รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 280 ผู้อาวุโสเก้า สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง!

บทที่ 280 ผู้อาวุโสเก้า สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง!

บทที่ 280 ผู้อาวุโสเก้า สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง!

สัตว์อสูรทั้งเก้าลากรถม้าผ่านเขานับพันธารนับหมื่น สองวันต่อมา พวกเขาก็เดินทางมาถึงภาคกลาง

ซางเหิงบอกลาพวกเขา ก่อนเดินทางไปล่วงหน้า เขากล่าวว่ามีผู้ที่มาร่วมงานชุมนุมจำนวนมากเกินไป จึงต้องกลับไปจัดการบางอย่างก่อนไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายในระยะเวลากระชั้นชิด

หลังจากแยกตัวออกมาแล้ว เขาก็ไม่กล้ารีรอ รีบตรงไปยังเขาหยงหมิงทันที

ท่านเซียนกำลังมาเข้าร่วมงานชุมนุม นี่นับเป็นเรื่องใหญ่ในเรื่องใหญ่อีกที ในฐานะสมาชิกของเผ่าผู้เป็นเจ้าภาพ เขาย่อมไม่กล้าจะละเลยแม้แต่น้อย!

สถานที่จัดงานชุมนุมในครั้งนี้คือ เขาหยงหมิง

เขาหยงหมิงเป็นภูเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในภาคกลาง วิหคขับขาน บุปผาหอมกำจาย ทิวทัศน์งดงาม อุดมด้วยปราณแห่งชีวิต มีงานชุมนุมใหญ่ครั้งใดเกิดขึ้นก็จะจัดที่เขาหยงหมิง

ขณะนี้เขาหยงหมิงเต็มไปด้วยเสียงคึกคัก ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเผ่ามนุษย์ หรือเผ่าอื่น ๆ

มหาอำนาจทั่วทั้งแผ่นดินและคนรุ่นเยาว์ที่โดดเด่น ทุกคนล้วนถูกเชิญให้มารวมตัวกันยังที่แห่งนี้

กระทั่งผู้ที่อยู่ต่างแดนอย่างแดนฮวงและแดนฝอก็ยังได้รับคำเชิญเช่นกัน

แม้เขาหยงหมิงจะมีขนาดใหญ่โต แต่พื้นที่ทั้งหมดก็เกือบจะเต็มแล้ว

ยังไม่ถึงวันชุมนุมที่นัดหมายเอาไว้ ทำให้ยังมีผู้ที่มาไม่ถึงอีกเป็นจำนวนมาก หากถึงวันเริ่มชุมนุมจะต้องมีผู้มาเข้าร่วมจำนวนมาก จนทำให้เขาหยงหมิงแออัดอย่างแน่นอน

บนเขามีพระราชวังโบราณขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างวิจิตรบรรจงตั้งอยู่เหนือยอดเมฆ มันถูกรายล้อมเอาไว้ด้วยหมู่เมฆขาวจนราวกับเป็นวังสวรรค์

เมื่อซางเหิงมาถึงพระราชวังแล้ว เขาก็ตรงเข้าไปยังห้องโถงใหญ่

“เป็นอะไรไปซางเหิง? เหตุใดจึงดูรีบร้อนถึงเพียงนี้”

ผู้คนจำนวนมากในห้องโถงนอกจากชายหนุ่มคนหนึ่งแล้ว ผู้อื่นก็ล้วนแก่ชราผมหงอกขาว…

ชายชราที่นั่งอยู่ด้านบนขมวดคิ้วสีขาวถามซางเหิง

พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้อาวุโสของเผ่าซาง ชายชราคิ้วขาวผู้นี้คือผู้อาวุโสเก้าของเผ่าซาง รับผิดชอบหน้าที่ของเผ่าซางในเหยียนโจว

สำหรับชายหนุ่มอีกคนในห้องนั้นมีนามว่า ซางเจี๋ย

ห้องโถงนี้นับได้ว่าเป็นห้องประชุมชั่วคราวของพวกเขา โดยปกติแล้วต้องเอ่ยรายงานก่อนไม่อาจเข้ามาได้ตามใจชอบ

การที่ซางเหิงผลีผลามเข้ามาโดยไม่ได้เอ่ยรายงานก่อน หมายความว่าเป็นเรื่องเร่งร้อน

“เรื่องใหญ่เป็นอย่างยิ่ง!”

ซางเหิงคำนับผู้อาวุโสเก้าแล้วเอ่ยออกมาด้วยความเคร่งขึม

ผู้อาวุโสเก้าขมวดคิ้วเล็กน้อย “เรื่องอะไร ว่ามาเถอะ”

ซางเหิงมองไปรอบ ๆ เขารู้สึกว่ามีคนอยู่มากเกินไป แม้จะเชื่อใจทุกคนในที่นี่ แต่สิ่งที่เขาต้องการจะพูดนั้นมีความสำคัญมากเกินไป ยิ่งมีคนรู้มากยิ่งไม่ใช่เรื่องดี

“ผู้อาวุโสเก้า เรื่องนี้ไม่เหมาะจะพูดต่อหน้าคนหมู่มาก”

เขากล่าว

หมายความว่าอย่างไร?

