เสี่ยวชวีขันทีใกล้ตัวขององค์ชายสามดูแลขุนนางที่หารือกันเสร็จแล้ว ตอนที่กลับมายังตำหนักขององค์ชายสาม องค์ชายสามก็หลับไปเสียแล้ว
หนิงหนิงไม่อยู่ในตำหนัก
“นางไปไหนแล้ว” เสี่ยวชวีถามอย่างสงสัย
ขันทีคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักพูดอย่างดีใจ “หนิงหนิงบอกว่าสามารถรักษาพระอาการขององค์ชายสามได้ จึงไปปรุงยา”
เสี่ยวชวีหัวเราะ “เหตุใดเหล่าคุณหนูในเวลานี้จึงใจกล้านัก กล้าพูดว่าจะรักษาพระอาการขององค์ชายสามให้หายดีได้ คราก่อนคุณหนูตันจู…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงขององค์ชายสามดังขึ้นจากด้านใน “เสี่ยวชวี”
เสี่ยวชวีรีบหยุดพูดเดินเข้าไป “องค์ชายสามทรงตื่นแล้ว”
องค์ชายสามสวมชุดด้านในนั่งอยู่ขอบเตียง กำลังยกน้ำชาขึ้นดื่ม
“ใต้เท้าหลินพวกเขาหารือเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวชวีรีบเดินหน้าขึ้นพูด “จดหมายที่จะส่งไปยังแต่ละแคว้นร่างไว้แล้ว รอองค์ชายท่านทอดพระเนตร จากนั้นจึงถวายให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามพยักหน้าวางถ้วยชาลงพลางลุกขึ้นยืน “พวกเราไปกันเถิด”
เสี่ยวชวีตอบรับ หนิงหนิงถือชามยาเข้ามา “องค์ชายสาม หม่อมฉันต้มยาเสร็จแล้วเพคะ”
องค์ชายสามมองนางด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ได้เอื้อมมือไปรับมา
เสี่ยวชวีรับเอาไว้ก่อน ถามอย่างสงสัย “ยานี้สามารถรักษาองค์ชายสามได้?”
หนิงหนิงส่ายหัว “ยานี้เป็นเพียงยาปรับร่างกาย อาการขององค์ชายสามต้องรักษาอย่างช้าๆ”
หางตาของเสี่ยวชวีเหลือบไปมององค์ชายสาม องค์ชายสามไม่พูดอันใด ดังนั้นเขาจึงถามต่อไปด้วยความสงสัย “ต้องใช้เวลานานเพียงใด”
หนิงหนิงพูดอย่างเปิดเผย “อย่างน้อยต้องใช้ยาห้าชุด”
เสี่ยวชวีตะลึง “ง่ายเพียงนี้? เรื่องจริงหรือเท็จ”
หนิงหนิงพูด “ก่อนหน้านี้ท่านปู่ของข้าเคยพบผู้ป่วยเช่นเดียวกับองค์ชายสาม ห่างจากการรักษาขั้นสุดท้าย ใช้ยาเพียงสามชุดเท่านั้น”
เสี่ยวชวีตอบรับ ก่อนจะสงสัย “ขั้นตอนสุดท้าย? ตกลงรักษาหายหรือไม่”
หนิงหนิงดูลังเลเล็กน้อย นางก้มหน้าลง พูดขึ้น “ขั้นตอนสุดท้ายมียาที่หายาก ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีเช่นนี้”
คำพูดนี้ยากที่จะรับฟังต่อ เสี่ยวชวีคิดภายในใจ เขาควรบอกว่าองค์ชายสามเป็นคนที่โชคดีคนนั้น หรือว่าอื่นใด เขารู้สึกว่ายาในมือของเขากำลังจะเย็น องค์ชายสามที่อยู่ด้านหลังพูดขึ้น “กินชุดตรงหน้านี้ก่อนเถิด เมื่อถึงขั้นตอนสุดท้ายค่อยคิด”
องค์ชายสามยื่นมือมา เสี่ยวชวียังคงไม่เต็มใจนัก “องค์ชายสามระวังไว้หน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามหยิบชามยาขึ้นดื่มด้วยรอยยิ้ม หนิงหนิงยื่นผลไม้หวานชิ้นหนึ่งไปให้เขาอย่างดีใจ องค์ชายสามอ้าปากกินเข้าไป
“เอาเถิด” เขาเอ่ยกับหนิงหนิง “เปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด”
หนิงหนิงพยุงเขาด้วยรอยยิ้ม พาเขาเข้าไปในห้องจิ้งฝางพร้อมขันทีอีกสองคน ส่วนเสี่ยวชวีนำขันทีคนอื่นไปจัดเตรียมเกี้ยว
“หนิงหนิงกล้าปรุงยาเสียจริง”
“องค์ชายสามก็เชื่อใจ รับมาดื่มลงไป เด็ดขาดยิ่งนัก”
ขันทีสองคนกำลังถกกัน
เสี่ยวชวีเดินตามหลังพวกเขา เม้มริมฝีปากเล็กน้อย เด็ดขาดอันใดกัน องค์ชายสามรอเขาถามหลายคำก่อนจะรับไป ตอนนั้นคุณหนูตันจูแค่เอ่ยปาก องค์ชายสามก็ตอบตกลงรับไปทันที จากนั้นให้สิ่งใดกินสิ่งนั้น ไม่เคยถามแม้แต่น้อย…
แต่ว่าเช่นนี้ก็ดี ถามให้ชัดเจน ระวังตัวมากขึ้น ไม่เหลวไหลเหมือนกับตอนที่เผชิญหน้ากับคุณหนูตันจู
เกี้ยวแบกองค์ชายสามมายังตำหนักด้านหน้า ช่วงบ่ายของฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ผู้คนที่เดินไปมาอารมณ์ดี
โจวเสวียนและองค์ชายห้าพึมพำขณะเดิน โจวเสวียนตาดีเห็นองค์ชายสามจึงหยุดลง ยกมือขึ้นทักทาย “องค์ชายสาม”
เกี้ยวขององค์ชายสามหยุดลงเมื่อเข้าใกล้
“พี่ซิวหยงดีขึ้นแล้วหรือไม่” โจวเสวียนพินิจสีหน้าขององค์ชายสาม
องค์ชายสามยังไม่ตอบ องค์ชายห้าพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สามดูมีชีวิตชีวา ท่าทางจะไม่เป็นอันใด”
องค์ชายสามยิ้มให้พวกเขา “ยังดี ข้าเป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่แย่ลง”
“ก็ดีเหมือนกัน” โจวเสวียนหัวเราะ สายตามองไปยังหญิงสาวข้างเกี้ยว
ต่อหน้าท่านโหวและองค์ชาย หนิงหนิงก้มหน้าเงียบเสียง
“ได้ยินว่าคุณหนูตันจูเข้าวังหรือ” โจวเสวียนถามขึ้น
องค์ชายสามพยักหน้า “ใช่ มาตอนเช้า มาพบแม่ทัพหน้ากากเหล็ก”
โจวเสวียนตอบรับ เลิกคิ้วถามด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพหน้ากากเหล็กมีอันใดให้พบ มาพบองค์ชายสามมากกว่า อาทิขอบคุณองค์ชายสามที่ช่วยนางเอาไว้”
องค์ชายสามพูด “แม่ทัพหน้ากากเหล็กทำให้นางไม่ถูกลงโทษได้ แต่ข้าทำไม่ได้ รับคำขอบคุณของนางไม่ได้”
เหตุใดจึงพูดถึงเรื่องหญิงสาวไม่หยุด องค์ชายห้าพูดขัดอย่างรำคาญใจ “เอาเถิด คนว่างอย่างพวกเราสองคนอย่าทำให้พี่สามเสียเวลาทรงงานใหญ่เลย”
พูดพลางดึงโจวเสวียนจากไป “รีบไป ไปช้า เสด็จแม่จะตำหนิพวกเราอีก”
โจวเสวียน เอ่ยแก้ “ตำหนิเจ้า ไม่ใช่เรา”
ทั้งสองดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ องค์ชายสามมองดูพวกเขาจากไป เมื่อเห็นโจวเสวียนหันหน้ากลับมายิ้มให้เขา เขาจึงยิ้มตอบ
สองสามวันต่อมา แสงแดดในยามฤดูใบไม้ผลิยิ่งแรงขึ้น ฮ่องเต้รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย องค์รัชทายาททรงงานหนัก ร่างกายขององค์ชายสามก็ไม่ทรุดโทรมลงอีก แผ่นดินสงบสุขและมั่นคง…
เขาแอบงีบหลับยาวท่ามกลางงานหนัก จากนั้นได้ยินผู้คนพูดคุยเรื่องภายในวัง
ฮ่องเต้นั่งอยู่ในห้องบรรทม แต่ไม่ว่าเรื่องในเมืองหลวงหรือเรื่องในแผ่นดิน ไม่ว่าไกลหรือใกล้ ทุกเรื่องล้วนเห็นอย่างชัดเจน เรื่องบางเรื่องฟังแล้วไม่สนใจ เรื่องบางเรื่องฟังแล้วไม่พอใจ เรื่องบางเรื่องทำให้สีหน้าของฮ่องเต้ดำทะมึน แต่ก็มีเรื่องบางเรื่องทำให้ฮ่องเต้หัวเราะ
“สาวรับใช้ผู้นั้นอยากรักษาองค์ชายสามด้วยหรือ” ฮ่องเต้ออกจะขบขันเล็กน้อย
ขันทีจิ้นจงส่ายหัวด้วยความไม่พอใจ “เหตุใดหญิงสาวเหล่านี้จึงพูดโอ้อวดได้เช่นนี้”
ฮ่องเต้พูดอย่างเฉยเมย “เพราะสิ่งนี้คือสิ่งที่อาซิวต้องการมากที่สุด ดังนั้นพวกนางจึงสามารถใช้มันเพื่อแลกกับสิ่งที่ตนเองต้องการได้”
ขันทีจิ้นจงถาม “ฝ่าบาท จะปล่อยให้คุณหนูท่านนี้รักษาหรือ ก่อนหน้านี้ก็มีคุณหนูตันจู โชคดีที่เป็นคนของพวกเราเอง แต่คุณหนูท่านนี้เป็นหญิงสาวเมืองฉี ท่านอ๋องฉีถวายมา เจตนาไม่แน่ชัด”
ฮ่องเต้ยิ้ม เอนตัวลงบนโต๊ะ “ถึงแม้พี่ชายของข้าจะป่วยจนร่างกายอ่อนแอ แต่เขามีกลอุบายมากกว่าผู้ใด เวลานี้ยอมรับผิด แต่เขาไม่คิดเช่นนั้นจริง ข้าก็ไม่คิดเช่นนั้นจริง เพียงแค่คนในแผ่นดินเห็นสิ่งนี้ก็พอ เจตนาของเขาข้าก็ไม่สนใจ แต่มีอย่างน้อยก็เรื่องหนึ่ง เขาและข้าต่างรู้ดี หากเขาทำลายโอรสที่ป่วยของข้า ไม่มีผลดีสำหรับเขา”
ขันทีจิ้นจงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “มิน่าฝ่าบาทจึงปล่อยให้หญิงสาวเมืองฉีผู้นี้เฝ้าดูองค์ชายสามไม่ห่าง ที่แท้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแล้ว มีฝ่าบาทอยู่ องค์ชายสามก็เปรียบเสมือนมีร่มอันแข็งแกร่งคอยป้องกันลมฝน ดื่มยาของหญิงสาวเมืองฉีนี้ลงไปอย่างเด็ดขาด เพราะเขาเชื่อว่าฝ่าบาทจะคุ้มครองเขาได้”
ฮ่องเต้หัวเราะ “ผู้ชราอย่างเจ้า อย่าได้พูดจาประจบเช่นนี้”
ขันทีจิ้นจงร้องขอความเป็นธรรม “กระหม่อมพูดความจริงพ่ะย่ะค่ะ”
นายบ่าวสองคนกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานภายในห้อง ฮ่องเต้มีความสุขมากขึ้น “เหตุใดจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก” เขาลุกขึ้นนั่ง นึกถึงใครบางคน “ระยะนี้เฉินตันจูไม่ได้เข้าวังมาหรือ”
ขันทีจิ้นจงพูด “หลายวันก่อนมีเข้ามาครั้งหนึ่ง ท่านแม่ทัพเรียกเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าเขารู้เรื่องนี้เช่นกัน
“ได้พบองค์ชายสามด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีจิ้นจงพูดต่อ “แต่อยู่ในวังไม่นานนัก หลังจากนี้ไม่ได้เข้ามาอีก ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น”
ฮ่องเต้ส่งเสียงหัวเราะ นั่งตัวตรง “เรื่องนี้ยังต้องพูดหรือ ย่อมต้องเป็นเพราะว่ามีหญิงสาวเมืองฉี เฉินตันจูรับรู้ถึงความลำบากจึงยอมถอย”
ขันทีจิ้นจงกะพริบตาอย่างงุนงง
“เจ้าไม่เข้าใจชายหนุ่มและหญิงสาวเหล่านี้” ฮ่องเต้พูดกับเขาอย่างกระตือรือร้น “เฉินตันจูอาศัยอันใดในการเกาะเกี่ยวซิวหยง ไม่ใช่การพูดจาโอ้อวดว่าจะรักษาเขาหรือ เวลานี้มีอีกคนสามารถรักษาได้ อีกทั้งยังเป็นหญิงสาวที่ดึงซิวหยงกลับมาจากยมบาลอีก นางยังกล้าที่จะมาโอ้อวดอีกหรือ”
ขันทีจิ้นจงกระจ่าง ยิ้มขึ้นอีกครั้ง “กระหม่อมรู้สึกว่า คุณหนูตันจูไม่ใช่คนแบบนี้ที่ยอมถอยอย่างง่ายดาย ในเมื่อเกาะเกี่ยวองค์ชายสามได้แล้ว จะปล่อยมือไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร”
ฮ่องเต้เยาะเย้ย “นางกล้า! เดิมทีข้าตามใจนางเพียงเพราะข้ามีความคาดหวัง ป่วยหนักจึงหาหมอมั่วซั่ว ถึงแม้หลายปีนี้ข้าบอกว่าข้าตายใจแล้ว แต่ในฐานะพ่อแม่ เมื่อได้ยินว่ามีคนบอกว่าสามารถรักษาได้ อย่างไรย่อมต้องหวั่นไหว แต่นางเกาะเกี่ยวซิวหยง ไม่เห็นดีขึ้นแม้แต่น้อย อีกทั้งครานี้ซิวหยงถูกวางยาพิษในจวนโหว หากพูดอย่างไร้เหตุผลก็เป็นเพราะนาง หากไม่ใช่เพราะอยากพบนาง ซิวหยงคงไม่ไป นางย่อมรู้เหตุผลนี้ รู้ว่าควรถอยและพอ มิฉะนั้น ข้าไม่ให้อภัยนางแน่”
ขันทีจิ้นจงตอบ “นางไม่มาแล้ว ภายในวังเงียบสงบมาก องค์ชายสามไม่ต้องกังวลเรื่องวุ่นวายที่นางก่อขึ้น”
ฮ่องเต้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ข้ารู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สบายเสียจริงๆ …”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างเร่งรีบ “ฝ่าบาท ฝ่าบาท แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้รู้สึกคิ้วกระตุก ปวดหัวเล็กน้อย
ขันทีจิ้นจงตำหนิอย่างขุ่นเคือง “ไร้ระเบียบ พูด!”
ขันทีผู้นั้นก้มหน้ารับผิด ทูล “ท่านโหวโจวกับฮองเฮาปะทะกันขึ้นมา ฮองเฮาทรงกริ้วหนักมาก ต้องการทำโทษเขาพ่ะย่ะค่ะ”
เกิดเรื่องใดขึ้น ฮ่องเต้ตกตะลึง ถึงแม้โจวเสวียนจะดื้อรั้น แต่เขาไม่เคยมีปากเสียงกับฮองเฮา
“ไปๆ” เขารีบเดินลงจากเตียงมังกร
เฉินตันจูไม่มาแล้ว เหตุใดภายในวังยังยากที่จะเงียบสงบเช่นนี้