ร่างของหญิงสาวเดินจากไป หายลับไปท่ามกลางสายตา เฟิงหลินหันหน้ามองไปยังตำหนักใหญ่อีกครั้ง เกี้ยวขององค์ชายสามก็หายลับไปแล้ว เขารีบเดินกลับเข้าไปด้านใน
“คุณหนูตันจูแปลกมาก” เฟิงหลินพูด “ท่านแม่ทัพให้คุณหนูตันจูเข้าวังมาในเวลาที่องค์ชายสามอยู่โดยเฉพาะ ให้พวกเขาพบหน้ากัน เพื่อความสบายใจ เหตุใดนางจึงไม่พบองค์ชายสาม ก่อนหน้านี้องค์ชายสามรอคอยอยู่ด้านนอกเป็นระยะเวลาหนึ่ง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “จะเป็นคุณหนูตันจูที่แปลกได้อย่างไร ห้องของข้าไม่ใช่ถ้ำเสือถ้ำมังกร เขาเข้ามาไม่ได้หรือ ตะโกนเรียกก็ได้ เหตุใดจึงต้องรอ”
ก็จริง เฟิงหลินรีบพยักหน้า “ใช่ องค์ชายสามประหลาดมาก”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กโยนตำราลงบนโต๊ะ “ผู้ใดจะรู้ว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้คิดอย่างไร”
เฟิงหลินอยากหัวเราะแต่อดกลั้นเอาไว้ เวลานี้หวังเจียนเดินเข้ามา เห็นท่าทางของเฟิงหลินจึงถาม “มีเรื่องใดกัน คุณหนูตันจูทำเรื่องน่าขันอันใดอีก”
สายตาของเฟิงหลินกลอกไปมา ก่อนจะหยุดลงบนจานที่ว่างเปล่าบนโต๊ะ ชี้ไป “คุณหนูตันจูกินขนมที่ฝ่าบาทให้ท่านแม่ทัพจนหมดแล้ว”
หวังเจียนผงะ ก่อนจะหัวเราะเย้ยหยัน “ช่างน่าขันเสียจริง เฟิงหลินนับวันยิ่งฉลาดพูด” ก่อนจะมองไปยังแม่ทัพหน้ากากเหล็ก “ท่านแม่ทัพหาเหตุผลที่ให้นางเข้ามาได้แล้วหรือไม่”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กชี้ไปที่โต๊ะ “กินขนม ขนมฤดูใบไม้ผลิที่ทางห้องเครื่องเพิ่งทำ”
หวังเจียนทั้งโกรธทั้งขบขัน เขาไม่คาดหวังให้อีกฝ่ายพูดเรื่องจริงจังอันใดออกมา เอนตัวนั่งลงบนเบาะ เขี่ยจานที่ว่างเปล่า “อร่อยเพียงนี้เชียวหรือ ข้ายังไม่ทันได้ลิ้มลอง ให้คนส่งมาอีก”
เฟิงหลินพูดกลั้วหัวเราะ “วันนี้คงไม่มีแล้ว ฝ่าบาททรงมอบให้ท่านแม่ทัพและองค์ชายสามคนละกล่อง หวังไต้ฟูรอพรุ่งนี้เถิด”
ส่วนของท่านแม่ทัพถูกคุณหนูตันจูกินหมดแล้ว ส่วนขององค์ชายสามถูกส่งไปให้คุณหนูตันจูก่อนหน้านี้
หวังเจียนนั่งลูบเคราหัวเราะเยาะ “แค้นที่ตัวข้าไม่ใช่คนหนุ่มสาวรูปลักษณ์งดงาม!”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่สนใจเสียงโหวกเหวกของพวกเขา ลุกขึ้นพลางเอ่ย “ข้าจะอาบน้ำ หยิบยามาให้ข้า”
หวังเจียนเงยหน้ามอง “ใช้น้อยลงเถิด ใช้มากเกินไปไม่ดี”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “เวลานี้ในเมืองหลวง แม้จะอยู่แต่ในวังไม่ออกไปด้านนอก คนยังคงไปมาอย่างมาก ไม่อาจไม่ระวัง”
หวังเจียนระอา พูดได้แค่เพียง “อย่างไรรีบกลับค่ายทหารเถิด นโยบายคัดเลือกขุนนางด้วยความสามารถก็ถือว่ากำลังดำเนินไปตามแนวทางแล้ว ส่วนเรื่องอื่น…”
เรื่องภายในวังหลังอาทิองค์ชายสามประสบภัย
“ท่านเป็นขุนนางนอก เป็นพลทหาร อย่าได้มีส่วนร่วมเลย”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับ “เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องให้ข้าเข้าร่วม ฝ่าบาทมีความคิดอยู่ภายในใจ”
ส่วนทางเฟิงหลินเรียกขานเหล่าขันทีให้นำน้ำร้อนเข้ามา หวังเจียนไม่พูดสิ่งใดอีก ลุกขึ้นเดินออกไป “ข้าไปเดินเล่นด้านนอก”
เวลานี้ ในตำหนักแห่งนี้นอกจากหวังเจียน ทั้งที่แจ้งที่ลับล้วนมีองครักษ์เฝ้าเอาไว้อย่างหนาแน่น หากเวลานี้เฉินตันจูเข้ามาคงจะประหลาดใจอย่างมาก บริเวณแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ให้เดินเล่นได้ตามใจ
เฟิงหลินยืนอยู่บนห้อง มองแม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินเข้าไปปลดเสื้อผ้าด้านหลังฉากกั้น
“ท่านแม่ทัพ ต้องให้ข้าช่วยหรือไม่” เขาถาม
“ไม่ต้อง” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด ยื่นมือหนึ่งออกมาจากด้านหลังฉากกั้น “ส่งผงยาให้ข้า”
เฟิงหลินตอบรับ ส่งยาขวดเล็กไปให้ในมือของท่านแม่ทัพ ก่อนจะถอยหลังไป มองเงาของร่างอ้วนท้วมที่สะท้อนอยู่บนฉากกั้นยืดขยาย
ไอร้อนทำให้ภายในห้องเต็มไปด้วยหมอกควัน ปิดบังคนทั้งคนเอาไว้ภายใน มือหนึ่งแหวกหมอกออก หยิบกระจกทองแดงขนาดเล็กบนโต๊ะสูงด้านข้างขึ้นมา แขนที่หดกลับไปทำให้หมอกควันที่ล้อมรอบอยู่นั้นกระจัดกระจาย ภายในกระจกทองแดงปรากฏใบหน้าของชายหนุ่มอายุน้อย…
คิ้วยาวเฉี่ยวขึ้น ดวงตาดุจดวงดาวแต่ก็ราวกับถ้ำลึก สันจมูกสูงคมดุจแกะสลัก ดวงตาจับจ้องเข้าไปในกระจก ท่าทางสง่าหลั่งไหลออกมาจากภายในกระจก ทำให้หมอกควันรอบด้านราวกับหยุดชะงักไป มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นหมอกควันกระจัดกระจาย ภายในกระจกทองแดงมีเพียงความงดงาม
“เรื่องของคนหนุ่มสาวมีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจ”
คนรูปงามในกระจกพูดเสียงเบา น้ำเสียงสดใสดุจเสียงพิณ
กระจกถูกโยนทิ้ง คนก้าวเข้าไปภายในอ่างไม้ เสียงน้ำดังขึ้น ไอร้อนระอุขึ้นปิดบังทุกสิ่ง
…
ถึงแม้องค์ชายสามไม่สนใจร่างกายที่อ่อนแอ ทรงงานอย่างขยันขันแข็ง แต่ทุกคนย่อมไม่ปล่อยให้เขาทรงงานอย่างเหน็ดเหนื่อยเกินไป เมื่อเวลากลางวันผ่านไป เหล่าขุนนางต่างเกลี้ยกล่อมองค์ชายสามให้กลับไปพักผ่อน หารือเรื่องสำคัญเสร็จสิ้นแล้ว เรื่องจิปาถะต่อไปเป็นหน้าที่ของพวกเขาก็พอ รอพรุ่งนี้องค์ชายสามมาพิจารณาอีกครั้ง
