เขาจอดรถตรงหน้าบ้านของเด็กชาย และเดินไปที่ประตูบ้านก่อนจะเคาะประตู
“ใคร…”
พอผู้ชายที่เปิดประตูให้เห็นฟิลลิป อีกฝ่ายก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ทันที นี่เป็นใบหน้าที่เขารู้จัก คนคนนี้คือผู้ชายที่กอดและจูบหน้าผากปีเตอร์อย่างอ่อนโยนที่ถนนวันนั้น
“ปีเตอร์ล่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น…”
ความตกใจฉายชัดอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย ตอนนั้นเองฟิลลิปถึงได้รู้ว่าตัวเองยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อที่เปื้อนเลือด แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนเสื้อเอาป่านนี้
“อยู่โรงพยาบาลไหน”
ฟิลลิปจ้องชายคนนั้นพร้อมกับเอ่ยถาม
“ใครอยู่ข้างนอกน่ะ ใครมาเหรอ”
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนดังมาจากข้างใน
“ไม่มีใครครับ ไม่ต้องสนใจหรอกครับแม่”
ชายหนุ่มตอบกลับไปแบบนั้นก่อนจะออกมาข้างนอกและปิดประตู ตอนนั้นเองฟิลลิปถึงได้รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดอย่างมหันต์
“มาหาพี่ชายผมทำไมครับ”
ผู้ชายที่เห็นได้ชัดว่าเป็นหนึ่งในน้องชายของเด็กชายทำตาขวางพร้อมกับเอ่ยถาม
“บอกมาว่าอยู่ที่โรงพยาบาลไหน”
“ไม่ครับ”
เป็นอย่างที่เด็กชายพูด น้องชายไม่มีส่วนไหนเหมือนกับเด็กชายเลย ทั้งยังเป็นเด็กที่ไร้มารยาทต่างจากพี่ชายด้วย
“แอรอน! รีบเตรียมเร็วเข้า เราต้องออกไปแล้วนะ ลูกก็รู้นี่ว่าทางไปโรงพยาบาลรถติดตลอด”
ดูเหมือนพวกเขากำลังจะไปโรงพยาบาลที่ปีเตอร์เข้าพักรักษาตัว พอฟิลลิปที่คิดว่าคงไม่ต้องฟังคำตอบแล้วกำลังจะหันกายจากไป แอรอนก็คว้าไหล่เขาไว้
“อย่าตามมานะครับ”
“ไม่”
ฟิลลิปตอบคำตอบเดียวกับที่ได้ฟังจากแอรอนกลับไป แอรอนจ้องมองฟิลลิปราวกับตะลึงจนพูดไม่ออกก่อนจะพูดต่อ
“ก่อนหน้านี้พี่ชายเคยได้รับคำเชิญให้ไปงานปาร์ตี้ครั้งหนึ่ง เป็นปาร์ตี้ของพวกที่ดังที่สุดในโรงเรียน ก่อนวันงานพี่เขาถึงกับนอนไม่หลับเพราะตื่นเต้นมาก แต่รู้ไหมว่ามันเป็นยังไง”
ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะไอ้เวรนี่
ฟิลลิปเก็บคำที่อยากพูดเอาไว้ และถามว่า “เป็นยังไงล่ะ”
“คนพวกนั้นโยนพี่ลงสระน้ำโดยที่บอกว่าเป็นการแกล้งเล่นครับ เพราะเรื่องนั้นพี่เลยเป็นโรคปอดบวม และต้องนอนโรงพยาบาลอยู่เป็นเดือน ถึงจะเป็นการแกล้งกันเล่นของคนพวกนั้น แต่พี่ก็อาจตายได้”