นึ่คือ…ไม่เชื่อใจพวกเขาหรือ?

ผู้อาวุโสในห้องโถงขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงความไม่พอใจออกมา พวกเขามีตำแหน่งสูงในเผ่าซาง แต่กลับมีเรื่องที่พวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้?

แต่ผู้อาวุโสเก้าเองก็ไม่ใช่คนทั่วไป เขาตระหนักดีว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงพิเศษ ทุกสิ่งล้วนไม่อาจประมาทเลินเล่อได้

เขาจึงไม่กล่าวอะไรให้มากความ บอกให้ผู้อาวุโสคนอื่นออกไป

ในห้องโถงหลงเหลือเพียงซางเจี๋ยกับผู้อาวุโสอีกสามคน

“พูดมา”

ผู้อาวุโสเก้ากล่าว

“ผู้อาวุโสเก้า ได้โปรดปิดผนึกห้องโถงแห่งนี้ด้วย!”

สีหน้าของซางเหิงจริงจังเป็นอย่างยิ่ง ท่าทางราวกับกลัวว่าจะมีผู้ได้ยินแล้วนำเรื่องนี้ไปแพร่งพราย

“มีเรื่องร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ?”

แม้ผู้อาวุโสเก้าจะรู้สึกสงสัย ทว่าเขาก็ยังลงมือปิดผนึกห้องโถงเอาไว้ด้วยพลังเทวาอันทรงพลัง

เผ่าซางนั้นไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ตัดสินจากพลังของผู้อาวุโสเก้าที่แผ่ออกมาแล้ว ผู้อาวุโสเก้านั้นเป็นถึงราชันเทวาผู้หนึ่ง!

สภาพแวดล้อมในปัจจุบันนั้นย่ำแย่เป็นอย่างมาก ขนาดบรรลุขอบเขตพรตเต๋ายังนับเป็นเรื่องยากยิ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงขอบเขตเทวาเลย ด้วยสถานการณ์โลกในตอนนี้ มีโอกาสน้อยมากจนแทบเป็นไปไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

แถมผู้อาวุโสเก้ายังไม่เพียงแต่สามารถบรรลุขอบเขตเทวาได้ แต่ยังสามารถทะลวงผ่านขั้นของขอบเขตเทวากลายเป็นราชันเทวา นับได้ว่าเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงอย่างแน่นอน!

เมื่อซางเหิงเห็นว่าผู้อาวุโสเก้าลงมีปิดผนึกห้องโถงเอาไว้แล้วก็รู้สึกโล่งใจ

จากนั้น เขาจึงกล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าได้พบกับ…ท่านเซียน!”

“ท่าน..เซียน?”

“พูดเรื่องบ้าอะไรกัน!”

“เจ้ายังไม่ตื่นจากฝันหรือ?”

หลังจากได้ยินสิ่งที่ซางเหิงกล่าวออกมา ผู้อาวุโสทั้งสามก็พากันทำสีหน้าน่าเกลียด

ไอ้เด็กนี่ พวกเขาก็นึกว่าซางเหิงจะเอาเรื่องใหญ่อะไรมาแจ้ง ที่แท้ก็เรื่องนี้…?

บนโลกใบนี้จะมีเซียนอยู่ได้อย่างไร!

กาลเวลาล่วงผ่านยาวนานเกินจะนับ ไม่รู้ว่ามีมหาจักรพรรดิผู้น่าตื่นตะลึงอันไร้ผู้เทียบเคียงได้ปรากฏตัวขึ้นมามากเพียงใด แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ต่างล้มเหลวในการกลายเป็นเซียนและร่วงหล่นไป

เซียนไม่ใช่ขอบเขตที่สามารถบรรลุได้ เป็นเพียงสิ่งที่สร้างมาจากภายในใจของพวกเขา เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน

พวกเขาต้องการความเป็นอมตะนิรันดร์ และต้องการจะก้าวข้ามขอบเขตมหาจักรพรรดิ ดังนั้นจึงเกิดเป็นความคิดเรื่องเซียนขึ้นมา

หากยุคสมัยหนึ่งไม่มีผู้ใดสามารถกลายเป็นเซียนได้ก็แล้วไป แต่ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย กลับยังคงไร้ผู้สามารถก้าวขึ้นเป็นไปเซียน พวกเขาจึงไม่เชื่อในเรื่องเซียนอีกต่อไป

ยามนี้เมื่อได้ยินสิ่งที่ซางเหิงกล่าวออกมาว่าได้พบเจอกับเซียน พวกเขาจึงไม่ได้คล้อยตามแต่อย่างใด!