องค์ชายสามไม่ได้ยืนกรานจะอยู่ต่อ เพราะเขารู้เจตนาของเสด็จพ่อ เขาย่อมไม่ทำร้ายร่างกายของตนเอง
“มีเพียงดูแลร่างกายให้ดี ถึงจะทำงานที่ดีมากยิ่งขึ้นได้” เขาพูด “ถึงจะได้ไม่ทรยศต่อเจตนาของเสด็จพ่อ”
เขาขอบคุณความเหน็ดเหนื่อยของทุกคน ก่อนจะกำชับเสี่ยวชวีให้จัดเตรียมอาหารของทุกคน จากนั้นจึงนั่งเกี้ยวกลับวังหลังไป
เดิมทีฮ่องเต้ต้องการให้องค์ชายสามอยู่ในตำหนักของเขา แต่องค์ชายสามปฏิเสธ ฮ่องเต้จึงส่งคนจำนวนมากเข้าไปในวังขององค์ชายสามเพื่อดูแลอย่างเข้มงวด ถึงแม้มีคนมาก แต่ส่วนใหญ่หลบซ่อนอยู่ในที่มืด ภายในวังขององค์ชายสามยังคงรักษาความสงบ
หนิงหนิงพยุงองค์ชายสามเดินลงจากเกี้ยว
“องค์ชาย สรงน้ำเถิดเพคะ” นางพูด “หม่อมฉันขอให้สำนักหมอหลวงส่งสมุนไพรมาจำนวนหนึ่ง สามารถยับยั้งพิษที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายขององค์ชายได้เพคะ”
องค์ชายสามพูดด้วยรอยยิ้ม “หนิงหนิงเก่งเสียจริง”
หนิงหนิงยิ้ม “องค์ชาย หม่อมฉันไม่ได้เก่ง หม่อมฉันไม่ได้ศึกษาฝีมือมากนักตอนอยู่ในตระกูล มีเพียงศึกษาสมุนไพรกับท่านปู่เล็กน้อย แต่โชคดีคือ สมุนไพรเหล่านี้สามารถรักษาอาการขององค์ชายได้เพคะ”
ขันทีด้านข้างฟังแล้วตกตะลึง อดถามไม่ได้ “คุณหนูหนิงหนิง ท่านรักษาองค์ชายสามได้?”
หนิงหนิงเงยหน้ามององค์ชายสาม “ได้”
ขันทีดีใจ “จริงหรือ จริงหรือ”
อันที่จริงหลายปีมานี้ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาองค์ชายสามให้หายได้ เขาไม่ควรเชื่อถือคำพูดเช่นนี้ แต่เนื่องจากเห็นองค์ชายสามที่เกือบตายไปกับตา ถูกสาวรับใช้ผู้นี้ใช้เข็มสองสามทีก็สามารถดึงเขากลับมาจากยมบาลได้ ขันทีอดเชื่อใจนางไม่ได้
หนิงหนิงมององค์ชายสาม “องค์ชายสามเชื่อหม่อมฉันหรือไม่เพคะ หากเชื่อหม่อมฉัน หม่อมฉันสามารถลองได้”
องค์ชายสามมองนาง แต่ไม่ได้ตอบทันที ราวกับเหม่อลอยเล็กน้อย สักพักจึงยิ้มขึ้น “อาบน้ำก่อนเถิด”
หนิงหนิงหลุบตาต่ำด้วยความเศร้าหมอง เหล่าขันทีพยุงองค์ชายสามนั่งลง ก่อนจะนำหนิงหนิงเข้าไปจัดเตรียมห้องสรงน้ำ
“ท่านอย่าเสียใจ” ขันทีคนหนึ่งปลอบนาง “ไม่ใช่องค์ชายไม่เชื่อใจท่าน แต่องค์ชายเป็นเช่นนี้มาสิบกว่าปีแล้ว หมอหลวงหมอเทวดาล้วนหามานับไม่ถ้วน แต่ไม่อาจรักษาได้ ทุกคนต่างไม่เชื่อแล้ว”
ขันทีอีกคนพูดกลั้วหัวเราะ “ใช่ๆ ท่านบอกว่าสามารถรักษาได้ ช่างใจกล้าเสียจริง คำพูดนี้คนที่พูดก่อนหน้านี้คือตัน…”
เขาพูดถึงตรงนี้ก่อนจะส่งเสียงไม่พอใจ ไม่อยากพูดชื่อนั้น
“ตันอันใด” หนิงหนิงถามด้วยความสงสัย
