รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 281 อนาถเหลือเกิน น้อยใจจนน้ำตาไหลพราก!

บทที่ 281 อนาถเหลือเกิน น้อยใจจนน้ำตาไหลพราก!

บทที่ 281 อนาถเหลือเกิน น้อยใจจนน้ำตาไหลพราก!

ฟึ่บ!

ผู้อาวุโสเก้ายกมือเรียกอาวุธจักรพรรดิออกมาชิ้นหนึ่ง จังหวะแห่งจักรพรรดิไหลเวียน เขาทรงพลังมากจริง ๆ ด้วยขอบเขตราชันเทวา แต่สามารถรีดเร้นบารมีจักรพรรดิออกมาได้เสี้ยวหนึ่ง

หากเป็นราชันเทวาตนอื่น ไม่มีทางรีดเร้นบารมีจักรพรรดิออกมาได้แน่

อาวุธจักรพรรดิแกร่งกล้า มิได้ใช้พลังได้ง่าย ๆ

ประกายเจิดจ้าแวววาววูบไหว ผู้อาวุโสอีกสามท่านเรียกศัสตราของพวกเขาออกมาเช่นกัน

ลมปราณจ้าวสูงสุดโถมทับ พวกเขามีศัสตราจ้าวสูงสุดกันคนละชิ้น!

จากนั้น ผู้อาวุโสเก้าถืออาวุธจักรพรรดิเหินลงมาจากด้านบน อาวุธจักรพรรดินั้นคือ หอกกระดูกสำริด ปลายหอกชี้ไปที่ซางเหิง

ผู้อาวุโสอีกสามท่านลงมือพร้อมเพรียง อาวุธจ้าวสูงสุดทั้งสามชิ้นมีปราณสูงสุดแผ่ซ่านออกมา ล้อมรอบซางเหิงเอาไว้!

บางทีอาจมีนักบุญยุคโบราณควบคุมซางเหิงไว้ พวกเขาจริงจังเข้มงวด ไม่ยอมชะล่าใจแม้แต่น้อย

ซางเหิงตกใจกลัวแทบแย่ หน้าเขียวไปหมด

เขาเป็นเพียงราชันผู้เกริกไกรผู้ต่ำต้อย ไฉนเลยจะเคยพบแนวขบวนเยี่ยงนี้มาก่อน!

“อย่า! เหล่าผู้อาวุโสอย่าวู่วาม! ไม่มีผู้ใดควบคุมตัวข้า! ข้ามีหลักฐานพิสูจน์ว่าข้าได้พบเซียนผู้หนึ่งจริง!”

เขารีบบอก

“หลักฐานหรือ”

ผู้อาวุโสเก้าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ชี้ปลายหอกกระดูกสำริดไปที่ซางเหิง “หยิบออกมา”

ซางเหิงอยากร่ำไห้ “ผู้อาวุโสเก้าคลายพลังที่พันธนาการตัวข้าก่อน!”

เขาก็อยากหยิบให้อยู่หรอก แต่เขาขยับตัวไม่ได้ พลังของผู้อาวุโสเก้าตรึงเขาไว้อยู่กับที่อย่างแน่นหนา

ในมือมีอาวุธจักรพรรดิ ผู้อาวุโสเก้าจึงไม่มีสิ่งใดต้องกลัว เขาปลดพลังที่พันธนาการซางเหิงพร้อมกล่าว “ข้าอยากจะดูว่าเจ้ามาไม้ไหน!”

ซางเหิงเคลื่อนไหวได้แล้ว เขารีบนำผ้าห่อหนึ่งออกมาพร้อมเปิดออก “สิ่งนี้คือหลักฐาน!”

ผู้อาวุโสเก้าและผู้อาวุโสอีกสามคนที่เหลือรวมทั้งซางเจี๋ยมองตาม

ชั่วขณะนั้น สีหน้าพวกเขาย่ำแย่ถึงขีดสุด

ในห่อผ้านั้นมีสิ่งใดอยู่หรือ?

เป็นเศษของว่างนิด ๆ หน่อย ๆ!

หมายความว่าอย่างไร ปั่นหัวพวกเขาเล่นรึ!?

ผู้อาวุโสเก้าโมโหจนใบหน้าเหยเก ฟาดฝ่ามือใส่ซางเหิง

เขาไม่สนว่าซางเหิงถูกนักบุญโบราณควบคุมไว้หรือไม่ และไม่สนว่าซางเหิงสติฟั่นเฟือนถึงได้ก่อความวุ่นวายเช่นนี้หรือเปล่า ถึงอย่างไรเขาก็หัวฟัดหัวเหวี่ยงเพราะการนี้ ขอระบายความรู้สึกจุกอกก่อน!

“โอ๊ย!”