“เจ้า…เจ้าช่างพูดได้ดี!”

ผู้อาวุโสเก้าพูดไม่ออกอยู่บ้าง ใบหน้าแก่ชราของเขาดำคล้ำลงราวกับก้นหม้อ

ซางเหิงมาที่นี่…เพื่อก่อความวุ่นวาย!?

กล่าวออกมาอย่างจริงจังว่าเป็นเรื่องใหญ่ หลังจากนั้นก็ให้เขาจัดเตรียมสถานที่ ปิดผนึกห้องโถงหลังจากให้คนออกไปแล้ว เนื่องจากเกรงว่าเรื่องใหญ่จะรั่วไหลออกไป

สุดท้ายแล้วกลับกล่าวออกมา…ว่าพบเซียน?

มีเซียนให้พบที่ไหนกัน!

ตั้งแต่โบราณกาล ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน รวมกระทั่งเหล่ามหาจักรพรรดิยังไม่เคยพบเห็นเซียนมาก่อน แล้วเด็กน้อยคนหนึ่งอย่างเจ้ากลับพบเจอเซียน?

เขายิ่งคิดก็ยิ่งโกรธจนหนวดสีขาวกระตุก หากซางเหิงไม่สามารถให้คำอธิบายที่ดีกับเขาได้ เขาจะสั่งสอนบทเรียนให้ซางเหิงอย่างรู้ซึ้ง

“ซางเหิง ต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสอย่ากำเริบเสิบสาน!”

ซางเจี๋ยขมวดคิ้วก่อนเอ่ยตำหนิ

“เดี๋ยวก่อน…”

ในตอนนั้นเอง เขาก็พลันนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ ทำให้สีหน้าเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก “เขาอาจถูกผู้อื่นควบคุมอยู่ จงใจให้พวกเราปิดผนึกห้องโถง ก่อนจะโจมตีพวกเรา!”

ผู้อาวุโสเก้าตอบสนองกับคำพูดนั้น เขาชี้นิ้วไปทางจุดที่ซางเหิงอยู่

เขารู้สึกว่าสิ่งที่ซางเจี๋ยกล่าวนั้นมีเหตุผล

การกระทำของซางเหิงนั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่าซางเหิงอาจถูกผู้อื่นควบคุมอยู่ จากนั้นจึงซ่อนกลสักอย่างเอาไว้เพื่อจัดการกับพวกเขา!

“นี่เป็นฝีมือของนักบุญยุคโบราณเหล่านั้นหรือ?”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชา “คิดว่าหากสังหารพวกเราไปแล้ว เจ้าจะไม่ถูกเปิดโปงแล้วสามารถหลบซ่อนตัวต่อไปได้อย่างนั้นหรือ? โง่งม โง่งมเกินไปแล้ว!”

เขาคิดว่าเป็นฝีมือของนักบุญสมัยโบราณที่หลบซ่อนตัวอยู่ต้องการจะลงมือทำลายพวกเขาผ่านทางซางเหิง

“ข้า…ข้าไม่ได้รับความเป็นธรรม!”

ซางเหิงอยากจะร้องไห้ออกมาด้วยความขมขื่น ทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้ที่ถูกนักบุญยุคโบราณควบคุมไปเสียแล้ว?

แม้ว่านักบุญสมัยโบราณสามารถทำเช่นนี้ได้จริง

แต่เขาไม่ได้ถูกควบคุมอยู่จริง ๆ!

สิ่งที่เขาพูดออกมาก็เป็นความจริง!

“แผนการถูกเปิดโปงออกมาแล้ว ตอนนี้ก็ต้องการเรียกร้องความเห็นใจ เพื่อให้พวกเราผ่อนความระมัดระวังตัวใช่หรือไม่?”

ผู้อาวุโสเก้าตะโกนออกมาเสียง แววตาน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด แต่ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็จะต้องชดใช้ ศักดิ์ศรีของเผ่าซางไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถหลบหลู่ได้แม้เจ้าจะเป็นนักบุญ!”

ไม่ต้องพูดถึงช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดของเผ่าซาง กระทั่งเผ่าซางในปัจจุบัน พวกเขาก็ไม่เกรงกลัวนักบุญแม้แต่น้อย!

นี่…นี่มันอะไรกัน!

ภายในใจของซางเหิงเกิดความอัดอั้นเป็นอย่างมาก

แต่เขาก็ไม่คิดกล่าวโทษเหล่าผู้อาวุโส หากเขาไม่ได้สัมผัสมาด้วยตนเอง เขาก็คงจะไม่เชื่อคำพูดของตัวเองอย่างแน่นอน

คำว่าเซียนนั้นเลื่อนลอยเกินกว่าจะจับต้องได้!

คำกล่าวว่าได้พบกับเซียน…ราวกับเป็นเพียงเรื่องตลบขบขัน ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท