เมื่อได้ยินจู๋หลินบอกว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กต้องการพบนาง เฉินตันจูดีใจอย่างมาก เดินทางมายังพระราชวังทันที
เนื่องจากมีเฟิงหลินถือตราประทับของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เฉินตันจูจึงเดินทางเข้าพระราชวังอย่างไร้อุปสรรค
เฉินตันจูมองไปยังเส้นทางรอบด้าน ถามเฟิงหลิน “ท่านแม่ทัพพักอยู่ตำหนักนอกหรือ”
เฟิงหลินตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาททรงเป็นห่วงท่านแม่ทัพ จึงโปรดให้ท่านพักอยู่ในวัง จวนท่านแม่ทัพยังไม่เสร็จสิ้นดี แต่ว่าอีกไม่กี่วันท่านแม่ทัพจะกลับค่ายทหารแล้ว”
เฉินตันจูพูด “ท่านแม่ทัพเหนื่อยแย่” ก่อนจะมองซ้ายมองขวา สายตาจับจ้องไปยังทิศทางวังฝ่ายใน เรียกขานเฟิงหลินเสียงเบา
เฟิงหลินหันหน้ากลับมา
เฉินตันจูจ้องมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย “เจ้าชื่อเฟิงหลินหรือ เหมือนจู๋หลินเลย พวกเจ้าเป็นพี่น้องแท้ๆ หรือไม่”
เฟิงหลินไม่ตอบ จู๋หลินเรียกขานคุณหนูตันจูอยู่ด้านหลัง “ท่านคิดจะทำสิ่งใดอีก” สีหน้าระแวง
เฉินตันจูไม่ได้อ้อมค้อมเหมือนดั่งที่จู๋หลินคาดเดา นางพูดกับเฟิงหลินโดยตรง “ข้าอยากให้เฟิงหลินส่งข่าวให้องค์หญิงจินเหยา ดูว่าองค์หญิงจะมาพบข้าได้หรือไม่”
เฟินหลินพูดด้วยรอยยิ้ม “เช่นนี้หรือ ข้าถามให้”
เฉินตันจูเผยรอยยิ้มบนหน้า “ขอบใจเฟิงหลิน”
เฟิงหลินยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะมองใบหน้าดำดุจเถ้าถ่านของจู๋หลิน พูดต่อเฉินตันจู “คุณหนูตันจู ข้ากับจู๋หลินไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ พวกเราส่วนมากล้วนเป็นบุตรหลานของนายทหาร ท่านแม่ทัพรับพวกข้าเข้ากองทัพ ก่อนจะถูกฝ่าบาทคัดเลือกเป็นองครักษ์หลวง ชื่อของพวกเราได้รับพระราชทานจากฝ่าบาท”
เช่นนี้หรือ เฉินตันจูกระจ่าง ก่อนจะพูดเสียงเบา “พวกเจ้าเป็นคนโชคร้ายแต่ก็โชคดี”
เฟิงหลินยิ้มอย่างดีใจยิ่งขึ้น ชี้ไปยังตำหนักด้านหน้า “ทางนั้นเป็นห้องปฏิบัติงาน เป็นสถานที่พักผ่อนของเหล่าขุนนาง อีกเดี๋ยวท่านแม่ทัพก็มา คุณหนูตันจูไปรอก่อน ข้าจะไปรายงานท่านแม่ทัพ”
เฉินตันจูตอบรับก่อนจะเดินไปทางนั้น จู๋หลินที่กำลังจะเดินตามถูกเฟิงหลินจับเอาไว้ “ไปๆ ไปพบท่านแม่ทัพกับข้า เจ้าไม่ได้พบท่านแม่ทัพนานแล้ว”
ใช่ จู๋หลินเศร้าโศก แต่ยังคงจำหน้าที่ของตนเองได้ “ไม่ได้ ข้าต้องเฝ้าคุณหนูตันจูตรงนี้”
เฟิงหลินพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่าตื่นตระหนก ตรงนี้ไม่มีอันตราย”
จู๋หลินมองเขาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ที่นี่ไม่มีอันตราย แต่คุณหนูตันจูเป็นอันตรายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เจ้ายิ้มอันใด เพียงแค่คำพูดสองสามคำก็ถูกคุณหนูตันจูหลอก พูดทุกสิ่ง เหตุใดเจ้าจึงพูดมากเช่นนี้”
เฟิงหลินกอดไหล่ของเขา หัวเราะจนโค้งตัว “ผู้ใดที่พูดมากกัน จู๋หลิน เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นคนพูดมากเช่นนี้” ไม่รอจู๋หลินโต้แย้ง เขาผลักอีกฝ่ายเดินไปด้านหน้า “เอาเถิด รีบตามข้ามา มีท่านแม่ทัพอยู่ เจ้าอย่ากังวล”
เฉินตันจูเดินมาถึงห้องปฏิบัติงาน หันหลังกลับไปมององครักษ์ทั้งสองที่เดินจากไปด้วยความคึกคัก เผยรอยยิ้มดีใจออกมา “คนอายุน้อยดีเสียจริง”
พูดพลางเดินไปด้านหน้า บริเวณนี้มีห้องหลายห้อง ไม่มีองครักษ์ ขันทีหรือนางใน ทั้งเงียบสงบและเคร่งขรึม อันที่จริงเฉินตันจูไม่แปลกตามากนัก ตอนที่ยังเป็นพระราชวังอู๋นั้น บริเวณแห่งนี้เป็นสถานที่พักผ่อนของเหล่าขุนนาง ขุนนางที่ทำงานในเวลาดึกก็พักผ่อนทางนี้ ตอนนั้นเฉินเลี่ยหู่ก็เคยพักผ่อนที่นี่ เวลานั้นนางยังเด็ก ถูกพี่ชายพาเข้ามาพบท่านพ่อ…
เวลานี้ท่านพ่อไม่อยู่แล้ว นางมาที่นี่พบแม่ทัพหน้ากากเหล็ก…พ่อบุญธรรมคนนี้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เฉินตันจูก็อดยิ้มเยาะตนเองไม่ได้ เมื่อรอยยิ้มยกขึ้น ห้องแห่งหนึ่งด้านหน้าก็มีเสียงกระแอมไอดังขึ้น
สถานที่แห่งนี้เหล่าขุนนางล้วนเดินทางมาได้ ไม่ได้เป็นของผู้ใด เฉินตันจูเก็บสีหน้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่จะเดินถอยออกไป นางก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวดังขึ้น
“องค์ชายสาม ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ดื่มชาเสียหน่อยเพคะ”
องค์ชายสาม! ผมของเฉินตันจูเกือบชี้ขึ้นมา นางวิ่งมาทางห้องนี้ตามเสียงอย่างไม่ลังเล ห้องนี้ประตูถูกเปิดออก ภายในห้องมีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่ มือหนึ่งถือฎีกา อีกมือรับน้ำชามา
ข้างตัวเขา หญิงสาวผู้นั่งคุกเข่าลูบหลังให้เขาอย่างแผ่วเบา
เสียงฝีเท้าของเฉินตันจูทำให้เขาตกตะลึง เขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่ซีดเซียวสว่างไสวขึ้นมา “ตันจู!”
ดวงตาของเฉินตันจูยิ้มจนพร่ามัว ทั้งเหลือเชื่อทั้งตกตะลึงอย่างมาก “องค์ชาย! ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
องค์ชายสามมองหญิงสาวที่ตื่นเต้น พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าต้องเป็นคนถามเจ้ามากกว่า เจ้ามาได้อย่างไร”
อ่อๆ จริงด้วยๆ เวลานี้องค์ชายสามเป็นผู้บังคับบัญชาเรื่องนโยบายคัดเลือกขุนนางจากความสามารถ ต้องหารือในราชสำนัก ย่อมต้องมาพักผ่อนที่นี่ เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพ แม่ทัพหน้ากากเหล็กเรียกหม่อมฉันมาเพคะ หม่อมฉันมาหาเขาที่นี่”
องค์ชายสามพูด “ท่านแม่ทัพหรือ เขากำลังหารือกับฝ่าบาท อาจต้องรอประเดี๋ยว”
เฉินตันจูตอบรับ มองเขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหุบยิ้มลงอย่างช้าๆ สีหน้ากังวลและเศร้าโศก “องค์ชายท่านยังสบายดีหรือไม่เพคะ”
ดวงตาขององค์ชายสามอ่อนโยนขึ้น “ข้าไม่เป็นอันใด เจ้าดู ข้ากลับมาเป็นปกติแล้ว”
มีเสียงหญิงสาวดังขึ้น “องค์ชาย เชิญคุณหนูตันจูเข้ามาเถิดเพคะ”
พวกเขาทั้งสองสนทนาผ่านประตู หญิงสาวยังยืนอยู่ด้านนอก องค์ชายสามนั่งอยู่ด้านใน แต่ไม่รู้สึกแม้แต่น้อย ราวกับเพียงแค่พบหน้า ประตูหน้าต่างตรงหน้าล้วนหายไป
องค์ชายสามกับเฉินตันจูตั้งสติได้ ก่อนจะยิ้ม
“มา เข้ามานั่ง” องค์ชายสามพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปเรียกขาน “หนิงหนิง หยิบเบาะมาให้คุณหนูตันจู”
หนิงหนิง…เฉินตันจูเดินเข้ามา สายตาจับจ้องไปยังหญิงสาวผู้นั้น ใบหน้าของนางอ่อนหวาน ถึงแม้ไม่ได้งดงามมากนัก แต่มีความอ่อนโยนที่ทำให้คนมองโปรดปราน…เมื่อได้ยินรับสั่งขององค์ชายสาม นางตอบรับเสียงหวาน เดินไปหยิบเบาะรองนั่งมา วางไว้ตรงข้ามกับองค์ชายสาม
“หนิงหนิง” องค์ชายสามรับสั่งอีก “รินชาให้คุณหนูตันจู”
ชื่อหนิงหนิงหรือ ชื่อไพเราะยิ่งนัก เมื่อเรียกขึ้นมาทำให้เสียงของผู้เรียกอ่อนโยนลง เฉินตันจูมองแม่นางหนิงหนิงผู้นี้ตอบรับ ก่อนจะเดินไปรินชา สายตาขององค์ชายสามมองตามนาง…
“หนิงหนิง” เขาเรียกขานอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ขนมที่ห้องเครื่องถวายขึ้นมายังมีอยู่หรือไม่ ให้คุณหนูตันจูลิ้มลอง”
หนิงหนิงตอบรับ “ยังมีเพคะ”
นางรินชา หยิบจานใส่ขนม วางไว้บนโต๊ะ
องค์ชายสามเงยหน้า ราวกับเพิ่งเห็นเฉินตันจูที่ยังคงยืนอยู่ “เป็นอันใดไป รีบนั่งลง”
เฉินตันจูตอบรับ ก่อนจะนั่งลง ไม่รอองค์ชายสามเชิญ นางก็หยิบชาขึ้นมาดื่ม ก่อนจะกินขนมไปหนึ่งชิ้น พลางพยักหน้า “เลิศรสยิ่งนัก”
องค์ชายสามพูดด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่อรับสั่งให้ห้องเครื่องทำ หากเจ้าชอบ นำกลับไปได้” เขาหันไปเรียกหนิงหนิง “ดูว่ายังมีอยู่หรือไม่ หากไม่มีให้เสี่ยวชวีไปนำมา”
หนิงหนิงตอบรับ
เฉินตันจูรีบพูด “ไม่ ไม่ต้อง…”
นางยังพูดไม่ทันจบ หนิงหนิงนึกบางอย่างขึ้นได้ มองไปยังองค์ชายสาม เอ่ยถาม “ฝ่าบาทก็ต้องเตรียมเอาไว้ ต้องใช้เวลาเสวยยา”
องค์ชายสามพยักหน้าให้นาง “พอดี ให้ห้องเครื่องนำมามากหน่อย”
หนิงหนิงพยักหน้า
องค์ชายสามมองเฉินตันจู “ไม่ต้องเกรงใจ ขนมเท่านั้น เจ้าชอบกินของหวานเสมอ”
เฉินตันจูตอบรับด้วยรอยยิ้ม ไม่ปฏิเสธอีก
เสียงสิ้นสุดลง ภายในห้องเงียบสงบเล็กน้อย
ความเงียบนี้ทำให้เฉินตันจูเกร็งเล็กน้อย นางจับถ้วยชาพลางพูดขึ้น “วันนั้นหม่อมฉันถูกโจวเสวียนกีดขวาง เดิมทีจะไปหาองค์ชาย หากเวลานั้น…”
เดิมทีนางจะพูดว่าหากเวลานั้นนางอยู่ในเหตุการณ์ ย่อมต้องช่วยเหลือองค์ชาย แต่คำพูดนี้ไม่มีประโยชน์อันใด
เวลานั้นนางไม่อยู่ในเหตุการณ์
องค์ชายสามพูด “เพราะข้าจากไปอย่างรีบร้อน เดิมทีอยากบอกกับเจ้าก่อน แต่กลัวจะขัดความสนุกของเจ้า จึงให้อาเสวียนบอกแทนข้า เขาคงไม่ได้ไม่พูดใช่หรือไม่”
เฉินตันจูรีบบอก “พูดแล้วๆ แต่ว่าเขา…” นางกำลังพูด สายตาก็ถูกหนิงหนิงหญิงสาวเมืองฉีดึงดูดไป เมื่อเห็นหญิงสาวเมืองฉีหยิบเตาอุ่นมือใบใหม่ยัดเข้าไปในมือขององค์ชายสาม นำอันเดิมที่ถืออยู่ในมือขององค์ชายสามออกมา
“ยังดี” องค์ชายสามพูดกับนางเสียงเบา “ยังร้อนอยู่”
“ถือไว้สักระยะแล้วเพคะ” หนิงหนิงพูดเสียงเบา เปลี่ยนให้เขาเสร็จ ก่อนจะนั่งอยู่ด้านหลังองค์ชายสามอย่างเงียบสงบ
องค์ชายสามมองไปยังเฉินตันจู เห็นคำพูดและสีหน้าของนางชะงักไป จึงเอ่ยถาม “อาเสวียนเขาพูดสิ่งใด พูดเหลวไหลอีกแล้วใช่หรือไม่”
เฉินตันจูเค้นยิ้มออกมา “ไม่ ไม่ได้พูดสิ่งใดเพคะ”
องค์ชายสามปลอบ “เจ้าอย่าใส่ใจเขา นิสัยของเขาไร้เหตุผลอยู่แล้ว”
เฉินตันจูตอบรับ “หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันไม่กลัวเขา องค์ชายไม่ต้องกังวลเพคะ”
องค์ชายสามยิ้มให้นาง
เฉินตันจูนึกบางอย่างขึ้นได้ “องค์ชายท่านพักก่อนเถิด หม่อมฉันจะไปดูว่าท่านแม่ทัพกลับมาแล้วหรือไม่ ครานี้หม่อมฉันไม่ถูกลงโทษ เพราะว่ามีท่านแม่ทัพออกหน้า”
องค์ชายสามพยักหน้า “เรื่องในครานี้ต้องขอบคุณท่านแม่ทัพ”
เฉินตันจูรีบพูดขึ้นอีก “แน่นอน ฝ่าบาทก็ให้ความช่วยเหลือหม่อมฉันอย่างมาก มิฉะนั้น เวลานี้หม่อมฉันอาจถูกประหารแล้ว”
“อย่าพูดเหลวไหล” องค์ชายสามพูดด้วยรอยยิ้ม “จะเป็นไปได้อย่างไร”
เฉินตันจูรีบพยักหน้า “ใช่ๆ ฝ่าบาทไม่ใช่กษัตริย์ที่หลงใหลในการสังหารคนเช่นนั้น”
คำพูดเหลวไหลของนางในวันนี้ช่างโง่เขลา น่าอับอายยิ่งนัก…
“หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ” นางไม่พูดสิ่งใดอีก เพียงแค่คำนับ ก่อนจะหันหลังจากไป
องค์ชายสามพูด “ขนมเหล่านี้…”
เฉินตันจูเดินออกจากห้อง แต่ไม่ได้เดินจากไปไกล เพียงแค่พิงตัวอยู่หลังกำแพงอย่างแนบสนิท กลั้นหายใจเอาไว้ แสร้งทำเหมือนเดินจากไปไกล เพื่อไม่ให้คนด้านในตามออกมา…
ด้านในไม่มีผู้ใดตามออกมา
“หนิงหนิง เจ้าใส่เอาไว้ ส่งไปให้คุณหนูตันจู”
“เพคะ หม่อมฉันจำไว้แล้ว”
“หนิงหนิง ไม่ดื่มชาแล้ว เอาออกเถิด”
“เพคะ องค์ชาย”
“หนิงหนิง ข้ายังไม่ได้ถามเจ้า…”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ เฉินตันจูแอบพลิกตัวอย่างระวังไม่ได้ นางแอบย่องมาทางประตู องค์ชายสามต้องการถามสิ่งใดกับนาง
น้ำเสียงขององค์ชายสามอ่อนโยน “…เหตุใดเจ้าจึงชื่อหนิงหนิง”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาของหญิงสาวดังขึ้น “หม่อมฉันแซ่หนิง ท่านพ่อท่านแม่ของหม่อมฉันหวังให้หม่อมฉันมีชีวิตสงบสุข ดังนั้นจึงตั้งชื่อให้หม่อมฉันว่าหนิงหนิงเพคะ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เฉินตันจูคิดในใจ ช่างเป็นชื่อที่น่าสนใจและไพเราะ…
“เจ้าทำอันใดตรงนี้”
เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู ในเวลาเดียวกัน มีลมหายใจของคนเข้าใกล้
เฉินตันจูตกใจจนรีบหันกลับมา ก่อนจะชนเข้ากับกำแพงหนึ่ง ไม่ใช่กำแพง แต่เป็นหน้าอกของคนผู้หนึ่ง นางเงยหน้าขึ้น มองเห็นหน้ากากเหล็กใบหนึ่ง
เฉินตันจูไม่ได้ร้องออกมาด้วยความตกใจ อีกทั้งไม่ได้ตื่นตระหนก แต่ยื่นมือวางไว้ริมฝีปาก ทำท่าเงียบเสียงต่อใบหน้าที่สวมใส่หน้ากากเหล็กอันน่ากลัว “ชู่ว”