใจออกไปเพียงเล็กน้อย อีกฝ่ายก็จะหาหนังสือเล่มต่อไปมายื่นให้ ความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยู่ในดวงตากลมโต และความอ่อนโยนและใจดีที่ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่เด็กชายกลับคิดว่าตัวเองรักษาเส้นแบ่งไว้ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นฟิลลิปจึงหลับตาและแกล้งทำเป็นไม่รู้ถึงความรู้สึกของเด็กชาย หากเป็นตัวเขาในยามปกติ นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าจะเกิดขึ้น เขาทำแม้กระทั่งชวนไปงานปาร์ตี้ แต่กลับได้ปฏิกิริยาแบบนี้น่ะเหรอ
เด็กชายปฏิบัติกับฟิลลิปราวกับเขาเป็นเฟร็ดที่ไล่ตามหลังตัวเองเพราะติดสัด
“ฮ่าฮ่า ยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์เสีย”
ฟิลลิปรอคำตอบของเด็กชาย หน้าต่างข้อความแสดงการใช้งาน เพราะเขาพิมพ์ข้อความแล้วก็ลบ เขาทำแบบนั้นอยู่หลายครั้ง
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ หน้าต่างข้อความก็เด้งขึ้นมา
[เพราะกลัวครับ ผมน่ะ]
สีหน้าหายไปจากใบหน้าของฟิลลิปราวกับถูกถอดหน้ากากออก เขาทำสีหน้าแปลกๆ ที่ไม่ใช่ทั้งการยิ้ม หรือการแสดงออกว่าโกรธ และอ่านข้อความที่ถูกส่งมาหาตัวเองซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ
เพราะกลัวครับ ผมน่ะ
เพราะกลัวครับ
เพราะกลัว
“…”
ผ่านไปสักพัก ฟิลลิปก็ปาโทรศัพท์มือถือลงพื้นอย่างไม่แยแส จากนั้นก็นอนลงบนเตียงตามเดิม แม้เขาจะพยายามนอนให้หลับและหลับตาลง แต่ความปวดที่เหมือนจะเป็นความเคยชินก็ทิ่มแทงขมับของเขา ฟิลลิปหยิบยาออกมาจากซองยาที่วางอยู่ใต้เตียง เขากลืนยาเข้าไปโดยไม่ดื่มน้ำและนอนลงอีกครั้ง นี่เป็นความรู้สึกที่ทั้งมึนงงและสกปรกราวกับถูกสิ่งสกปรกราดใส่อย่างกะทันหัน
***
“ฟิลลิป มีเรื่องอะไรทำให้อารมณ์ไม่ดีเหรอ”
“เปล่านี่ ทำไมเหรอ”
“ก็นายทำสีหน้าไม่ดีทั้งวันเลย”
ฟิลลิปเลิกคิ้วก่อนจะเบนสายตากลับไปที่หนังสืออีกครั้ง แต่เขากลับไม่ได้พลิกหน้าหนังสือเลยแม้แต่หน้าเดียวตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
[เพราะกลัวครับ ผมน่ะ]
นั่นข้อความทั้งหมดที่เด็กชายส่งมา เขาคิดว่าอาจจะมีข้อความอื่นเพิ่มเติม เพราะการเว้นวรรคที่ตามหลังมา แต่เด็กชายกลับไม่ติดต่ออะไรมาอีก
ฟิลลิปก็ไม่ได้ติดต่อหาเด็กชายอีกครั้ง เขาไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น นี่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่จะทำแบบนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“ฟิลลิป ปาร์ตี้ที่จะมีตอนสุดสัปดาห์…”
ฟิลลิปปิดหนังสือที่อ่านอยู่และลุกขึ้น
“ฉันไปก่อนนะ”
“หา? อ๋อ ได้สิ”
ฟิลลิปทิ้งอีกฝ่ายที่พูดตะกุกตะกักไว้ข้างหลังก่อนจะออกไปจากห้องเรียน เนื่องจากเมื่อวานไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิท วันนี้เขาจึงปวดหัวทั้งวัน
“ฟิลลิป!”
แม้จะได้ยินเสียงเรียกตนจากด้านหลัง แต่ฟิลลิปก็แกล้งทำเป็นไม่รู้และเดินต่อไป
“ฟิลลิป! ฟิลลิป!”
มือเล็กๆ ที่ยื่นมาจากด้านหลังคว้าแขนของเขาไว้ ฟิลลิปก้มมองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เจือด้วยความหงุดหงิด
“มีอะไร”
“จริงหรือเปล่าที่เขาบอกว่าโคลอี้กับเจน่าทะเลาะกันอย่างรุนแรงเพราะนาย”
“อย่างนั้นเหรอ”
เขาสรุปความในใจที่อยากจะพูดว่า ‘ไม่ว่าสองคนนั้นจะตบตี หรือจะกระชากหัวกันกูก็ไม่สนใจหรอกไอ้เหี้ย’ อย่างสั้นๆ และตอบกลับไป
“ฉันนึกแล้วว่าต้องเป็นแบบนั้น ต่อให้สองคนนั้นแกล้งทำเป็นสนิทกัน แต่เอาอีกฝ่ายไปด่าเยอะเลย”
การพูดคุยที่เขามีความสนใจน้อยพอๆ กับขนที่ขึ้นที่หลังของตัวหนอนดำเนินต่อไป เขาปวดหัวจี๊ดๆ และรู้สึกเหมือนกับมีเครื่องบินไอพ่นปล่อยไอเสียอยู่ในหัวของเขาไม่ยอมหยุด
กลัวงั้นเหรอ ทำไมล่ะ ตอนที่เจอกันครั้งแรก คนที่ช่วยไว้ตอนที่อยู่ในสภาพที่น่าอับอายนั้นคือใครล่ะ ถ้าฉันทำขนาดนั้นกับคนอย่างนาย นายก็ต้องรู้สึกขอบคุณสิ ถ้าแสดงความคิดแย่ๆ ออกไปสักหน่อยก็คงจะไม่เสียใจ ไม่สิ ทำไมจะต้องเสียใจด้วยล่ะ การที่คนโง่แบบนั้นบอกว่ากลัวจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งอารมณ์ไม่ดี
ความรู้สึกอันดำมืดพุ่งขึ้นมาผ่านรอยร้าว
คนที่พูดว่าแม้จะเป็นไอ้สารเลวก็เป็นห่วงอยู่ดีคือเด็กชายเอง คนที่บอกว่าต่อให้เป็นคนไม่ดี แต่ถ้าไม่สบายก็ต้องเป็นห่วง และคนที่แสดงจิตใจที่อ่อนโยนจนดูโง่ และปฏิบัติกับเขาราวกับเป็นสิ่งที่ควรได้รับการปกป้องก็คืออีกฝ่าย
ถ้ากลัวขนาดนั้น จะพูดอะไรแบบนั้นตั้งแต่แรกเหรอ ถ้ากลัว ถ้ารู้สึกแบบนั้น ทำไม…
“ก็นั่นแหละ ฟิลลิป นายฟังที่ฉันพูดอยู่หรือเปล่า”
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร คำพูดนั้นก็ไม่เข้าหูของเขาเลยสักคำเดียว ฟิลลิปเดินออกจากบริเวณทางเดินและไปที่ลานจอดรถ เขาสตาร์ทรถก่อนจะขับออกไป เสียงเครื่องยนต์หนักดังแหวกผ่านอากาศ แม้ตัวเลขบอกความเร็วจะเพิ่มขึ้นในระดับที่อันตราย แต่เขาก็ไม่สนใจและเหยียบคันเร่งต่อไป รถของเขาวิ่งไปตามถนนเลียบชายฝั่งสักพักก่อนจะจอดรถ พอตั้งสติได้ เขาก็มองเห็นประตูสีฟ้า นั่นคือหน้าบ้านของเด็กชาย
“ฮ่าฮ่า…”
ฟิลลิปหัวเราะเจื่อนๆ
แม้จะพยายามนึกถึงเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่ แต่ก็ไร้ประโยชน์ ฟิลลิปใช้นิ้วเคาะพวงมาลัยเบาๆ
หากขับรถชนประตูบานใหญ่สีฟ้าที่สวยและน่ามองเหมือนฉากที่อยู่ในนิยาย อารมณ์จะดีขึ้นมาหน่อยหรือเปล่านะ
ฟิลลิปกระตุกยิ้มก่อนจะทิ้งตัวพิงพวงมาลัย นี่เขาโมโหถึงขนาดนี้เลยเหรอ เขาไม่เคยรู้สึกอ่อนแอจนได้รับความเจ็บปวดจากคำพูดว่ากลัวมาก่อน การขยับของนิ้วที่เคาะพวงมาลัยช้าลงทีละนิด
จู่ๆ เขาก็อยากถามเด็กชายด้วยตัวเองต่อหน้า
นายกลัวอะไรกันแน่ หรือว่านายสังเกตเห็นนิสัยที่โสมมของฉันที่คนอื่นไม่รู้ได้ในเวลาสั้นๆ ต่อให้เป็นแบบนั้น นายจะช่วยเข้าใจเงียบๆ ไม่ได้เหรอ เพราะอย่างน้อยฉันก็ไม่น่าจะฆ่านาย
“ฮ่าๆๆ”