ฟิลลิปนึกถึงเด็กชายที่ปฏิเสธคำเชิญไปงานปาร์ตี้อยู่หลายครั้ง เขาบอกว่า ‘คนอย่างผมคงไม่เหมาะกับที่แบบนั้น ขอบคุณที่เชิญนะครับ แต่ผมไม่ไปน่าจะดีกว่า’ พร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธอีกหลายรอบ นี่มันแย่มาก สุดท้ายแล้วปาร์ตี้ครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรดีกว่าปาร์ตี้ครั้งก่อนเลย ไม่สิ ถ้าจะให้สรุป ปาร์ตี้คราวนี้เลวร้ายที่สุด
“ผมห้ามไม่ให้เขาไปงานปาร์ตี้ของคุณครับ”
“…”
“ถ้าเป็นคำพูดของผม เขาจะฟังเสมอ แต่ไม่ใช่กับวันนั้น วันนั้นพี่เขาเปลี่ยนเสื้ออยู่หน้ากระจกถึงสามชั่วโมงเลยนะครับ ผมพาเขาไปส่งที่นั่นเอง แต่เขากลับกลับบ้านมาด้วยสภาพแบบนั้น”
แอรอนกำหมัดและจ้องฟิลลิปตรงๆ
“ฉันเกลียดคนอย่างพวกนายมาก ทั้งแบ่งชนชั้น ไม่สนใจคนอื่น เป็นพวกที่คิดว่าตัวเองดีอยู่คนเดียว ถึงจะไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่อย่ามาเข้าใกล้พี่ชายของฉันอีก”
“แอรอน! ทำอะไรอยู่! ปีเตอร์รออยู่นะ รีบออกเดินทางกันเถอะ”
ในโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่ เพราะคำพูดของผู้หญิงคนนั้น เขาจึงรู้ว่าเด็กชายไม่ได้ป่วยหนัก
“ครับ ไปเดี๋ยวนี้แหละครับแม่”
แอรอนตะโกนตอบไปแบบนั้นก่อนจะมองฟิลลิป
“ต่อให้มาหาฉันก็จะไม่เปิดประตูให้ ไสหัวไปซะ!”
ประตูถูกปิดดัง ปัง ตรงหน้า ฟิลลิปยืนอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ก่อนจะเดินกลับไปที่รถ เขาฟาดพวงมาลัยรถด้วยแรงทั้งหมดที่มี แม้จะฟาดไปหลายครั้ง แต่ความโมโหของเขากลับไม่คลายลง
ประตูโรงรถเปิดออกพร้อมกับรถวากอน[1]ที่เคลื่อนตัวออกมา ฟิลลิปสตาร์ทรถ เขารักษาระยะห่างให้มากพอที่อีกฝ่ายจะไม่รู้ และไล่ตามหลังรถวากอนไป
คำพูดของแอรอนไม่มีอะไรผิดเลย เขาเป็นไอ้สารเลว และก็เป็นไอ้บ้าที่ไม่สามารถแยกได้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่ตัวเองรู้สึกคืออะไร แต่เขากลับมั่นใจอยู่อย่างหนึ่ง คือเขาจะไม่ไสหัวไปไหนจนกว่าจะมั่นใจว่าเด็กชายปลอดภัยดี
***
หลังจากหยิบยาจากกระปุกยาใส่ปากและกลืนน้ำลงไป เด็กชายก็มองตัวเองที่อยู่ในกระจกอย่างเหม่อลอย
ใบหน้าของตนดูหมองและอ่อนแอ
‘พระเจ้าสร้างแต่คนที่สมควรจะได้รับความรักขึ้นมา เพราะแบบนั้นลูกจึงได้มาหาพวกเราไงจ๊ะ’
เขานึกถึงน้ำเสียงที่รักและเอ็นดูตนของแม่
“…เราอาจจะไม่สมควรได้รับมันก็ได้”
เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าสร้อยก่อนจะรีบส่ายหน้า เขารู้สึกเหมือนการที่ตัวเองคิดแบบนั้นเป็นการทำผิดต่อแม่
เขาออกจากห้องน้ำและขึ้นไปบนเตียง แม้จะหลับตาลง แต่กลับไม่หลับง่ายๆ แม้พยายามจะลืม แต่เขากลับนึกถึงความทรงจำในวันนั้นอยู่เรื่อยจนรู้สึกหงุดหงิดใจ เด็กชายพลิกตัวและหันไปอีกด้านหนึ่ง
เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้แอรอนฟัง เขากุเรื่องไปว่าเสื้อผ้าที่ฉีกขาดกับแผลที่โดนต่อยเกิดจากการหกล้ม ถึงจะสัมผัสได้ว่าแอรอนไม่เชื่อ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ปริปากพูด
ตั้งแต่พรุ่งนี้เราต้องไปโรงเรียนอีกครั้ง…ถ้าเจอหน้ากันจะทำยังไงดี
ในขณะที่มองฟิลลิปที่ไม่มองตัวเองเลยสักครั้งตลอดงานปาร์ตี้ เด็กชายก็ได้รู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ตนตื่นจากความฝันอันแสนหวาน ระยะห่างของพวกเขาก็อยู่ประมาณนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ช่วงเวลาที่ได้แต่มองในสิ่งที่ไม่สามารถครอบครองได้ตาเป็นมันนั้นน่าเป็นทุกข์
‘คิดว่าฟิลลิปจะสนใจคนอย่างนายเหรอ เขาคงจะลืมไปแล้วแหละว่าเชิญนายมา สำหรับหมอนั่นนายก็เป็นได้แค่เพื่อนบ้านยากจนที่เขาโยนเศษเหรียญให้ เพราะถือว่าเป็นการบริจาคในช่วงคริสต์มาสเท่านั้นแหละ หรือไม่เขาก็อาจจะตั้งใจเรียกมาให้ทุกคนเห็นอะไรสนุกๆ แบบนี้ก็ได้’
เขาไม่ลืมคำพูดที่เฟร็ดพูดกับตัวเองในวันนั้น
เขานึกถึงฟิลลิป ฟิลลิปที่โกรธจนขาดสติในวันนั้น ฟิลลิปที่ทำตัวเย็นชาใส่เขา ฟิลลิปที่ทายาให้ ฟิลลิปที่วิ่งเข้าหาตนอย่างกะทันหันก่อนจะประทับริมฝีปากลงมา…
เด็กชายลูบริมฝีปากก่อนจะส่ายหน้า
ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะทำอย่างจริงใจ นี่คงเป็นความสนใจที่อยู่ในระดับเศษเหรียญไม่กี่อันที่โยนให้เพื่อนบ้านผู้ยากจนในช่วงคริสต์มาสอย่างที่เฟร็ดพูด การจูบของฟิลลิปไม่ต่างอะไรกับการล้อเล่นอันแสนโหดร้ายที่เฟร็ดทำกับตน
ทั้งๆ ที่รู้ แต่ทำไมเราถึง…
เด็กชายถอนหายใจก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง เขาพยายามจะหลับและเริ่มนับแกะในหัว
แกะตัวที่หนึ่ง แกะตัวที่สอง แกะตัวที่สาม…ตุบ…แกะตัวที่สี่ ตุบ
“…เอ๊ะ”
เด็กชายรู้สึกถึงเสียงรบกวนที่ปนอยู่ในหัวขณะที่นับเลข และลืมตาขึ้น
ตุบ ตุบ…ตุบ
เป็นเสียงอะไรบางอย่างกระแทกหน้าต่าง
ฝนตกเหรอ แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าอากาศจะแจ่มใสตลอดทั้งอาทิตย์นี่
เด็กชายแง้มผ้าม่านออกเพื่อมองดูด้านนอก แล้วก็เกือบจะเป็นลมอยู่ตรงนั้น
“…!”
“หวัดดี”
ฟิลลิปนั่นเอง เขานั่งอยู่บนกิ่งของไม้ดัดที่ปลูกเป็นต้นไม้ในสวน
เด็กชายกะพริบตาอยู่หลายครั้งก่อนจะลองหยิบต้นขาของตัวเองดูและยอมรับว่านี่เป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน
“ฉันกำลังคิดอยู่พอดีเลยว่าจะต้องโยนหินที่ใหญ่ขึ้นหรือเปล่า”
ฟิลลิปว่าพลางปล่อยก้อนกรวดหลายก้อนหล่นลงพื้น
“ฉันเข้าไปได้ไหม”
“ครับ? อ๋อ…ครับ”
พอเด็กชายถอยกลับไปยืนตรงกรอบหน้าต่าง ฟิลลิปยื่ก็นขายาวๆ เข้าด้านใน
“มาที่นี่ได้ยังไง…มีธุระอะไร…”
เด็กชายตกใจมากจนไม่สามารถพูดให้เป็นประโยคได้ แต่เขาก็รีบก้มหน้าลง เพราะความคิดที่โผล่ขึ้นมาในหัว
“…ไม่พูดครับ ผมจะไม่พูดครับ”
ผู้ชายที่ใช้ความรุนแรงอันแสนโหดร้ายกับเฟร็ดกำลังทำแววตาว่างเปล่าจนน่าขนลุก นี่เป็นใบหน้าที่เขาไม่คุ้นเคย และไม่ใช่คนที่ตนรู้จักด้วย เขารู้สึกเหมือนได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรจะเห็น หากสภาพในตอนนี้ถูกเปิดเผย ความนิยมของฟิลลิปจะต้องลดน้อยถอยลงอย่างแน่นอน
“ผมจะไม่พูดเด็ดขาดครับ ไม่ต้องเป็นหะ…”
เด็กชายเงยหน้า แล้วก็นิ่งอยู่อย่างนั้น ฟิลลิปกำลังมองตน ผ่านไปสักพักฟิลลิปก็เอ่ยถาม
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ครับ?”
“ฉันได้ยินว่านายผ่าตัด แล้วก็เห็นนายออกจากโรงพยาบาลด้วย”
เด็กชายตกใจจนไม่สามารถถามได้ว่าเห็นเขาออกจากโรงพยาบาลได้อย่างไร
“ไม่ใช่การผ่าตัด แต่เป็นการตรวจสุขภาพครับ ผมแอดมิทที่โรงพยายาลเพราะต้องรับการตรวจตามกำหนดทั้งวันน่ะครับ”
“ผลล่ะ”
“…ไม่เป็นไรครับ”
“โล่งอกไปที”
“…”
ลำคอของเขาร้อนผ่าว เด็กชายก้มหน้าลงอีกครั้ง
คนคนนี้เป็นอะไรกันแน่ เขาไม่สามารถปรับระยะห่างให้เหมาะสมได้เลย ทุกครั้งที่เจอกัน เขารู้สึกว่าหัวใจของตัวเองรุ่มร้อนแล้วก็กลับไปเย็นเป็นน้ำแข็งอีกครั้ง เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“ขอถามอะไรสักอย่างได้ไหม”
เด็กชายพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
“นายจูบกระถางดอกไม้ที่เอามาให้เป็นของขวัญเหรอ”
เด็กชายหยุดหายใจทันที ใบหน้าของเขาซีดเผือด เขาไม่คิดเลยว่าจะมีใครเห็นภาพนั้น ปลายนิ้วของเขาสั่นในขณะเดียวกันก็รู้สึกตาลาย
“เพราะ เพราะเป็นดอกไม้ที่ผมปลูกเอง…มันเป็นแค่การจูบลาเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอื่นเลย…ขอโทษครับ”
คำขอโทษที่เอ่ยต่อท้ายเบาจนแทบไม่ได้ยิน เขาหายใจได้อยากยากลำบากราวกับลมหายใจนั้นติดอยู่ในลำคอ เด็กชายไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร เขาจึงกำชายเสื้อตัวสั่นระริก
ฟิลลิปก้าวเข้าไปอีกหนึ่งก้าว ถูกต่อยแน่ เด็กชายหลับตาแน่น แต่ผ่านไปสักพักก็ยังไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวอะไร เด็กชายค่อยๆ เงยหน้าขึ้น พวกเขาสบตากัน และในตอนนั้นเขาก็ถูกดึงเข้าไปกอด
“แม่ง ฉันคงบ้าไปแล้วแน่ๆ”
เขาได้ยินเสียงสบถเบาๆ เหนือหัว
“วันนี้ฉันแค่จะมาดูว่านายสบายดีไหมเท่านั้น แล้วกะว่าจะมาบอกทีหลัง”
ฟิลลิปดันร่างที่อยู่ในอ้อมกอดออกก่อนจะพูดต่อ
“ฉันเหมือนจะชอบนาย”
“…ครับ?”
“ฉันบอกว่าฉันเหมือนจะชอบนาย”
เด็กชายหายใจไม่ออกอย่างกะทันหัน
นี่เป็นการแกล้งกันเล่นอะไรอีกหรือเปล่า คนอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ที่ไหนสักที่คงจะโผล่มาพร้อมกันแล้วก็หัวเราะ เขากลัว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากจะตอบรับอย่างยินดีโดยไม่สนใจเรื่องพวกนั้น
อันที่จริงผมเองก็…
“…อย่าล้อกันเล่นสิครับ”
เด็กชายตั้งสติอย่างยากลำบากและผลักฟิลลิปออก ฟิลลิปถูกแรงอันแสนน้อยนิดผลักออกไปอย่างง่ายดายจนไม่อยากจะเชื่อ
“ฉันเหมือนล้อเล่นเหรอ”
“แน่ยะ…”
เขาถูกสายตาคู่นั้นรั้งไว้ ฟิลลิปกำลังมองตน ใบหน้านั้นดูไม่คุ้นตา เขาไม่ใช่ฟิลลิป เลวินที่เหวี่ยงหมัดใส่เฟร็ดอย่างรุนแรง ไม่ใช่ฟิลลิป เลวินที่ถูกเรียกว่าควอร์เตอร์แบ็กที่เยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีม และไม่ใช่ฟิลลิป เลวินที่ทุกคนอยากสนิทด้วย
เขามองไม่เห็นการล้อเล่นในท่าทางที่ดูงุ่นง่านราวกับโมโหอะไรสักอย่างของฟิลลิปเลย
“…แน่อยู่แล้วสิครับ”
เด็กชายพูดต่อด้วยเสียงอันสั่นเทา
“ไม่มีทางที่คุณจะรู้สึกแบบนั้นกับคนอย่างผม…แถมยังเป็นผู้ชายด้วย…ไม่มีเหตุผลที่คุณจะเป็นแบบนั้นเลย”
เขาไม่กล้าแม้แต่จะพูดคำว่าชอบออกมา ฟิลลิปกุมข้อมือของอีกฝ่ายไว้และดึงให้มาอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็กระซิบด้วยเสียงทุ้มต่ำในระยะห่างที่ริมฝีปากแทบจะแตะกัน
“ใช่แล้ว เพราะฉันไม่เคยเป็นแบบนี้เลยสักครั้ง ฉันเองก็สับสนเหมือนกัน”
“…”
“ขอพิสูจน์ได้ไหม”
ริมฝีปากประกบลงมาก่อนที่เด็กชายจะทันได้ตอบ นี่เป็นการจูบที่ต่างจากวันนั้นอย่างสิ้นเชิง ริมฝีปากสัมผัสกันอย่างนุ่มนวลก่อนจะผละออกไปและแตะลงมาใหม่สลับกันซ้ำๆ พอริมฝีปากที่จูบอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวลราวกับปลอบเด็กที่ร้องไห้ผละออกไป เด็กชายก็เงยหน้ามองฟิลลิปด้วยสีหน้าล่องลอย
“ฉันขอยกเลิกที่บอกว่าเหมือนจะชอบเมื่อกี้”
ใบหน้าของเด็กชายแดง เพราะคำพูดพึมพำราวกับพูดคนเดียวของฟิลลิป แม้จะเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้น แต่เขาก็รู้สึกเหมือนคนโง่ที่คิดไปเองว่าฟิลลิปอาจจะชอบตนจริงๆ ก็ได้
ฟิลลิปกุมแก้มของเด็กชาย
“ฉันชอบนาย”
[1] รถวากอน (Wagon) เป็นรถห้าประตูคล้ายกับรถ SUV แต่จะมีพื้นที่สำหรับเก็บสัมภาระมากกว่า มักเป็นรถประเภทรถครอบครัว