ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – Side Story < Love Story > 1-12

Side Story < Love Story > 1-12

แม้จะกำลังยิ้มอยู่ แต่เขากลับปวดหัวตุบๆ เขารู้สึกเหมือนมีใบมีดคมๆ ลอยอยู่ในเส้นเลือดที่ไหลขึ้นไปที่สมอง และเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะรู้สึกไม่ดี เขาจึงปิดปากเงียบและนั่งพิงโซฟาอยู่ตลอดทั้งงานปาร์ตี้ ในขณะเดียวกันก็หมายมั่นว่าอยากจะออกไปทุบหัวของไอ้พวกคนที่พูดจาเสียงดังน่าหนวกหูให้แตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนแตงโม

ตอนที่เด็กชายที่แต่งตัวเรียบร้อยปรากฏตัวตรงหน้า เขาคิดว่าตัวเองกำลังฝันทั้งๆ ที่ลืมตาในตอนแรก เพราะช่วงนี้เด็กชายปรากฏตัวในฝันทุกวัน

ถ้าคราวนี้จูบและถอดเสื้อผ้าออกจะร้องไห้ไหมนะ

ในระหว่างที่คิดแบบนั้น เขาก็ได้ยินเสียงของเด็กชาย

‘…สวัสดีครับ’

แล้วฟิลลิปก็ได้รู้ในวินาทีที่ได้ยินเสียงที่เหมือนคนโง่นั้นว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในความเป็นจริง ไม่ใช่ความฝัน และความละอายใจก็ถาโถมเข้ามาในเวลาเดียวกัน

“เหอะ ให้ตายสิ…”

ความหงุดหงิดงุ่นง่านพุ่งขึ้นมา แม้เด็กชายจะทำตัวไม่ถูกและเอาแต่มองตน แต่เขาก็จงใจไม่ส่งสายตาไปทางอีกฝ่ายเลยสักครั้ง

ช่างหัวไอ้ปาร์ตี้แม่งนี่เถอะ

พอลงมาที่ชั้นหนึ่ง ก็มีคนแกล้งทำเป็นรู้จักและพูดคุยด้วยจากตรงนั้นตรงนี้ ฟิลลิปปล่อยให้คำพูดพวกนั้นผ่านไปด้วยรอยยิ้มลวกๆ และกลับไปยังที่ของตัวเอง แต่เขาไม่เห็นเด็กชายแล้ว

พอฟิลลิปนั่งลง คิลเลียนก็พูดในสิ่งที่เขาไม่ทันได้ถาม

“เพื่อนนายไปแล้วล่ะ คนที่กอดกระถางดอกไม้อย่างกับว่าเป็นของล้ำค่าน่ะ”

คนอื่นๆ ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แต่ฟิลลิปไม่ได้หัวเราะตามไปด้วย แม้จะคิดว่าโชคดีแล้วที่เจ้าทึ่มที่เหงื่อแตกและหน้าซีดอยู่คนเดียวกลับไปแล้ว แต่เขากลับอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก

“ว่าแต่เห็นเฟร็ดไหม เห็นว่าแวะเข้าไปดูที่เก็บเหล้านอกของพ่อนายอย่างตื่นเต้นตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

“งั้นเหรอ”

ฟิลลิปตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ ไม่ว่าไอ้นั่นจะตายห่าเพราะกินเหล้าที่อยู่ในตู้เก็บเหล้าไปหมดหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา

“จะว่าไปเฟร็ดยังเหมือนเดิมเลยนะ ที่เอาแต่ไล่ตามหลังเด็กนั่นน่ะ”

“ใครเหรอ”

“เด็กที่ถือกระถางดอกไม้มาเมื่อกี้ไง เฟร็ดมันร้อนรุ่มกลุ้มใจเพราะจับกินไม่ได้มาตั้งนานแล้ว หึหึ เมื่อกี้พอเห็นเด็กนั่น มันก็ทำตาเป็นประกายแล้วก็เดินตามขึ้นไปเลย ไม่รู้เหมือนกันนะว่าไม่ถูกจับกินจริงๆ หรือเปล่า”

“…ไหน”

เนื่องจากถูกเสียงเพลงที่ดังจนน่าหนวกหูกลบทำให้ได้ยินไม่ชัด คิลเลียนที่นั่งอยู่ข้างฟิลลิปจึงเอ่ยถามซ้ำว่า “ว่าไงนะ” แต่ในระหว่างนั้นเสียงเพลงก็หยุดลงพอดี

“ฉันถามว่าไอ้กร๊วกเฟร็ดไปไหน”