ซางเหิงเจ็บจนร้องโอดโอยหน้าตาบิดเบี้ยว โดนฝ่ามือหนึ่งฟาดจนกระเด็นล้มกระแทกพื้น

ผ้าที่เขาถือไว้ในมือก็ตกพื้นเช่นกัน

“ไอ้เด็กเหลือขอ!”

ผู้อาวุโสเก้ายังไม่หายแค้น หิ้วคอซางเหิงขึ้นมาแล้วซ้อมอีกยกใหญ่

ทว่าเขามิได้ประมาทเลินเล่อ รีดเร้นพลังอาวุธจักรพรรดิอยู่ตลอด เผื่อว่าซางเหิงโดนนักบุญยุคโบราณควบคุมจริง ๆ แล้วลงมือปองร้ายเขากะทันหัน

แน่นอนว่าเขามิได้เอาถึงชีวิต ถึงอย่างไรซางเหิงก็เป็นลูกศิษย์ในตระกูลซาง

ซางเหิงโดนอัดจนใบหน้าฟกช้ำดำเขียว อยากเอื้อนเอ่ยสิ่งใดก็เอ่ยไม่ออก!

เหตุใดข้าถึงโชคร้ายเยี่ยงนี้!

พูดความจริงแล้วยังต้องโดนอัดอีก!

เขาร้องไห้ น้ำตาหลั่งรินเป็นสาย ให้ตายสิ เขาไม่เคยเสียใจเช่นนี้มาก่อน!

“ผู้อาวุโสเก้า ไม่ต้องตีเขาแล้ว ดูเหมือนว่า…เขาจะพูดความจริง!”

ตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสท่านหนึ่งมองจ้องเศษของหวานที่ตกอยู่บนพื้น พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดเหลือแสน

“หืม!?”

ผู้อาวุโสเก้ารามือ ถอยกลับมา หันมองผู้อาวุโสที่ส่งเสียงอยู่ก่อนเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร?”

“ท่านดู!”

ผู้อาวุโสท่านนั้นชี้เศษของหวานบนพื้น สูดปากแล้วกล่าว “แม้เป็นเพียงเศษซากจำนวนหนึ่ง แต่หากสัมผัสดี ๆ จะรู้สึกถึงขุมปราณชีวิตแรงกล้าเปี่ยมพลังเหลือแสนที่แฝงอยู่ด้านใน!”

“อะไรนะ!”

“จริงหรือ”

ผู้อาวุโสอีกสองท่านเชื่อครึ่งมิใช่ครึ่ง ใช้ประสาทสัมผัสเทวาของพวกเขาตรวจจับ

ชั่วอึดใจต่อมา สีหน้าพวกเขาล้วนเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด เต็มไปด้วยความตะลึงงัน!

“ขุมปราณชีวิตในโอสถจักรพรรดิยังไม่แรงกล้าปานนี้เลย!”

ผู้อาวุโสเก้าสูดหายใจเข้าลึก ตะลึงงันอยู่เต็มเปี่ยม หลังแผ่ประสาทสัมผัสเทวาออกไปแล้ว เขาเองก็รู้สึกถึงขุมปราณชีวิตอันแรงกล้าที่แฝงไว้อยู่ในเศษซากของหวานเหล่านั้น!

“ข้าบอกแล้วว่าข้ามิได้โกหก!”

ซางเหิงปล่อยโฮออกมาด้วยความน้อยอกน้อยใจ เขาอุตส่าห์นำข่าวดีมาให้ แต่กลับโดนซ้อมเละ ความรู้สึกน้อยใจนี้ระทมเหลือเกิน…

“เจ้ารีบเล่ามาว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร!” ผู้อาวุโสเก้ากล่าว

ซางเหิงยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ “ข้าไม่เล่า!”

“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังไม่ขยาดกับการโดนซ้อมใช่หรือไม่!”

ผู้อาวุโสเก้าหน้าตากราดเกรี้ยว ท่าทางพร้อมอัดซางเหิงอีกครา

“อย่า ข้าเล่าแล้ว!”

ซางเหิงเห็นดังนั้นก็ไม่มีแก่จิตแก่ใจมัวน้อยใจอีกต่อไป เขาพลันเด้งตัวขึ้นจากพื้น “ข้าได้รับการแจ้งให้ไปช่วยงานที่แดนบูรพาทิศจึงเดินทางไป ระหว่างทาง…”

เขาเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียด ไม่ขาดตกแม้แต่น้อย

แสงมงคลจุติจากสวรรค์คลี่ปกคลุมรถลากจนเกิดการวิวัฒนาการ จังหวะแห่งเต๋าสูงส่งเหลือแสนไหลเวียน อสูรร้ายสายเลือดฉงฉีขวางทางรถ โดนเซี่ยเหยียนสังหาร

เขาเองได้ขึ้นรถลากเพราะเหตุนี้ และได้พบกับท่านเซียน!

