ตอนที่ 296 ซื้อโรงงาน
ตอนเย็น หลินม่ายออกไปตั้งแผงขายเสื้อผ้าบนถนนเจียงฮั่นเช่นเคย วันนี้เถาจืออวิ๋นก็มาด้วย
หลินม่ายรับผิดชอบการขาย ส่วนเถาจืออวิ๋นเป็นผู้ช่วย ทั้งสองแบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นสัดส่วน การค้าขายเป็นไปอย่างราบรื่น
หวังหรงตามพ่อแม่ของหล่อนกลับจากโรงพยาบาลไปที่บ้านของแม่เฒ่าหวัง
ทันทีที่ประตูบ้านแง้มปิด พ่อหรงและแม่หรงก็เริ่มตะโกนด่าทอและโยนความผิดให้หล่อน หาว่าหล่อนเป็นตัวซวย
ผู้เป็นย่าอุตส่าห์วางแผนอย่างระมัดระวัง หลอกล่อฟางจั๋วหรานให้ยอมมาที่นี่ได้สำเร็จ แต่หล่อนกลับทำให้เรื่องยุ่งเหยิงไปกันใหญ่
ข้าวมื้อเย็นยังไม่ตกถึงท้องของหวังหรง ดังนั้นหล่อนจึงวิ่งเตลิดออกจากบ้าน เดินเตร่ไปตามถนนด้วยความหิวโหย
หล่อนไม่ได้อยากทำให้เรื่องบานปลายกลายเป็นแบบนี้ แต่หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดตอนไหน สองพี่น้องตระกูลฟางรู้ได้อย่างไรว่าหล่อนแอบทำอะไรกับแก้วไวน์ของเขา แถมยังสลับแก้วได้ทันเวลา
หล่อนหวนนึกถึงตอนที่ฟางจั๋วเยวี่ยร้องลั่นบ้านว่างูเลื้อยผ่านเท้าของเขาไป เขาอาจจะฉวยโอกาสนั้นสลับแก้วไวน์ของฟางจั๋วหรานกับแก้วไวน์ของหลูจ้าวซิ่ง ทำให้เรื่องเริ่มบานปลายไปถึงจุดที่เกินจะควบคุม
ที่แท้เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้นี่เอง พอทบทวนเหตุการณ์ถึงเริ่มเข้าใจ
ถ้าตอนนั้นสองพี่น้องตระกูลฟางไม่มีโอกาสสลับแก้วไวน์ เรื่องบ้า ๆ พวกนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
ต้องโทษคุณย่าของหล่อน อยู่ดีไม่ว่าดี ปลูกดอกไม้ใบหญ้าเต็มสวนจนกลายเป็นที่อยู่ของงูเงี้ยวเขี้ยวขอไปเพื่ออะไรกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะความรกของพุ่มไม้พวกนั้น จนทำให้จู่ ๆ งูโผล่มา คงไม่มีอะไรที่สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้แน่
หวังหรงเอาแต่จมจ่ออยู่กับเรื่องนี้ โทษคนอื่นไปทั่ว แต่ไม่โทษตัวเองเลยที่คิดจะใช้วิธีสกปรกกับฟางจั๋วหราน
ถ้าหล่อนไม่ใช้ยากล่อมประสาทเขาแต่แรก เรื่องทุกอย่างก็คงไม่เกิดขึ้น
คนที่เห็นแก่ตัวถึงขีดสุดไม่มีวันมองเห็นความผิดของตัวเอง กลับมองเห็นแต่ความผิดของคนอื่นอยู่ร่ำไป
จู่ ๆ หวังหรงก็หยุดเดินเมื่อมองเห็นหลินม่ายที่ตั้งแผงขายเสื้อผ้าอยู่ไม่ไกล
เธอกำลังขายเสื้อผ้าอย่างแข็งขัน โดยมีสาวสวยอีกคนที่หล่อนไม่คุ้นหน้าคอยช่วยเป็นลูกมืออยู่ไม่ห่าง
ทันใดนั้นหวังหรงก็นึกขึ้นได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง หนังสือพิมพ์เคยตีพิมพ์บทความประกาศว่าห้ามไม่ให้ผู้ใดนำเสื้อผ้ามือสองมาขาย
ตอนนั้นหล่อนยังคิดว่าตราบใดที่ฉันนังสารเลวหลินม่ายมาตั้งแผงขายเสื้อผ้ามือสองอีกครั้ง หล่อนจะรายงานเรื่องนี้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทันที
ถือเป็นการแก้แค้นที่เธอทำลายครอบครัวของหล่อน อย่างน้อยติดคุกสักสองสามปีก็ดีเหมือนกัน
เพียงแต่ช่วงนี้สถานการณ์ไม่เป็นใจเท่าไหร่ ทำให้หล่อนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
บังเอิญเจอเธอเข้าวันนี้ก็ดีแล้ว ฉันจะรายงานหล่อนซะ!
เสื้อผ้ามือสองที่หลินม่ายรับซื้อจากกว่างโจวครั้งก่อนหมดแล้ว
วันนี้แผงของเธอขายแต่เสื้อผ้าแบรนด์ ‘Unique’ ล้วน ๆ
เสื้อผ้าที่เถาจืออวิ๋นเป็นคนออกแบบ นอกจากสวยสะดุดตาแล้ว ยังตัดเย็บเลียนแบบสไตล์ที่ดาราภาพยนตร์ของทางฮ่องกง ไต้หวัน และญี่ปุ่นนิยมกัน ดังนั้นจึงขายดีเป็นพิเศษ
เถาจืออวิ๋นหันไปเสนอหลินม่ายในช่วงที่พวกเธอว่างเว้นจากการขายของ “เสื้อผ้าแบรนด์ Unique ของเราขายดีขนาดนี้ อีกไม่นานคงขยายพื้นที่จากบนตึกไปอยู่ที่อาคารโรงงานได้แล้วล่ะ”
หลินม่ายพยักหน้า “ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน สองสามวันที่ผ่านมา ฉันไปตระเวนหาโรงงานมา แถมยังเจอที่ถูกใจเสียด้วย ไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ลองดูว่าวันพรุ่งนี้จะเจรจาขอซื้อได้หรือเปล่า ถ้าผลการต่อรองเป็นที่น่าพอใจ พี่เตรียมรับสมัครพนักงานเพิ่มได้เลย รอซื้อโรงงานได้เมื่อไหร่จะได้เริ่มผลิตกันทันที”
เถาจืออวิ๋นถาม “เธอลองมองหาโรงงานผลิตเสื้อผ้าโดยตรงสิ ดูว่าเขายอมขายอาคารโรงงานพร้อมจักรเย็บผ้าและอุปกรณ์อื่น ๆ ไหม?”
หลินม่ายพยักหน้า “แน่นอน ปัจจัยด้านอุปกรณ์เหล่านี้ทำให้ฉันอยากซื้อกิจการโรงงานผลิตเสื้อผ้าโดยตรงแล้ว จะได้ไม่ต้องไปหาซื้อเครื่องจักรเพิ่มทีหลัง”
เถาจืออวิ๋นนิ่งคิดครู่หนึ่ง “พรุ่งนี้ถ้าเธอออกไปดูโรงงาน พาฉันไปด้วยคนสิ ถึงฉันจะไม่สันทัดการเจรจาทางธุรกิจ แต่อย่างน้อยก็ช่วยเธอตรวจสอบเครื่องจักรได้ ถ้าจักรเย็บหรือจักรโพ้งพวกนั้นเก่าเกินไปจะได้ไม่ด่วนตัดสินใจซื้อ จักรที่มีสภาพเก่าเกินไปเสี่ยงต่อการเข็มหักและฝีเข็มไม่สม่ำเสมอ ปัญหาพวกนี้ส่งผลต่อคุณภาพของเสื้อผ้าได้นะ”
ขณะที่พวกเธอกำลังหารือกันอย่างกระฉับกระเฉง ลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา ทั้งสองจึงหยุดพูดแล้วหันไปจดจ่อกับการค้าขาย
ขณะเดียวกัน ผู้ชายหลายคนในชุดเครื่องแบบก็เดินตรงเข้ามา
ทันทีที่มาถึง พวกเขาหันไปพูดกับลูกค้าสาวที่กำลังเลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่ “เสื้อผ้าพวกนี้อาจนำเข้าโดยผิดกฎหมาย พวกคุณอย่าซื้อเลย”
พอลูกค้าได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็แยกย้ายกันไปโดยยืนอยู่ห่างจากร้านไม่เมตรเพื่อรอดูเหตุการณ์น่าตื่นเต้นหลังจากนี้
หลินม่ายพูดด้วยความโกรธ “เสื้อผ้าพวกนี้ผลิตโดยโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของฉันเอง พวกคุณมีปัญหาอะไรกับมันไม่ทราบ?”
“โรงงานของคุณเป็นผู้ผลิตเสื้อผ้าพวกนี้เหรอ?”
เจ้าพนักงานเหลือบมองป้ายยี่ห้อที่เย็บติดตรงบริเวณคอเสื้อ
พอพิจารณาป้ายยี่ห้ออย่างละเอียด ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าพวกนี้จะผลิตโดยโรงงานของเธอเองจริง ๆ
เจ้าพนักงานจากสำนักงานพาณิชย์พูดต่อ “ช่วงนี้ทางเราได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบเรื่องการนำเข้าเสื้อผ้ามือสองอย่างเข้มงวด มีคนรายงานเข้ามาว่าเสื้อผ้าที่คุณเอามาขายเป็นสินค้าที่ลักลอบนำเข้ามาผ่านทางชายแดน ป้ายยี่ห้อแค่อย่างเดียวไม่สามารถการันตีได้ว่าพวกมันไม่ใช่สินค้าหนีภาษี ทางเราคงต้องขอยึดเสื้อผ้าทั้งหมดของคุณไว้เพื่อตรวจสอบ พอแน่ใจแล้วว่าไม่ติดปัญหาอะไร จะส่งคืนให้กับคุณในภายหลัง หวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือ”
อีกฝ่ายพูดถึงขั้นนี้แล้ว หลินม่ายจึงจำเป็นต้องให้ความร่วมมือ
ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ลืมมอบนามบัตรให้กับเจ้าพนักงานสำนักงานพาณิชย์ทั้งสอง ทั้งยังเชิญให้พวกเขาแวะมาที่โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าขนาดย่อมของเธอเพื่อรวบรวมหลักฐานประกอบการตรวจสอบ
ระหว่างทางกลับบ้าน หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นพยายามคาดเดาว่าใครกันที่เป็นคนรายงานเรื่องนี้กับเจ้าหน้าที่ คนกลุ่มแรกที่พวกเธอสงสัยคือพ่อค้ารายย่อยร่วมอาชีพ
เหตุผลหลักคงเป็นเพราะกิจการของเธอดีเกินหน้าเกินตา พอพวกเขาเห็นก็รู้สึกอิจฉาจนทนไม่ได้
ขณะที่หลินม่ายรู้สึกหดหู่เพราะถูกยึดเสื้อผ้าไปเกลี้ยงแผง ทางด้านหวังเหวินฟางก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร
ก่อนหน้านี้หล่อนมัวพะวงอยู่กับการส่งตัวหลูจ้าวซิ่งไปโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาอย่างฉุกเฉิน เพราะกลัวว่าเขาอาจเสียชีวิตเพราะเสียเลือดมากเกินไป ทำให้หล่อนลืมเรื่องวิดีโอที่ฟางจั๋วเยวี่ยถ่ายไว้แบล็กเมล์ไปเสียสนิท
พอเรื่องทั้งหมดเริ่มซาลงถึงกลับมาได้สติ จำเรื่องนี้ได้เป็นอย่างแรก
หล่อนจะปล่อยให้วิดีโอพวกนั้นอยู่ในมือฟางจั๋วเยวี่ยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะสร้างปัญหาตามมาไม่รู้จบ
หวังเหวินฟางรีบออกไปตามหาลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองทันที แต่ก็ต้องพบว่าเขาไม่ได้อยู่ที่โรงงาน ทำให้หวังเหวินฟางร้อนรนเหมือนมดไต่บนกระทะร้อน
วันรุ่งขึ้น หลังกินอาหารมื้อเช้าเสร็จ หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นก็ออกไปดูโรงงานด้วยกัน
โรงงานที่หลินม่ายหมายตาไว้อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเธอ ตั้งอยู่ห่างออกไปแค่สองถึงสามช่วงถนนเท่านั้น
เดิมทีโรงงานเสื้อผ้าแห่งนี้เป็นโรงงานตัดเย็บริมถนน ถึงตัวอาคารจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็แบ่งพื้นที่การทำงานเป็นสัดส่วน มีจักรเย็บผ้ามากกว่ายี่สิบหลัง จักรโพ้งอีกสิบหลัง
เถาจืออวิ๋นทดลองใช้จักรเย็บผ้ากับจักรโพ้งหลายเครื่องติดต่อกัน แต่แล้วก็ส่ายหน้าไปทางหลินม่าย
หลินม่ายหันไปพูดกับผู้จัดการโรงงาน “เครื่องจักรของคุณหมดอายุการใช้งานแล้ว ฉันไม่อยากได้พวกมัน หวังว่าถ้าฉันซื้อแค่ตัวโรงงานจะได้ในราคาที่ถูกกว่านี้”
ผู้จัดการโรงงานไม่กังวลเลยว่าจะหาที่ขายเครื่องจักรพวกนี้ไม่ได้ ตามตลาดสินค้ามือสอง จักรเย็บผ้าและจักรโพ้งเป็นสินค้าที่สามารถขายต่อได้ราคาดี
เพียงแต่เขาไม่อยากขายเฉพาะตัวโรงงานในราคาต่ำเกินไป
ทั้งสองฝ่ายเจรจาต่อรองกันอย่างดุเดือด ในที่สุดหลินม่ายก็ซื้ออาคารโรงงานแห่งนี้ในราคาปิดจบที่หกหมื่นหยวน
มีแต่ตัวโรงงาน แต่ยังขาดเครื่องจักรที่ใช้ในการตัดเย็บ จึงยังไม่สามารถเริ่มต้นการผลิตได้
เธอควรไปขอคูปองอุตสาหกรรมจากเฉินเฟิงดีไหม?
คราวที่แล้วเขาหยิบยื่นให้เธอเยอะมาก แต่เธอปฏิเสธว่ามันเกินความจำเป็น ถ้ากลับไปขออีกรอบคงน่าอายเกินไป
หลินม่ายจำได้ว่าเคอจื่อฉิงเคยบอกไว้ ว่าที่ด่านศุลกากรของหล่อนมีสินค้าแทบทุกประเภท
ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ตั้งใจจะไปที่โกดังของด่านศุลกากรเพื่อซื้อเสื้อผ้าที่สั่งไว้กลับมาอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นค่อยถามเคอจื่อฉิงก็ได้ ว่าที่โกดังพอมีจักรเย็บผ้าบ้างหรือเปล่า
ถ้ามีหลายหลังเกินความต้องการจนซื้อเก็บไว้เองไม่ได้ เอาไปขายต่อก็ไม่เสียหาย นอกจากไม่ขาดทุนแล้ว ยังสามารถทำกำไรเพิ่มอีกด้วย
หลังจากจัดการธุระต่าง ๆ ที่บ้านแล้ว หลินม่ายก็ขึ้นรถไฟเดินทางไปที่กว่างโจว
ตั๋วรถไฟในการเดินทางในครั้งนี้ยังคงเป็นตู้นอนบุเบาะรองนั่งนุ่ม ๆ ที่ฟางจั๋วหรานเป็นคนซื้อให้
หลังจากขึ้นรถไฟไปแล้ว หลินม่ายก็เอนหลังนอนบนเบาะที่นั่งนุ่ม ๆ อย่างสบายใจ กินอาหารว่างนิดหน่อย พลิกดูนิตยสารแฟชั่นไปพลาง ๆ
ขณะนั้นเอง เจ้าพนักงานรถไฟคนหนึ่งก็ตะโกนเข้ามาจากนอกประตู “สหายท่านใดต้องการแสดงน้ำใจเสียสละตั๋วรถนอนของตัวเองบ้าง? พอดีมีผู้โดยสารคนหนึ่งป่วยเป็นโรคไตวาย จึงจำเป็นต้องนั่งรถนอนเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือน”
หลินม่ายตอบกลับเสียงดัง “ฉันเองค่ะ!”
เธออายุยังน้อย แถมยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ต่อให้ต้องยืนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันก็พอทนได้
พอเสนอตัวแล้ว เธอก็รีบเก็บข้าวของส่วนตัว แล้วเดินออกจากตู้รถนอนไป
เธอเห็นเจ้าพนักงานรถไฟคนเดิมยืนอยู่หน้าประตู ด้านข้างคือชายวัยกลางคนท่าทางเป็นมิตร กำลังโอบประคองหญิงวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะป่วยเป็นโรคไตวายคนนั้น
หลินม่ายส่งยิ้มให้พวกเขาอย่างอ่อนโยน พยักพเยิดไปทางเบาะนั่งนุ่ม ๆ ของตัวเองพลางพูดกับสองสามีภรรยาคู่นั้น “ที่นั่งของฉันอยู่ตรงนั้นค่ะ เชิญนั่งให้สบายนะคะ”
เจ้าพนักงานรถไฟและสองสามีภรรยาวัยกลางคนพูดพร้อมกัน “ขอบคุณ!”
เจ้าพนักงานรถไฟหันไปทางหลินม่าย “สหายท่านนี้ อย่าเพิ่งไปไหนนะครับ เดี๋ยวผมจะจัดหาที่นั่งชั้นปกติให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ”
โชคดีที่ยังมีที่นั่งว่างเหลืออยู่
สถานีฮั่นโข่วเป็นสถานีต้นทาง ดังนั้นรถไฟจึงยังไม่ค่อยแออัดมากนัก
หลังจากจอดแวะไปสองสามสถานี บริเวณทางเดินก็เต็มไปด้วยผู้โดยสาร
ขอแค่มีที่นั่งก็สามารถหลีกเลี่ยงความเบียดเสียดที่ต้องเจอได้แล้ว
หลินม่ายยังคงรอต่อไปอย่างเชื่อฟัง
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าพนักงานรถไฟก็เดินกลับมา พาเธอไปยังที่นั่งปกติที่เขาจัดหาไว้ให้
เจ้าพนักงานรถไฟคนนี้มีนิสัยช่างพูดพอประมาณ ขณะที่เดินนำก็พูดคุยกับเธอไปด้วย “คุณลุงคุณป้าสองคนนั้นน่าสงสารจริง ๆ นะครับ คุณลุงตั้งใจจะพาภรรยาของเขาไปหาหมอ แต่เขากลับมีเงินไม่พอแม้แต่จะซื้อที่นั่งปกติด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับที่นั่งในตู้นอน ผมสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของคุณป้าคนนั้น เลยกลัวว่าถ้าปล่อยให้หล่อนยืนต่อไป อาการของหล่อนอาจแย่ลงจนไม่สามารถช่วยเหลือได้ทันเวลา”
หลินม่ายยิ้มโดยไม่ตอบโต้อะไร
โลกนี้มีผู้คนนับล้านที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความแร้นแค้นและยากลำบาก เป็นปัญหาที่ไม่มีวันแก้ไขจนหมดสิ้น
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ม่ายจื่อไปไกลแล้ว ซื้อโรงงานเองเลย ไม่ต้องมาคิดหาวิธีกำจัดคนอื่นจนปวดขมองแล้ว เธอล่ะถอยหลังไปไกลขนาดไหนยัยหรง
ไหหม่า(海馬)