น้ำเสียงนุ่มนวลของฟิลลิปดังผ่าความเงียบอย่างดุดัน และการออกเสียงก็ชัดเจนจนไม่มีใครที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินไม่ชัด คิลเลียนชี้ไปที่บันไดที่พาขึ้นไปยังชั้นสองด้วยสีหน้ามึนงง เสียงเพลงดังขึ้นอีกครั้ง และทุกคนก็ทำได้แค่มองฟิลลิปเดินย่างสามขุมขึ้นบันไดไปอย่างงงงวย

ฟิลลิปเปิดประตูที่อยู่ใกล้กับทางเดินที่สุดออกอย่างเต็มที่ ชายหญิงที่นัวเนียกันด้วยสภาพเปลือยเปล่าตกใจและลุกขึ้น ฟิลลิปปิดประตูลงตามเดิม เขาทำแบบเดิมอยู่หลายครั้งก่อนจะฝืนหัวเราะ

นี่เราทำบ้าอะไรอยู่กันแน่

แค่ได้ยินว่าเฟร็ดเดินตามเด็กชายขึ้นมาเท่านั้นเอง ความเป็นที่ได้ที่ไอ้หมอนั่นจะแกล้งแย่งกระถางดอกไม้มาและคืนให้มีสูงมาก แต่ถ้า…

เขานึกถึงใบหน้าของเด็กชายที่เงยหน้ามองตนด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอ ฟิลลิปสบถพร้อมกับกัดริมฝีปากล่าง แล้วความคิดที่โผล่ขึ้นมาในหัวอย่างกะทันหันก็ทำให้เขาเปลี่ยนทิศทาง และเดินไปทางห้องที่อยู่ด้านในสุด

เขาเปิดประตูออกอย่างเต็มที่

อย่างน้อยก็คงมีความละอายใจอยู่บ้าง เพราะเขาไม่เจอคู่รักที่พลอดรักกันในห้องของเจ้าของบ้าน ในขณะที่กำลังจะปิดประตู เพราะคิดว่าคงเป็นแค่ความคิดที่ไร้สาระ เขาก็ได้ยินเสียงที่เบามากๆ เป็นเสียงเบาๆ เหมือนกับเสียงร้องของสัตว์ตัวเล็กๆ ฟิลลิปปิดประตูและเดินเข้าไปในห้อง เขาเดินไปอย่างช้าๆ และหมุนลูกบิดประตูห้องน้ำที่อยู่ในห้อง ประตูถูกล็อกไว้

ฟิลลิปเคาะประตูเบาๆ ประมาณสองครั้ง แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับอะไรจากด้านในเลย ฟิลลิปแสยะยิ้ม เขาถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวก่อนจะลงมือถีบประตู ลูกบิดประตูที่แตกไม่ชิ้นดีพร้อมกับส่งเสียงดังและห้อยต่องแต่งอยู่กับประตู เขามองเห็นร่างของใครบางคนผ่านช่องว่างของประตูที่เปิดอ้า เป็นเด็กชายที่ถูกชกจนหน้าตาดูไม่ได้ และอยู่ในสภาพเครื่องแต่งกายท่อนล่างถูกดึงลงมา และโดนมือใหญ่ๆ ปิดปากเอาไว้

“เอ่อ คือ…นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด…”

เฟร็ดดึงกางเกงที่ถกลงไปขึ้นพร้อมกับพูดติดอ่าง พอถูกสายตาของฟิลลิปจ้องมอง เฟร็ดก็ปล่อยมือออกจากปากของเด็กชายที่โดนปิดปากอย่างไม่เต็มใจ ตอนนั้นเองเสียงร้องที่เด็กชายกลั้นเอาไว้ก็ดังขึ้นพร้อมกับการหอบหายใจ เลือดกำเดาไหลลงมาตามคางของอีกฝ่าย

“ฮือ…แฮ่ก…ฮึก…”

ฟิลลิปก้มมองเด็กชายด้วยแววตาว่างเปล่าก่อนจะเบนสายตากลับไป

“ฮ่าฮ่า เปล่านะ จู่ๆ มันก็วิ่งเข้ามาหาฉัน แม่ง ไอ้เกย์นี่มันขอให้ฉันมีอะไรด้วยแล้วก็อ้าขาให้…”

เฟร็ดไม่สามารถพูดคำแก้ตัวที่ขี้ขลาดและสับสนยุ่งเหยิงได้อีกต่อไป ฟิลลิปจับหัวของเฟร็ดกระแทกเข้ากับอ่างล้างหน้า

“อ๊ากกก!”

เลือดกำเดากระเด็นออกไปทั่วสารทิศ เฟร็ดกุมจมูกพร้อมกับกรีดร้อง อ่างล้างหน้าเซรามิกสีขาวเต็มไปด้วยเลือดและกระจัดกระจายไปทั่ว เฟร็ดที่จมูกหักกลิ้งอยู่บนพื้นห้องน้ำพลางกุมใบหน้าไว้และพ่นคำสบถปนเสียงร้องไห้ออกมา

“ฮือ ไอ้บ้าเอ๊ย…โอ๊ย!”

เด็กชายหน้าซีดและยืนนิ่งอยู่กับที่ในสภาพที่ไม่สามารถหายใจได้ สีหน้าของฟิลลิปยังคงไม่เปลี่ยนเลยสักนิด เขาหยิบผ้าขนหนูมายัดใส่ปากของเฟร็ดที่กรีดร้องเหมือนหมูถูกตอน

“อื้อ…อุบ!”

เฟร็ดตกใจกลัวและพยายามจะถุยผ้าขนหนูออกมา พอเห็นดังนั้นฟิลลิปก็ตบแก้มของเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี เฟร็ดที่มีรูปร่างท้วมใหญ่กระแทกกับพื้นอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงดัง เพียะ!

“ฮ่า ฮ่าฮ่า”

ฟิลลิปหัวเราะสดใสก่อนจะสบถว่า “แม่ง” เขานั่งยองๆ ลงตรงหน้าเฟร็ดก่อนจะดึงผมของอีกฝ่ายให้ขึ้นมาสบตากัน จากนั้นก็เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ

“เฟร็ด”

“…”

“ถึงฉันจะชวนหมาหรือวัวมา แต่ฉันก็ไม่ได้อนุญาตให้ทำกันเหมือนหมูในห้องน้ำภายในห้องฉันได้นะ ว่าไง ไอ้กร๊วก”

เด็กชายกลั้นหายใจพร้อมกับห่อไหล่ลง เพราะคำว่าชวนหมาหรือวัวมา

ใบหน้าของฟิลลิปที่ยิ้มอย่างนุ่มนวลน่ากลัวมาก ทั้งนิ้วสวยได้รูปที่กำผมของเฟร็ดที่เลือดไหลไม่หยุด ทั้งใบหน้าราวกับเจ้าชายที่ยิ้มในสภาพที่เปื้อนไปด้วยเลือด ทั้งน้ำเสียงไพเราะที่พ่นคำด่าออกมาอย่างนุ่มนวล ไม่มีอะไรดูเป็นความจริงเลยสักอย่างเดียว

พอเฟร็ดพึมพำอะไรบางอย่าง ฟิลลิปก็ช่วยดึงผ้าที่ชุ่มไปด้วยเลือดออกมาจากปากของเฟร็ดให้

“…แม่ง ทำไมถึงทำแค่ฉันวะ…ไอ้นั่นมันเป็นฝ่าย…”

พอเฟร็ดชี้ไปที่เด็กชายพร้อมกับเอ่ยแก้ตัว ฟิลลิปก็หัวเราะราวกับเขาสนุกจริงๆ เสียงหัวเราะนั้นกังวานใส แต่บรรยากาศภายในห้องน้ำกลับเย็นยะเยือก ฟิลลิปก้มหน้าลง แล้วของที่ทำจากหินแกรนิตซึ่งวางอยู่บนชั้นภายในห้องน้ำก็เข้ามาในสายตา เขายิ้มอย่างสบายๆ และเอื้อมมือไปทางของสิ่งนั้นราวกับเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

ตอนนั้นเอง

“…อย่านะครับ”

เด็กชายรั้งแขนของฟิลลิปไว้ ตาของฟิลลิปกระตุกอย่างรุนแรง

“…เขาจะตายนะครับ…อย่าเลย…”

เด็กชายร้องไห้พร้อมกับห้ามฟิลลิปด้วยแรงทั้งหมดที่มี ฟิลลิปก้มมองเด็กชายที่เกาะเขาไว้ด้วยแรงที่ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

“ถ้าทำแบบนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่นะครับ”

“เรื่องใหญ่อะไร ฉันจะทำอะไรเหรอ”

ฟิลลิปเอ่ยถามด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึก

“…อย่านะครับ…ฮึก”

เด็กชายใช้ดวงตากลมโตที่แดงจากการร้องไห้ห้ามฟิลลิปไว้สุดชีวิต เฟร็ดที่ตั้งสติได้ในระหว่างนั้นรีบหนีออกไปจากห้องน้ำเหมือนกับรออยู่แล้ว พอเฟร็ดออกไป เด็กชายก็ทรุดลงไปนั่งกับพื้นและร้องไห้ เพราะความตึงเครียดได้คลายลงแล้ว

“ฮึก ฮือ…อึก”

ฟิลลิปจับข้อมือของเด็กชายและลากออกมาจากห้องน้ำ เขาเดินไปล็อกประตูห้องและเดินกลับไปที่ตู้เก็บยา ในขณะที่เด็กชายกุมจมูกที่มีเลือดกำเดาไหลไว้และกำลังร้องไห้

“เงยหน้า”

แม้ฟิลลิปจะสั่งสั้นๆ แต่เด็กชายก็ไม่ขยับ

“ฉันสั่งให้เงยหน้า”

เสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อยทำให้เด็กชายสะดุ้งพร้อมกับเงยหน้าขึ้น

ใบหน้าที่โดนต่อยจนปูดบวมกับแก้มที่เปียกไปด้วยน้ำตา และบาดแผลที่เกิดขึ้นทั่วทุกที่กับเสื้อผ้าที่ถูกฉีก

ต่อให้ไม่ถามก็สามารถเดาได้ว่าเป็นสถานการณ์แบบไหน ฟิลลิปสบถเบาๆ พร้อมกับเทเบตาดีนใส่สำลี ดวงตากลมโตของเด็กชายกระตุกและสั่นไหว พอฟิลลิปจะทายาให้ เด็กชายก็ส่ายหน้า

“ผะ ผม…จะกลับไปทำที่บ้านครับ”

“จะกลับไปด้วยสภาพนั้นเหรอ”

ฟิลลิปเอ่ยถาม เด็กชายพยักหน้าอย่างดื้อรั้น

“เดี๋ยวค่อยกลับ ถ้านายออกไปตอนนี้…”

“…ผมอยากกลับครับ”

น้ำตาที่หยุดไปแล้วไหลลงมาอีกครั้ง สภาพของอีกฝ่ายดูไม่ได้ ใบหน้าที่ถูกต่อยเปื้อนไปด้วยน้ำตา น้ำมูก และเลือด แต่นั่นกลับดูสวยอย่างมาก ฟิลลิปโมโห ทั้งความจริงที่ว่าเฟร็ดได้แตะต้องสิ่งนี้ ทั้งความจริงที่ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของของเขาตั้งแต่แรก และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือความจริงที่ว่าสิ่งนี้กลายเป็นของใครสักคนไปแล้วทำให้ความโกรธของเขาพลุ่งพล่าน

“เพราะกลัวฉันเหรอ”

เด็กชายเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ด้วยเหตุนั้นน้ำตาที่คลออยู่ที่ดวงตากลมโตจึงไหลลงมาตามแก้ม

“ฉันถามว่าอยากกลับบ้านเพราะกลัวฉันเหรอ”

ฟิลลิปจับใบหน้าของเด็กชายไว้ ทุกครั้งที่แก้มถูกนิ้วที่เปื้อนเลือดเหนียวๆ ลูบ เด็กชายจะสะดุ้งและตัวสั่น เขารู้สึกเหมือนได้รู้คำตอบทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ฟังคำตอบ

จู่ๆ กระถางดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงก็โผล่เข้ามาในครรลองสายตา มันเป็นกระถางดอกไม้ที่เด็กชายเอามาให้เป็นของขวัญ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะเอากระถางดอกไม้มาวางไว้จึงเข้ามาที่นี่

ฟิลลิปคว้าลำต้นของดอกลาเวนเดอร์และฟาดลงกับโต๊ะ กระถางดอกไม้แตกเป็นเสี่ยงๆ และกระจายไปทั่วห้อง

“นั่นสิ ทำไมถึงเอาของแบบนี้มา”

เด็กชายหน้าซีดเผือดและเงยหน้ามองฟิลลิป

“ใครบอกว่าต้องการของแบบนี้เหรอ นายเป็นใครถึงได้มาสนใจว่าฉันจะนอนหลับหรือไม่ เพราะนายทำแบบนั้น ฉันถึงได้…”

ความอับอายขายหน้าถาโถมเข้ามา

ทั้งความอับอายขายหน้าในความอวดดีที่คิดว่าความอ่อนโยนของเด็กชายที่มีมาตั้งแต่เกิดเป็นความรักที่มีต่อตน ความอับอายขายหน้าในความจริงที่ว่าหัวใจของเด็กชายไปอยู่ที่คนอื่นเรียบร้อยแล้ว ความอับอายขายหน้าในสถานการณ์นี้ที่ไม่ว่าคนมากมายที่มาเพื่ออวยพรวันเกิดที่คฤหาสน์จะตามหาหรือไม่ เขาก็สนใจคนโง่ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คนเดียว…และความอับอายขายหน้าในความจริงที่ว่าเด็กชายไม่ได้ชอบตนด้วยซ้ำ แต่กำลังกลัวต่างหาก

…เขารู้สึกถึงความอับอายขายหน้าที่มหาศาลเป็นครั้งแรกในชีวิต

เขารู้สึกตาลาย ฟิลลิปกำหมัด การกดความรู้สึกที่พุ่งขึ้นมาเอาไว้เพื่อที่จะไม่บีบคอของเด็กชายในตอนนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท