เฮ่อเหลียนเวยเวยตื่นตระหนก นางตระหนักได้ว่าเริ่มมีอาการที่เร่าร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ นางหรี่ตาลง และคิดจะใช้กุญแจทองอันเล็กที่อยู่ในมือของตนเองกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
แต่นางไม่คิดว่าคำพูดต่อไปของเขาจะฟังดูสมเหตุสมผล ไม่แปลกใจเลยที่เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้ “เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าจะแต่งงานกับข้าและปล่อยให้ข้าอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้หรอกนะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าอาจเป็นเพราะใบหน้าที่งดงามของเขา รวมถึงน้ำเสียงที่มักจะสูงส่งอยู่เสมอนั้น ทำให้ในท้ายที่สุดแล้ว ดูเหมือนว่านางกำลังหลอกตัวเองอยู่
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย
นั่นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเคือง “ตอนแรก ท่านไม่ได้พูดเช่นนี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพร้อมกับผละตัวออกจากการจับกุมของเขา คอเรียวยาวที่มีผิวขาวสวยของนางก้มลง พร้อมกับโน้มตัวลง เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นผมเส้นเล็กสีอ่อนและลูกผมที่ม้วนอยู่ตามไรผมนั้น เขาก็รับรู้ได้ว่าพวกมันมีสัมผัสที่นุ่มนวลเพียงใด ชั่วขณะหนึ่ง เขารู้สึกว่าทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นช่างสวยงามและมีเสน่ห์อย่างมาก
“ใช่ ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้นจริงๆ เพราะไม่ว่าข้าจะเป็นต้วนซิ่วหรือไม่ ข้าก็คิดว่าพวกเราควรจะต้องลองทำมันดูก่อน ถึงจะรู้ จริงไหมเล่า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเขยิบเข้ามาใกล้ใบหูของหญิงสาวและไม่ยอมปล่อยมือ หลังจากนี้ หากนางต้องการจะขัดขืน นางก็จะต้องอดมันไป
การกระทำนั้นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยแก้มแดงระเรื่อ และดวงตาของนางก็มีน้ำเอ่อขึ้นมาด้วยความโกรธเคือง นางอยากจะหักมือของเขา และถามเขาว่าไปเรียนรู้ทักษะเช่นนี้มาได้อย่างไร
ความคิดเช่นนั้นช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
นางยังเด็ก และไม่สามารถทนต่อการยั่วยุเช่นนี้ได้
การนั่งอยู่ในอ้อมแขนของเขาเป็นท่าทีที่ดูคลุมเครือ คนที่ไม่รู้เรื่องอาจจะคิดว่านางเป็นฝ่ายเริ่มได้
ผู้ชายคนนี้ราวกับเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์และไม่มีผู้ใดเทียบได้ เขาเลิกคิ้วอย่างเฉยเมย
นางไม่อยากเชื่อว่าเขาจะไม่มีจุดอ่อนเลย
ในที่สุด เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้ขัดขืนต่อ นางถือกุญแจทองอันเล็กที่ซ่อนอยู่ในมือ และฟาดมันไปทางด้านหลัง!
โป๊ก!
เสียงนั้นดังมาก
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะไม่ระมัดระวังตัวขนาดนี้
นางไม่คิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้จริงๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าเขาจะยอมปล่อยตัวนางไป เพื่อหลบไม่ให้ถูกโจมตีอย่างแน่นอน
แต่ในความเป็นจริง แทนที่เขาจะหลบ หน้าผากอันงดงามของเขากลับมีรอยเลือดปรากฏอยู่
กว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง นางก็ได้กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศแล้ว
คนที่อยู่ด้านนอกตะโกนร้องอย่างต่อเนื่อง “องค์ชาย!” พวกเขารู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม คนที่กอดนางอยู่นั้นยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาที่ราวกับเป็นหมึกดำนั้นจมดิ่งกว่าที่เคย เลือดจากหน้าผากของเขาไหลลงผ่านหัวตา แต่แทนที่เขาจะรู้สึกสับสน มันกลับทำให้เขาเปิดเผยสีหน้าที่แท้จริงออกมา ใบหน้าที่ดูสูงส่งและเคร่งขรึมนั้นมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างสง่างาม และพูดขึ้นว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าจะไม่ฝืนใจเจ้า แต่เจ้าก็ควรเตรียมตัวให้พร้อม ตอนนี้ เจ้าคือพระชายาสาม การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้นไม่ใช่เรื่องต้องห้าม แต่สำหรับเฮยเจ๋อ ที่มักจะแบกเจ้าเอาไว้บนบ่าของเขาอยู่เสมอนั้น เจ้าก็ควรตักเตือนเขาว่าอย่าให้มีครั้งหน้า และอย่าออกไปพบกันในยามค่ำคืนอีก แล้วเจ้าก็ควรจะยกเลิกกิจกรรมนี้เพื่อเห็นแก่ข้า สุดท้าย ก็ต้องอยู่ที่นี่เพื่อเตือนเขาด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบสนอง
ขันทีซุนที่ยืนอยู่ข้างนอกไม่กล้าเดินเข้ามา เขาเป็นกังวลอย่างมากเพราะเขาไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดต่อช้าๆ อย่างไตร่ตรอง “ไม่ว่าในอดีต เจ้าจะสนใจคนมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ข้าเป็นคนมีเหตุผลอย่างมาก ตราบใดที่เจ้าไม่ทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ”
“การจำกัดสิทธิเสรีภาพของข้าในตอนนี้ ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผลเช่นนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกริมฝีปากบางขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ดูน่ากลัว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองดูหญิงสาวอย่างสุขุม “มันสมเหตุสมผล เพราะข้าเป็นคนที่ตั้งกฎนี้ขึ้นมา”
ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านถึงไม่ทำมันด้วยตัวเองไปเลยล่ะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยสูดหายใจเข้าลึก สุดท้ายแล้ว นางก็รู้สึกว่าตัวเองฉุนเฉียวมากเกินไป และไม่ได้โต้เถียงกลับ
คนที่อยู่ด้านนอกรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น เขาตะโกนเรียกขึ้นอีกครั้ง “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!”
จากนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกนอกห้อง เขาเดินจากไป โดยไม่ได้มองเฮ่อเหลียนเวยเวยเลยแม้แต่น้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเสยผมหน้าม้าของตัวเองขึ้น ในที่สุด นางก็เข้าใจถึงความหมายของคำว่า ‘ความแตกต่างระหว่างผู้ชายและผู้หญิง’
ชายหญิงที่อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน อาจจะประสบปัญหามากกว่าที่นางเคยคิดไว้
บางที นางไม่ควรจะร่วมมือกับผู้ชายที่อันตรายเช่นนี้ตั้งแต่แรก
นางไม่รู้เลยว่าตอนนี้ มันสายเกินไปที่จะคืนสินค้าแล้ว
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงที่มีเอกลักษณ์ของขันทีซุนพูดขึ้นว่า “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ เกิดอะไรขึ้นกับหน้าผากของท่านหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่บิดกุญแจทองอันเล็กในมืออย่างสุดกำลัง จากนั้นจึงเตะเก้าอี้ไม้ที่ขวางเท้าของตนเองออกไป
เก้าอี้ไม้นั้นพังจนกลายเป็นฝุ่นในชั่วพริบตา
ทุกคนตรงนั้นอึ้งไปด้วยความตกใจ!
ขาของพวกเขาสั่นเทาและไม่กล้าที่จะส่งเสียงหายใจ
ขันทีซุนพยายามอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง
แต่ก็เห็นว่าท่าทีของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาใช้นิ้วมือจัดปกคอเสื้ออย่างสง่างาม เขากะพริบตาข้างซ้าย และหันหลังกลับไปที่ห้องทรงอักษรโดยไม่ได้พูดอะไร
ขันทีซุนเดินตามเขาไปพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ หน้าผากของท่านเป็นแผลพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดนิ้วมือของตนเอง ก่อนจะโยนมันทิ้งอย่างเยือกเย็นและเย็นชา
ขันทีซุนเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
จากนั้น เขาก็ได้ยินไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเย้ยหยัน “ให้ใครสักคนไปตรวจสอบอีกครั้งว่าพระชายากับเฮยเจ๋อมีความสัมพันธ์กันแค่เรื่องงานเท่านั้น”
เขารู้เพียงแค่ความคิดของเฮยเจ๋อเท่านั้น แต่เขายังไม่รู้ถึงความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวย
แต่ทั้ง ‘การปฏิเสธที่ยอมตาย’ รวมถึงชื่อที่นางเรียกออกมาตอนที่ไม่รู้สึกตัวนั้น ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ…
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดหายตัวไปในพริบตา
ขันทีซุนยังคงเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของนายท่าน เขาไม่รู้ว่าทำไมทั้งคู่ถึงมีปากเสียงกัน จนต้องลงไม้ลงมือเช่นนี้
พวกเขาเพิ่งเริ่มต้นชีวิตคู่ในฐานะคู่แต่งงานใหม่
ขันทีซุนเกรงว่าในอนาคต สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงไปกว่านี้
แต่ขันทีซุนไม่รู้เลยว่าสำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวย นางได้วางแผนการเตรียมหลบหนีของตนเองเอาไว้แล้ว แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็สร้างปัญหาที่ยุ่งยากให้กับนางจริงๆ หากเขาร้ายกาจกับนางเหมือนกับคนอื่นๆ นางก็คงจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่จัดการได้ง่ายด้วยความโหดเหี้ยม แต่จนถึงตอนนี้ นางก็ยังไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถเข้าใจได้เลย นางเอนหลังลงและดึงผ้าห่มขึ้นมา หลังจากนั้น นางก็รู้สึกง่วงนอนและรับรู้ถึงความเหนื่อยล้าที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของตนเอง
ในช่วงกลางคืน ห้องทรงอักษรที่เต็มไปด้วยแสงเทียน ห้องๆ นี้ไม่มีการของตกแต่งที่ตระการตาและมีราคาแพงใดๆ แต่ก็สามารถให้ความรู้สึกลึกลับและดูสูงส่งได้
ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเอนตัวครึ่งหนึ่งอยู่บนเก้าอี้ ร่างกายของเขาเผยให้เห็นกลิ่นอายของความเป็นราชวงศ์ ท่าทีที่มีเสน่ห์อย่างชั่วร้าย รวมถึงความกระหายเลือดนั้น ทำให้เขาดูเยือกเย็นและสูงส่งอย่างมาก
ผมสีเข้มของเขาถูกรวมเข้ากับแสงสลัวในยามค่ำคืน ทำให้ดูราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อครอบครองความมืดมน เขาแกว่งจอกแก้วที่อยู่ในมือ และของเหลวสีแดงที่อยู่ท่ามกลางแสงเทียนนั้นก็ดูมีเสน่ห์อย่างมาก