ฟิลลิปคิดว่าไม่พูดประโยคสุดท้ายออกมาน่าจะดีกว่า และยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เพราะคิดว่าการส่งข้อความไปหาเด็กชายน่าจะดีกว่าการที่รออย่างไม่มีแบบแผนอย่างนี้
แล้วเขาก็เห็นเด็กชายที่เดินเลี้ยวโค้งมาจากอีกฟากหนึ่งของถนนพอดี ในมือของเด็กชายถือถุงสีน้ำตาลเอาไว้ คล้ายว่าเพิ่งกลับมาจากการไปทำธุระให้แม่
ฟิลลิปคิดว่าเขาควรจะโทรศัพท์หาดีหรือเปล่า แล้วก็วางโทรศัพท์มือถือลงตามเดิม เขาพิงพวงมาลัยพลางเฝ้ามองเด็กชาย ดูเหมือนว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่จึงเดินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และในทุกๆ การก้าวเดิน แก้มเล็กๆ ของอีกฝ่ายก็พองขึ้นสลับกับพ่นลมหายใจออก เด็กชายทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนเขาอยากจะใช้นิ้วช่วยทำให้หว่างคิ้วคลายออก แพขนตายาวที่ปิดลงมาเพราะความวิตกกังวลกระพือพร้อมกับลมหายใจที่พ่นออกมา
ดวงตาของอีกฝ่ายทั้งโตและล้ำลึก ถ้ามองจะรู้สึกเหมือนจมลงไปในทะเล เพราะแบบนั้นหรือเปล่า เขาถึงรู้สึกคลื่นไส้ทุกครั้งที่สบตากับเด็กชาย
ความวุ่นวายใจที่เหมือนกับมีน้ำอุ่นเอ่อล้นและกระเพื่อมอยู่ในใจอย่างไม่มีสาเหตุทำให้เขารู้สึกกระหายน้ำจนปากแห้ง บางครั้งเขาก็เหมือนจะอารมณ์ดีและอารมณ์ไม่ดีไปพร้อมๆ กัน แล้ว…
ตอนนั้นเอง
เด็กชายเงยหน้าขึ้นมา อีกฝ่ายยิ้มกว้างราวกับพบว่าเขาอยู่ตรงนี้
รอยยิ้มที่ใสซื่อบริสุทธิ์ผลิบานบนใบหน้าของเด็กชาย ดวงตากลมโตเป็นประกายราวกับผิวของน้ำทะเลที่ระยิบระยับจากการยิ้ม แก้มกลมๆ ถูกแสงอาทิตย์ตอนตกดินแต่งแต้มจนเป็นสีแดง
เด็กชายยิ้ม
เด็กชาย…
มองมาทางตนและยิ้มอย่างสดใส
สายตาที่เอาแต่มองมาอยู่เสมอ รอยยิ้มที่เขินอาย ปลายนิ้วที่สั่นด้วยความวุ่นวายใจ ความรู้สึกหวั่นไหวเพราะปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่ไม่ได้พิเศษอะไร และท่าทีต่างๆ ที่ดูยุ่งเหยิง
ทันใดนั้นฟิลลิปก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคืออะไร มือที่กำพวงมาลัยไว้ชื้นเหงื่อ
ความต้องการที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้พุ่งจากท้องน้อยขึ้นมาจนถึงลำคอ เขาเกือบจะหายใจไม่ออก เขาอยากวิ่งไปตรงหน้าเด็กชายเดี๋ยวนี้ เขาปลดตัวล็อกเข็มขัดนิรภัยออก ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูรถ เขาก็มองเห็นใครบางคนเดินเข้าไปตรงหน้าเด็กชาย
ผู้ชายที่สูงกว่าเด็กชายประมาณหนึ่งช่วงหัวกางแขนออกกว้างและกอดเด็กชายอย่างเต็มแรง เด็กชายยิ้มอย่างดีใจเป็นอย่างมากและถูกชายคนนั้นกอดเอาไว้ พวกเขาอยู่อย่างนั้นสักพัก จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็จูบแก้มเด็กชายเบาๆ ก่อนจะขยี้ผมอย่างหยอกเล่น ก่อนจะรับถุงที่เด็กชายถืออยู่ในมือไปถือเอง
คนทั้งคู่ออกเดินไปพร้อมกับคุยกันไปด้วย เพราะอยู่ในรถ เขาจึงไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ แต่ถึงจะไม่ได้ยิน เขาก็รู้สึกได้ว่าสองคนนั้นคงจะมีความสัมพันธ์เป็นคนสำคัญของกันและกันอย่างลึกซึ้ง
ฟิลลิปกำพวงมาลัยและมองไปด้านหน้าโดยไม่พูดอะไร เขาไม่สามารถขยับนิ้วได้เลยจนกระทั่งทั้งสองร่างนั้นหายเข้าไปในบ้าน
***
พอกลับมาถึงบ้าน เขาก็ถอดเสื้อและโยนทิ้งอย่างไม่ไยดีก่อนจะนอนลงบนเตียง เขาเอื้อมมือออกไปคว้าขวดยาราวกับเป็นความเคยชินก่อนจะบิดฝาขวดออก เขากลืนยาเม็ดเข้าไปเท่าที่หยิบได้และดื่มน้ำตาม ถึงจะหลับตาลง แต่สติที่ถูกลับอย่างแหลมคมกลับชัดเจนมากยิ่งขึ้น สุดท้ายเขาก็เทยาที่เหลืออยู่ในขวดยาทั้งหมดใส่ฝ่ามือ หลังจากที่กินยาทั้งหมดแล้ว เขาก็หลับตาลง
ความง่วงผุดขึ้นมาอย่างยากลำบากท่ามกลางสติที่เลือนรางลงเพราะฤทธิ์ยา แต่การนอนหลับที่สมบูรณ์อย่างที่เป็นมาเสมอกลับไม่เกิดขึ้น
ในระหว่างที่นอนหลับ สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวก็กัดกร่อนสติของเขา
เสียงเข็มวินาทีที่เดินไปอย่างน่าเบื่อ เสียงลมนอกหน้าต่าง กลิ่นเส้นใยซับซ้อนเกินบรรยายที่ลอยขึ้นมาจากพรมที่ทอมาจากขนสัตว์ เสียงลมหายใจ และกลิ่นเหงื่อหวานหอมที่รู้สึกจากสิ่งมีชีวิตที่เป็นเด็กและอ่อนแอ…
“ตื่นแล้วเหรอครับ”
เด็กชายเอ่ยถาม เขามองเห็นแก้มเห่อแดงเพราะโดนแสงแดด แก้มนุ่มๆ นั้นสัมผัสโดนปลายนิ้ว เขารู้สึกจั๊กจี้บริเวณหน้าอก พอเขางอนิ้วลง เด็กชายก็หัวเราะด้วยความจั๊กจี้
รอยยิ้มที่บริสุทธิ์ผลิบาน รอยยิ้มนั้นไร้เดียงสาและงดงาม
“…ทำไม…”
เด็กชายมองเขาด้วยดวงตาที่ตื่นตระหนก พอตั้งสติได้ เขาก็บีบคอของเด็กชายไปแล้ว สายตาของพวกเขาประสานกัน จากนั้นความกระหายที่ทำให้รู้สึกงุ่นง่านก็เกิดขึ้น เขาค่อยๆ ลุกขึ้นและดึงเด็กชายเข้ามา ริมฝีปากของพวกเขาเฉียดกัน จากนั้นก็แตะริมฝีปากที่แห้งผากลงไป
ขนของเขาลุกซู่ เส้นเลือดทั้งหมดในร่างกายตึงเครียด ริมฝีปากที่แตะกันอยู่ประกบกันอย่างแผ่วเบา ขณะเดียวกันมือก็ลูบไล้ผิวที่อ่อนนุ่มไปด้วย เขาขยับริมฝีปากอย่างช้าๆ ราวกับเป็นเด็กชายและเด็กสาวที่ยืนยันการมีอยู่ของกันและกันอย่างเงอะงะ เด็กชายที่ตัวแข็งทื่อเพราะตกใจกับการกระทำที่ทั้งระมัดระวังและเป็นความลับนั้นหลับตาลง ลมหายใจเล็กๆ ทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้ในปาก เขารู้สึกวิงเวียน ความต้องการที่เด่นชัดพอที่จะทำให้ตาลายไหลลงคอไปและเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
“อ๊ะ…”
เขากอดร่างกายที่ผอมบางของเด็กชายไว้และจับให้นอนลงบนม้านั่ง การจูบที่เหมือนจะกลืนกินอีกฝ่ายเข้าไปดำเนินต่อไป ร่างกายที่ทาบทับกันค่อยๆ ร้อนขึ้น พอเขากดตัวลงไป เด็กชายก็ร้องครวญครางเหมือนกับลูกสัตว์ ยิ่งเขาอ้าปากพร้อมกับขยับลิ้น และกอดอีกฝ่ายไว้ เขาก็ยิ่งคิดว่ายังไม่พอ เขาอยากสัมผัสอีกฝ่ายมากขึ้นและมากขึ้น เขาอยากสัมผัสอีกฝ่ายมากขึ้นจนแนบชิดกันโดยไม่มีช่องว่าง…