“นี่คือของหวานที่ท่านเซียนทำด้วยตนเอง ยามข้าได้กินข้าใช้มืออีกข้างรองไว้ ถึงได้มีเศษซากของหวานเหล่านี้”

ซางเหิงกล่าว

ของหวานที่ท่านเซียนทำนั้นน่าทึ่งอย่างยิ่งยวด ต่อให้เป็นเพียงเศษซากของหวานยังล้ำค่าเหลือแสน เขาเก็บไว้อย่างให้ความสำคัญ ไม่ปล่อยให้สิ้นเปลืองแม้แต่น้อย

ดีที่เขาเก็บเศษซากของหวานเหล่านี้ไว้ หากมิได้เก็บไว้ ตอนนี้คงอธิบายอย่างไรก็ไม่ขึ้น!

“มีเซียนในยุคนี้จริงหรือนี่!”

“ของหวานระดับนี้ นอกจากท่านเซียนแล้ว ผู้ใดยังจะทำได้อีก!”

ผู้อาวุโสทั้งสามท่านสิ้นข้อกังขา

ลำพังเศษซากของหวานยังมีขุมปราณชีวิตเจือปนอยู่มากเยี่ยงนี้ มีระดับเหนือโอสถจักรพรรดิ แล้วของหวานชิ้นสมบูรณ์จะน่าทึ่งขนาดไหน!?

ผู้อาวุโสเก้ามองซางเหิง เอ่ยด้วยสายตาชอบกล “เจ้าได้พบท่านเซียนจริงหรือนี่ ซ้ำยังได้กินของหวานฝีมือท่านเซียนอีก!!!”

“ใช่แล้ว”

หน้าตาซางเหิงทอประกายลำพอง เขายืดอกมากขึ้นจนตัวตรง

ผู้ใดได้พบท่านเซียน?

ซ้ำยังได้กินของหวานฝีมือท่านเซียนอีก?

เขาอย่างไรเล่า!

เขามีต้นทุนพอให้ลำพองภาคภูมิ!

ผู้อาวุโสเก้าปรี่เข้ามาอยู่เบื้องหน้าซางเหิง มือข้างหนึ่งทาบบนตัวซางเหิง

“หา ยังจะซ้อมข้าต่ออีกหรือ!”

ซางเหิงตกใจแทบแย่ ความลำพองบนใบหน้าอันตรธาน หน้าตาเขียวแล้วเขียวอีก

เขาอยากร่ำไห้นัก เพราะสีหน้าลำพองเมื่อครู่ของเขาใช่หรือไม่ที่สร้างไม่พอใจแก่ผู้อาวุโสเก้า!

หากรู้อย่างนี้แต่แรก ไยเขาต้องลำพองด้วย!

บัดนี้ต้องโดนอัดอีกแล้ว!

ทว่าผู้อาวุโสเก้ามิได้อัดซางเหิงแต่อย่างใด

“ขุมปราณชีวิตของเจ้าแรงกล้ากว่าขุมปราณชีวิตของข้าเสียอีก!”

ผู้อาวุโสเก้าเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ

เจ้าเด็กนี่คิดมากเกินไป เขาไม่มีความคิดต้องการซ้อมซางเหิงอีก

เขาทาบมือบนตัวซางเหิงเพียงเพื่อจับสัมผัสสถานการณ์ภายในร่างกายของอีกฝ่ายเท่านั้น

ซางเหิงบอกว่าเขาได้กินของหวานฝีมือท่านเซียน เช่นนั้นซางเหิงย่อมได้รับประโยชน์มหาศาล

ตามคาด หลังตรวจสภาพร่างกายซางเหิงก็ต้องตกตะลึง!

ขุมปราณชีวิตของซางเหิงแรงกล้ายิ่งกว่าเขาเสียอีก!

บ่งบอกว่าอายุขัยของซางเหิงยาวนานกว่าเขา!

“อะไรนะ!”

ผู้อาวุโสอีกสามท่านรวมถึงซางเจี๋ยล้วนทึ่งกันหมด

ซางเหิงเป็นเพียงราชันผู้เกริกไกรแต่กลับมีอายุขัยยาวนานกว่าผู้อาวุโสเก้าซึ่งเป็นถึงราชันเทวาอีกหรือ!?

ตอนนั้นเอง ซางเจี๋ยพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

เขากล่าว “ข้าถึงว่าเหตุใดฉงคูมาถึงนี่แล้วขอความช่วยเหลืออยู่ตลอด บอกว่าต้องการให้ช่วยสืบหาเรื่องราวบางอย่าง ที่แท้น้องชายของฉงคูตายไปแล้วนี่เอง!”

ฉงคูคืออสูรร้ายอันเป็นสายเลือดของฉงฉี มันมาถึงเขาหยงหมิงก่อนนานแล้ว

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท