ใช่แล้ว ยิ่งสกุลโอววุ่นวายมากเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น
แต่ความรู้สึกของมนุษย์นั้นจะควรจะจัดการอย่างไรดี!
สืออีเหนียงนิ่งเงียบ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มปลอบใจนาง “เรื่องนี้ข้ารู้ดี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่ทำให้คนของสกุลโอวไม่ถูกเลือกนั้นไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” พูดจบใบหน้าของเขาก็เผยให้เห็นถึงความผิดหวัง “อย่างไรเสียนี่ก็คือพระสนมที่ต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์ชายใหญ่”
เมื่อสืออีเหนียงได้ยินประโยคนี้จึงรู้สึกสบายใจขึ้น จากนั้นก็ไปหาไท่ฮูหยินกับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งควนกับฮูหยินห้ามาถึงแล้ว กำลังอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์ไปหาไท่ฮูหยินที่นั่งอยู่บนเตียงเตา
เมื่อเห็นพวกเขาข้ามา ฮูหยินสองก็ลุกขึ้นเหลือที่นั่งข้างไท่ฮูหยินไว้ ส่วนเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็เอาแต่มองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงคำนับทุกคนอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ไปเล่นกับซินเจี่ยเอ๋อร์ เมื่อสวีซื่ออวี้กับจุนเกอกลับมาจากสำนักศึกษา ทุกคนก็ห้อมล้อมไท่ฮูหยินไปที่ห้องปีกตะวันออก
นางจงใจเดินอยู่ข้างหลัง
เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็ก้าวช้าลง
ทั้งสองคนเดินอยู่ข้างหลังสุด
“มีอะไรหรือ” สืออีเหนียงถามนางเสียงเบา
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์บอกให้ข้าไปเที่ยวเล่นที่เรือนนางเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้จึงถามว่า “ท่านป้าสองไม่ให้ไปหรือ”
“สองสามวันมานี้ข้าเรียนรู้ได้ไม่ค่อยดีนัก” เจินเจี่ยเอ๋อร์หลุบตาลง
“ข้าเข้าใจแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “รีบไปกินข้าวกันเถิด”
เจินเจี่ยเอ๋อร์รู้สึกดีใจ เดินตามหลังสืออีเหนียงไปที่ห้องปีกตะวันออกอย่างมีความสุข
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จทุกคนก็ไปดื่มชาที่ห้องปีกตะวันตก สืออีเหนียงถามถึงการเรียนของเจินเจี่ยเอ๋อร์
ฮูหยินสองพูดขึ้นมาว่า “สอนคัมภีร์ซือจิงถึงบทกวีเสี่ยวหยาแล้ว ว่าจะหาเวลาสักสองสามวันสอนนางวาดรูป เรือนข้ากับน้องสะใภ้ห้าห่างกันเพียงแค่กำแพงดอกไม้กั้น ลักษณะพื้นที่ก็สูง หลายวันมานี้จึงไม่ได้สอนนางดีดฉิน”
ฮูหยินห้าได้ยินดังนั้นก็ส่งสายตาขอบคุณมาให้
คงกลัวว่าจะทำให้เด็กน้อยตกใจกระมัง
สืออีเหนียงครุ่นคิด จากนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “เจินเจี่ยเอ๋อร์ตั้งใจเรียนดีใช่หรือไม่”
ฮูหยินสองยิ้มเล็กน้อยแล้วหันไปมองเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์ก้มหน้าลงทำอะไรไม่ถูก
“นางขยันหมั่นเพียรมาตลอด”
สืออีเหนียงมองเจินเจี่ยเอ๋อร์ ยิ้มพลางพยักหน้า “ดีแล้ว ดีแล้ว!” ท่าทางมีความสุขเป็นอย่างมาก
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของฮูหยินสอง
ฮูหยินห้าที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้สี่วางใจเถิด พี่สะใภ้สองมีความรู้ที่ดีมาก เมื่อซินเจี่ยเอ๋อร์ของข้าเติบโตแล้วก็จะให้เรียนหนังสือกับท่านป้าสองเช่นกัน” พูดพลางลูบหัวเด็กน้อยที่หลับอยู่ในอ้อมกอดของแม่นม “ใช่ไหมซินเจี่ยเอ๋อร์!”
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า พูดขึ้นมาว่า “ก่อนที่เจินเจี่ยเอ๋อร์จะย้ายไปอยู่กับพี่สะใภ้สอง ข้าเคยทิ้งงานเย็บปักไว้ให้นางหลายชิ้น เมื่อรู้ว่าพี่สะใภ้สองกำลังสอนวิชาความรู้ให้นางจึงกำชับนางไว้ว่าหากเรียนหนัก เรื่องงานเย็บปักก็ให้หยุดไว้ก่อนชั่วคราว ใครจะไปรู้ว่าหลายวันมานี้นางทำงานเย็บปักที่ข้าทิ้งไว้ให้จนเสร็จ แล้วยังจะมาขอลายปักจากข้าอีก ข้าจึงอยากถามถึงเรื่องการเรียนของนาง หากเรื่องนี้ทำให้การเรียนล่าช้า ก็คงต้องหยุดเรื่องงานเย็บปักไว้ก่อนชั่วคราว” จากนั้นก็พูดกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ว่า “ในเมื่อท่านป้าสองของเจ้าบอกว่าเจ้าเรียนได้ดีเลยทีเดียว เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว”
เจินเจี่ยเอ๋อร์รู้สึกแปลกใจ
ท่านแม่ไม่ได้ให้นางทำงานเย็บปักอะไรเลยสักหน่อย
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ตนขอร้องเมื่อครู่ ก็รู้สึกว่ามันคงเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้างจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเชื่อฟังท่านแม่ทุกอย่างเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินเห็นก็หัวเราะขึ้นมา “พริบตาเดียวเจินเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเราก็โตเป็นสาวแล้ว ไม่เพียงแต่อ่านออกเขียนได้ ซ้ำยังทำงานเย็บปักถักร้อยได้เช่นกัน”
ทุกคนหัวเราะตาม
มีเพียงจุนเกอที่ฝืนยิ้มเล็กน้อย
สืออีเหนียงอดถอนหายใจไม่ได้ หวังเพียงว่าอาจารย์จ้าวจะรับปากมาเป็นอาจารย์ให้
ไท่ฮูหยินพูดถึงเรื่องที่จะไปจุดธูปขอพรที่วัดฉือหยวนในอีกสองวัน “…เมื่อถึงตอนนั้นอี๋เจินกับสืออีเหนียงก็ไปกับข้าเถิด”
คุณชายห้ากับภรรยาพึ่งรู้ว่าฮองเฮาทรงพระครรภ์แล้ว สีหน้าเผยให้เห็นถึงความยินดี ฮูหยินห้าบุ้ยปาก “ท่านแม่ ข้าก็อยากไป”
“เจ้าอยู่เรือนดูแลซินเจี่ยเอ๋อร์เถิด” ไท่ฮูหยินยิ้มด้วยความเอ็นดู “พวกเราจะออกเดินทางในยามจื่อ เจ้าร่างกายยังไม่แข็งแรงดี หากโดนลมหนาวจะแย่เอาได้”
ฮูหยินห้าไม่ได้เซ้าซี้อีก
ไท่ฮูหยินให้สวีลิ่งอี๋อยู่ก่อน
ทุกคนคำนับแล้วแยกย้ายกันไป
สืออีเหนียงกลับไปเรียกป้าซ่ง “เจ้าไปสืบมาให้ดีว่าหลายวันมานี้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ให้หัวหน้าสาวใช้จวนเวยเป่ยโหวเอาอะไรมาส่งหรือนำข่าวอะไรมาบอกคุณหนูใหญ่”
ป้าซ่งตาเป็นประกาย
บ่าวรับใช้ไม่ควรสงสัย บ่าวขี้สงสัยไม่ควรใช้ สืออีเหนียงก็ไม่ได้ปิดบังนาง “คุณหนูใหญ่เป็นคนมีนิสัยอ่อนโยนมาโดยตลอด พอพี่สะใภ้สองไม่อนุญาตให้นางไปเป็นแขกที่จวนเวยเป่ยโหว นางกลับมาขอร้องข้า เมื่อหลายวันก่อนข้าได้ยินมาว่าสกุลเดิมของคุณนายใหญ่สกุลหลิน สกุลเซ่าแห่งชังโจวมีกลุ่มชายหนุ่มมาหา ฟังเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์นั้นไม่เหมือนกัน หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วมาโทษเจินเจี่ยเอ๋อร์ของข้าทั้งหมดจะทำอย่างไร ดังนั้นต้องระวังไว้ให้ดี!”
ป้าซ่งพูดเสียงเบาว่า “ฮูหยินวางใจได้ ข้าจะระมัดระวังเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยังอยากจะกำชับนางอีกสักหน่อย แต่สวีลิ่งอี๋กลับมาพอดี
นางพยักหน้าให้ป้าซ่ง จากนั้นก็ไปปรนนิบัติสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้า
เมื่อสวีลิ่งอี๋ล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่างห้องด้านใน หยิบแผนผังของสกุลสวีจากโต๊ะบนเตียงเตามาดูพลางพูดว่า “ท่านแม่บอกว่าที่ที่น้องห้าอยู่นั้นฮวงจุ้ยไม่ดีให้ข้าสร้างเรือนให้พวกเขาใหม่…ยังจะเหลือพื้นที่ตรงไหนอีก!” ขมวดคิ้วแล้วพูดต่อว่า “ด้านหน้าเป็นจวนติ้งกั่วกง ด้านขวาเป็นจวนเวยเป่ยโหว ด้านซ้ายเป็นกำแพงสวนไท่ฉือย่วน…ตอนนั้นองค์หญิงใช้แรงงานสามพันคนใช้เวลาสร้างสวนหลังจวนสองเดือน หรือว่าจะต้องไปตัดต้นไม้เหล่านั้นมาปลูกเรือนใหม่”
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นจึงขยับตะเกียงแล้วไปนั่งข้างๆ เขา “แล้วด้านหลังสวนเล่าเจ้าคะ”
“ตรงนั้นคือเหอฮวาหลี่” สวีลิ่งอี๋ยิ้มเจื่อนๆ “ส่วนใหญ่เป็นสุสานบรรพบุรุษ ต่อให้ว่างก็จะไม่ขาย แล้วอีกอย่างตรงนั้นก็ไม่ปลอดภัย”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยากไม่น้อย
คุณชายสามไปแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าจะแบ่งเรือนให้ใคร ดังนั้นจึงต้องเก็บเรือนไว้ให้เขา ที่ที่หยวนเหนียงเคยอยู่นางก็อยากเก็บไว้ เอาไว้ให้จุนเกอใช้เวลาแต่งงาน ต่อให้ฮูหยินห้าย้ายออกมาจากเรือนจ้าวจวงถัง แต่นางก็ไม่มีทางไปอาศัยที่เรือนหลิวฟังหรือเรือนหนงเซียงแน่ เช่นนั้นก็เหลือเรือนลี่จิ่งเซวียน…แม้ว่าสวนดอกไม้หลังจวนจะกว้างขวางแต่ก็เป็นภูเขาและพื้นที่ราบสูง มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปตามธรรมชาติและมีความเงียบสงบ หากถางป่าแล้วปลูกเรือนคงจะน่าเสียดายเป็นอย่างมาก
นางพูดขึ้นมาว่า “รออีกสองปีอวี้เกอก็จะแต่งงานแล้ว”
“เช่นนั้นก็ต้องพูดกับเจ้าห้าให้รู้เรื่อง” สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ให้พวกเขาย้ายไปอยู่ที่เรือนลี่จิ่งเซวียน ต่อไปเมื่ออวี้เกอแต่งงานก็จะไปอาศัยอยู่ที่เรือนของเขา เช่นนี้อวี้เกอก็จะอยู่ไม่ไกลจากเจ้า จะได้สะดวกในการมาคำนับเช้าเย็น”
สืออีเหนียงคิดว่าตอนนี้ฮูหยินห้ารู้สึกว่าสถานที่ที่อยู่ตอนนี้ฮวงจุ้ยไม่ดี และสาเหตุหลักๆ คือโรคทางจิตใจ นางพยักหน้า “เช่นนั้นท่านโหวก็ต้องปรึกษากับคุณชายห้าให้ดี เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อย่าลืมว่ายังมีพี่สะใภ้สองอีก ท่านคงไม่ปล่อยให้นางอึดอัดหรอกนะเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “เรื่องนี้ข้าจะอธิบายกับเจ้าห้าให้เข้าใจ”
สืออีเหนียงรู้สึกโล่งใจ เมื่อคิดถึงท่าทางไม่สบายใจของสวีลิ่งอี๋เมื่อครู่ก็หุบยิ้มไม่ได้ “จวนท่านโหวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้กลับมีเรือนไม่พอ”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ เงยหน้ามองดวงตาเป็นประกายภายใต้แสงไฟ ราวกับแสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องมา อบอุ่นและสดใส พลอยทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นตามไปด้วย
“อ้อ!” เขาจ้องมองไปที่นาง “เจ้าคิดว่าไม่พอหรือ” มือลูบไล้ใบหน้าของนางเบาๆ
“เปล่า เปล่าเจ้าค่ะ” สายตาที่คุ้นเคยภายใต้แสงไฟมองเห็นได้ชัดโดยไม่มีอะไรขวางกั้น ทำให้นางหันหน้าหนีด้วยความอึดอัด “ข้าไม่ได้คิดว่ามันไม่พอ”
“งั้นหรือ” เสียงหัวเราะเบาๆ แสงสีขาวสะท้อนผ่านดวงตาของนางเหมือนดาวตก
นางตกไปอยู่ในอ้อมแขนที่แข็งแรง…
******
คุณหนูใหญ่สกุลเซี่ยงนำชามลายครามที่ใส่โจ๊กเม็ดบัวมาวางบนเก้าอี้ข้างหัวเตียงท่านแม่ “ท่านแม่ ท่านลุกขึ้นมาทานสักคำเถิด ท่านทะเลาะกับท่านพ่อเช่นนี้ไปเพื่ออะไร สิ่งที่ท่านพ่อควรทำก็ยังคงทำต่อไป ท่านก็เพียงแค่ทะเลาะอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้นเอง”
เมื่อนายหญิงเซี่ยงได้ยินก็น้ำตาไหลพรากอีกครั้ง “ข้าจะไม่ยอมยกโหรวเน่อให้ไปแต่งกับสกุลสวีเด็ดขาด!”
คุณหนูใหญ่สกุลเซี่ยงได้ฟังแล้วก็อดเกลี้ยกล่อมท่านแม่ไม่ได้ “หากท่านไม่อยากให้น้องสองแต่งเข้าสกุลสวีก็ควรมีเหตุผลนะเจ้าคะ ทำไมท่านต้องเอาแต่บอกว่าท่านอาหญิงเป็นคนเสแสร้งแกล้งมีเมตตา หรือเอาแต่บอกว่าอวี้เกอเป็นบุตรชายของอนุ ไม่มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง…ข้าได้ฟังก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเชื่อถือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่านตา ยังดีที่ท่านไม่ได้กลับไปหาพวกเขา มิเช่นนั้นเกรงว่าท่านตาจะต้องตำหนิท่านแน่”
นายหญิงเซี่ยงรู้สึกไม่สบายใจ
บุตรสาวคนโตเป็นคนฉลาดและได้รับความโปรดปรานจากสามี นางไม่เคยมีอำนาจเมื่ออยู่ต่อหน้าบุตรสาวคนนี้เลย
รู้ว่าสิ่งที่บุตรสาวพูดนั้นเป็นความจริง แต่ก็อดพึมพำไม่ได้ “เช่นนั้นเจ้าว่าควรจะทำอย่างไร”
“พี่ใหญ่ยังไม่ได้แต่งงาน ดังนั้นงานแต่งของน้องหญิงสองจึงต้องรอไปก่อน” คุณหนูใหญ่สกุลเซี่ยงเสนอความคิดให้ท่านแม่ “เมื่อถึงเวลาท่านก็บอกท่านอาหญิงไปเช่นนี้ดีหรือไม่”
“ไม่ได้!” นายหญิงเซี่ยงรีบคัดค้านทันที “เจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักท่านอาของเจ้า หากนางคิดจะทำอะไรแล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่สำเร็จ!หากข้าพูดตามที่เจ้าบอกกับนาง ไม่แน่นางอาจจะมีคำพูดที่ทำให้พี่ชายของเจ้ากับเจ้าต้องแต่งงาน ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด!”
คุณหนูใหญ่สกุลเซี่ยงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านก็ให้ความร่วมมือกับท่านพ่อ ปรึกษากันดีๆ ว่าจะขอสินสอดจากสกุลสวีเท่าไรดีหรือไม่”
“ไม่ได้!” นายหญิงเซี่ยงคัดค้านขึ้นอีก “ถ้าข้าต่อรองสินสอดกับสกุลสวีก็มีแต่จะเสียหน้า ทำให้คนคิดว่าข้าขายบุตรสาว!”
คุณหนูใหญสกุลเซี่ยงรู้สึกว่าตัวเองจนปัญญาแล้ว
นางจึงทำได้เพียงกำชับหัวหน้าสาวใช้ข้างกายนายหญิงเซี่ยง “เจ้าดูแลท่านแม่ให้ดี ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมท่านพ่อ!”
หัวหน้าสาวใช้ย่อเข่าตอบรับ “เจ้าค่ะ” เมื่อส่งคุณหนูใหญ่เซี่ยงไปแล้ว ก็ไปนั่งพูดเกลี้ยกล่อมนายหญิงเซี่ยงที่ข้างเตียง “นายหญิง คุณหนูใหญ่ไม่ได้อยากให้ท่านไปปฏิเสธท่านอาหญิงของนางจริงๆ หรอกเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ได้อยากให้ท่านไปเรียกสินสอดกับสกุลสวี เจตนาของคุณหนูใหญ่ก็คือในเมื่อท่านไม่สบายใจ ไม่สู้เลื่อนการแต่งงานของคุณหนูสองออกไปก่อน รอดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน อย่างไรเสียคุณหนูสองก็อายุยังน้อย แล้วอีกอย่างนี่ก็เป็นเพียงการตกลงกันด้วยวาจาเท่านั้น ฮูหยินใหญ่ของสกุลสวีต้องไว้อาลัยไปจนถึงเดือนสี่ พวกเราจะรออยู่เฉยๆ เช่นนี้ไปจนถึงหน้าร้อนไม่ได้นะเจ้าคะ!”
นายหญิงเซี่ยงได้ฟังก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า “ข้าถูกนายท่านทำให้โมโหจนสับสน พวกเจ้าพูดถูกแล้ว พวกเรายังต้องติดตามนายท่านไปเข้ารับตำแหน่ง จะรอต่อไปเรื่อยๆ เพราะเรื่องงานแต่งนี้ไม่ได้ เช่นนั้นคนอื่นจะหัวเราะเยาะเอา” พูดพลางลุกขึ้นนั่ง “เจ้าไปเรียกสาวใช้เข้ามาช่วยข้าล้างหน้าล้างตา ข้าจะไปพบนายท่าน!”
หัวหน้าสาวใช้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางยิ้มแล้วรีบไปเรียกสาวใช้น้อยเข้ามาช่วยนายหญิงเซี่ยงล้างหน้าล้างตา
พึ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จใต้เท้าเซี่ยงก็เข้ามาพอดี
นายหญิงเซี่ยงนึกถึงคำพูดของบุตรสาวเมื่อครู่ จึงตั้งสติแล้วนั่งนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหน
ใต้เท้าเซี่ยงเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ “แม้ว่าห้องในเรือนจะชำรุดทรุดโทรมมาหลายปี แต่อย่างไรเสียก็เป็นมรดกของบรรพบุรุษ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องขาย อีกสองวันข้าจะเดินทางไปรับตำแหน่ง เจ้าอยู่ที่เยี่ยนจิงกับลูกๆ ไปก่อนชั่วคราวเพื่อซ่อมแซมเรือนให้เสร็จ อาศัยโอกาสนี้ตัดสินใจเรื่องของโหรวเน่อ”
นายหญิงเซี่ยงนั่งนิ่งไม่ปริปากพูดอะไร