“คุณหนูตันจู นางบอกว่าสามารถรักษาองค์ชายสามได้ แต่เห็นได้ชัดว่านางหลอกใช้องค์ชายสาม ประกาศไปทั่ว ใช้โอกาสนี้ให้องค์ชายสามเป็นที่พึ่ง” ขันทีนั้นพูดอย่างไม่พอใจ “นอกจากนี้ หากไม่ใช่เพราะนาง ครานี้องค์ชายสามคงไม่ไปงานเลี้ยง”
หนิงหนิงนึกถึงท่าทางการพูดคุยผ่านประตูขององค์ชายสามกับหญิงสาวผู้นั้น ถามเสียงเบา “องค์ชายสาม เสด็จไปงานเลี้ยงจวนโหว ที่แท้ก็เพื่อพบคุณหนูตันจูหรือ”
ขันทีนั้นขุ่นเคือง “ใช่ องค์ชายไม่เคยสนใจงานเลี้ยงหรือความคึกคัก องค์หญิงจินเหยาตรัสว่าคุณหนูตันจูจะไป องค์ชายจึงต้องการไปทันที เดิมทีหลายวันนั้นท่านเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ไม่ได้พักผ่อน…”
ขันทีด้านข้างพูดขัดเขา “เจ้าหยุดพูดเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว เรื่องขององค์ชายสามเจ้าอย่าพูดมาก เอาเถิด พอได้แล้ว พยุงองค์ชายมาสรงน้ำ จากนั้นให้องค์ชายรีบพักผ่อน”
ขันทีนั้นจึงหยุดพูด คนทั้งหลายเดินออกไปพยุงองค์ชายสามเข้ามา ในขณะที่กำลังจะปลดเสื้อผ้าให้องค์ชายสาม องค์ชายสามยับยั้งพวกเขาเอาไว้ “พวกเจ้าออกไปเถิด เหลือหนิงหนิงเอาไว้ปรนนิบัติก็พอ”
เหล่าขันทีตอบรับ ก่อนจะส่งสายตาดีใจให้หนิงหนิง องค์ชายสามให้คนปรนนิบัติใกล้ตัวน้อยครั้งมาก โดยเฉพาะหญิงสาว เห็นได้ชัดว่าชื่นชอบหนิงหนิงอย่างมาก
หนิงหนิงดีใจมาก บนใบหน้าเผยให้เห็นความเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะตอบรับ เมื่อเหล่าขันทีถอยออกไป นางเดินไปตรงหน้าขององค์ชายสาม องค์ชายสามมองนางโดยไม่พูดสิ่งใด หนิงหนิงหลุบตายื่นมือ...
ไม่ได้ปลดเสื้อขององค์ชายสาม หากแต่ปลดเสื้อของตนเองออก เผยให้เห็นเสื้อตัวเล็กที่สวมอยู่ด้านใน รวมไปถึงสร้อยอิงรั่วที่สวมใส่
หลังจากเข้าพระราชวังมา เนื่องจากเป็นสาวรับใช้ที่องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีถวายให้ นางจึงสวมใส่ชุดของนางในด้วย สร้อยอิงรั่วนั้นจึงถูกซ่อนเอาไว้ภายใน
หนิงหนิงคุกเข่าลง ยกสร้อยอิงรั่วขึ้น “องค์ชาย ขอให้เชื่อใจเจตนาของท่านอ๋องของหม่อมฉัน”
สร้อยอิงรั่วนี้ทำมาจากอัญมณีต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความรักของคนในตระกูลต่อบุตรสาว ตรงกลางของสร้อยอิงรั่วเป็นกุญแจทอง องค์ชายสามยื่นมือจับกุญแจทองเอาไว้ ไม่รู้กดลงบริเวณใด มีเสียงเปิดออกดังขึ้นอย่างแผ่วเบา กุญแจทองถูกเปิดออก ใบมีดเงินขนาดเล็กหล่นลงในมือขององค์ชายสาม
องค์ชายสามหยิบใบมีดเงินขึ้นมา มองอักษรจารึกคำว่าฉีด้านบน
เขาถาม “นี่คือทรัพย์สมบัติที่ท่านอ๋องฉีสะสมมาสองชั่วอายุคนหรือ”
หนิงหนิงที่คุกเข่าตอบรับ “ถวายให้องค์ชายใช้เพคะ”