โจวเสวียนถูกทุบตีห้าสิบไม้ ตั้งแต่หลังถึงบั้นท้าย เต็มไปด้วยคราบเลือดน่ากลัวอย่างมาก
ใบหน้าของโจวเสวียนกลายเป็นสีขาวซีด แต่เขาไม่ได้ส่งเสียงร้องแม้แต่น้อย อดกลั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้เป็นลม อีกทั้งยังพูดกับฮ่องเต้ว่า ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ
สีหน้าของฮ่องเต้ไม่ได้ดีไปกว่าโจวเสวียนมากนัก ในระหว่างการลงโทษ ฮองเฮาทรงแนะนำให้เขากลับไปนั่งในตำหนัก อย่ายืนดูอยู่ตรงนี้ แต่ก็ถูกฮ่องเต้มองกลับอย่างเย็นชาจนสำลัก ฮองเฮาเดินจากไปด้วยความโกรธ ฮ่องเต้ยืนดูอยู่บนขั้นบันไดจนสิ้นสุดการลงโทษ ราวกับตนเองก็ถูกเฆี่ยนด้วยท่อนไม้ห้าสิบครั้งเช่นกัน เมื่อได้ยินโจวเสวียนพูดขอบพระทัย ร่างของเขาก็สั่นไหว…
โชคดีที่ขันทีจิ้นจงเตรียมพยุงตัวเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้
องค์ชายห้าและคนอื่น…ระหว่างนั้น องค์ชายสองและองค์ชายสี่ที่ทราบข่าว รวมทั้งองค์รัชทายาทและองค์ชายสามต่างวางงานลงเสด็จมาอย่างรีบร้อน…เรียกขานเสด็จพ่อ
ไม่รอฮ่องเต้เอ่ยปาก องค์รัชทายาทเรียกขานหาหมอหลวง สั่งการให้ทหารองครักษ์ส่งตัวโจวเสวียนกลับไปที่จวน และสั่งการให้พาฮ่องเต้กลับตำหนัก ขันทีจิ้นจงจึงพยุงฮ่องเต้จากไป ถึงแม้ตำหนักของฮองเฮาจะอยู่ด้านหลัง แต่องค์รัชทายาทเข้าใจฮ่องเต้อย่างมาก ไม่ได้ให้เขาเข้าไปพักผ่อนด้านใน หากแต่ให้ยกเกี้ยวกลับตำหนักของฮ่องเต้
ด้านหน้าตำหนักอันเงียบสงบโกลาหลขึ้นมาทันที ก่อนจะแยกย้ายกันไปเพียงชั่วพริบตา
องค์รัชทายาทติดตามฮ่องเต้ไป ให้องค์ชายสองติดตามโจวเสวียนไป
“ลงโทษบนร่างกายของโจวเสวียน แต่เจ็บที่หัวใจของเสด็จพ่อ” เขากำชับองค์ชายสอง “เจ้าไปดูแลอาเสวียนให้ดี”
แม้ว่าองค์ชายสองชอบที่จะถูกมอบหมายให้ทำงาน แต่ก็ชอบที่จะเสนอแนะเช่นเดียวกัน “หรือว่าให้อาเสวียนอยู่รักษาตัวภายในวัง เดิมทีเขามีที่พักอยู่ในวัง หากเสด็จพ่ออยากเยี่ยมก็สามารถเสด็จมาได้ทุกเวลา”
องค์รัชทายาทส่ายหัวอย่างระอา “เสด็จพ่อโกรธจริง เวลานี้อย่าให้เขาอยู่ในวังจะดีกว่า”
องค์ชายห้ากระโดดออกมาเร่งเร้า “พี่สอง เหตุใดท่านจึงพูดมาก ให้ท่านทำสิ่งใดท่านก็ทำสิ่งนั้น”
แม้ว่าองค์ชายสองจะชอบให้คำแนะนำ แต่ก็ไม่สนว่าคนอื่นจะไม่ฟัง เมื่อถูกองค์ชายห้าเร่งเร้า เขายิ้มก่อนจะพาคนมานำตัวโจวเสวียนออกไป
องค์รัชทายาทเสด็จไปยังตำหนักของฮ่องเต้ องค์ชายที่เหลือต่างมองหน้ากัน
องค์ชายสี่ถาม “แล้วพวกเราเล่า? ไปรับใช้เสด็จพ่อเถิด”
องค์ชายสามส่ายหัว “เวลานี้เสด็จพ่ออารมณ์ไม่ดีนัก โจวเสวียนมีความผิด ไม่เหมาะที่พวกเราจะไปเข้าเฝ้า ไปทำเรื่องของตนเองเถิด อย่าให้เสด็จพ่อต้องวุ่นวายใจดีที่สุด”
องค์ชายสี่ตอบรับ มององค์ชายสามนั่งอยู่บนเกี้ยวจากไปพร้อมกับสาวรับใช้ข้างกาย เขาตรัสกับองค์ชายห้า “พี่สามพูดมีเหตุผล พวกเราไปกันเถิด”
องค์ชายห้าเย้ยหยัน “เขาพูดมีเหตุผลอันใดกัน เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากเสด็จพ่อ แต่เสด็จพ่อไม่ได้มอบหมายสิ่งใดให้พวกเรา!” พูดพลางสะบัดแขนเสื้อเดินเข้าไปในตำหนักของฮองเฮา “ข้าไปอยู่กับเสด็จแม่ดีกว่า”
องค์ชายสี่ยืนอยู่ที่เดิม มองดูคนรอบข้างจากไปในชั่วพริบตา เหลือเพียงตัวเขาคนเดียว ทางด้านเสด็จพ่อไม่ต้องการเขา ทางด้านโจวเสวียนเขาก็เป็นส่วนเกิน ทางฮองเฮาไม่ต้องการให้เขาไปขัดขวางลูกตา ช่างเถิด เขากลับไปนอนดีกว่า
ตอนที่ส่งโจวเสวียนออกจากวัง บังเอิญพบเข้ากับแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่อยู่ตำหนักด้านนอก
องค์ชายสองรีบกล่าวทักทาย ไม่รอให้แม่ทัพหน้ากากเหล็กถาม เขาก็พูดขึ้น “เขาทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคือง ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อันใด”
องค์รัชทายาทรับสั่งห้ามเผยแพร่ บอกเพียงว่าเป็นการปะทะกับฮ่องเต้ ไม่ให้บอกว่าเรื่องใด
ส่วนองค์หญิงจินเหยาถูกปฏิเสธการแต่งงาน อย่างไรก็เสียเกียรติ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ถามอะไร ยกผ้าคลุมโจวเสวียนขึ้นดูบาดแผลที่โชกเลือด “ฝ่าบาทยังไม่ได้โกรธมากนัก ไม่ได้ตีจนกระดูกหัก” ราวกับหมดความสนใจต่อบาดแผลนี้ ส่ายหัว มองโจวเสวียนที่สะลึมสะลือ “ให้เวลาเจ้าพักรักษาตัวหนึ่งเดือน หากเจ้ากลับค่ายทหารช้า ข้าจะทำให้เจ้ารู้การลงโทษที่แท้จริง”
โจวเสวียนพยายามเหลือบมองเขา ท่านแม่ทัพในสายตาของเขาพร่ามัว ดูเหมือนอยู่ไกลแต่เหมือนใกล้ เขายกมุมปากแค่นยิ้มออกมา “ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ชี้แนะ ข้าไม่โกรธเกลียดฝ่าบาท” หลังจากพูดจบ เขาก็สลบไปอย่างไม่สามารถอดทนไว้ได้
องค์ชายสองตกใจ รีบเร่งให้หมอหลวงมาดูเขา ฝังเข็มป้อนยา ก่อนจะขอลาแม่ทัพหน้ากากเหล็ก “ไม่อาจรอช้าได้ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ข้ารับไม่ไหว” พูดพลางยกโจวเสวียนจากไปอย่างรีบร้อน
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินกลับไปที่ห้อง หวังเจียนกึ่งนอนพลิกดูบางสิ่ง เอ่ยถาม “เหตุใดฝ่าบาทจึงพระราชทานงานแต่งให้โจวเสวียนอย่างกะทันหัน เวลานี้จะเรียกคืนอำนาจทางการทหารของเขารีบร้อนไปหรือไม่”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเงียบไปครู่หนึ่ง “ในพระทัยของฝ่าบาท ความสุขของโจวเสวียนสำคัญกว่า ครั้งนี้พระองค์เศร้าใจอย่างแท้จริง”
หวังเจียนยิ้ม อยากพูดบางสิ่ง แต่เมื่อคิดได้ก็ส่ายหน้าไม่พูดสิ่งใดออกมา
ครานี้ ฮ่องเต้เสียใจจริงๆ วันรุ่งขึ้นไม่เข้าหารือในราชสำนัก ให้องค์รัชทายาทว่าการแทน เหล่าขุนนางนับร้อยต่างได้ยินข่าว ก่อเกิดการถกเถียงและคาดเดาอย่างลับๆ แต่เมื่อเห็นขบวนหมอหลวงและขันทีวิ่งเข้าออกจวนโหว เห็นได้ชัดว่าความโปรดปรานของโจวเสวียนยังไม่หมดสิ้น
องค์รัชทายาทเสด็จไปหาฮ่องเต้ ฮ่องเต้หมดชีวิตชีวา ถือฎีกาทอดพระเนตรอย่างเหม่อลอย
“เสด็จพ่อ อาเสวียนฟื้นขึ้นมาเมื่อเช้านี้” เขานั่งลงพูดเสียงเบา “กระหม่อมให้น้องสองดูแลอยู่ เสด็จพ่อไม่ต้องกังวล”
ฮ่องเต้ถอนหายใจยาว “เจ้าเหนื่อยแล้ว” จากนั้นเขาก็หัวเราะเยาะตัวเอง “เกรงว่าความหวังดีนี้จะไร้ประโยชน์ ในสายตาของเขา พวกเราเป็นผู้ที่กดขี่ข่มเหงเขา”
องค์รัชทายาทพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่หรอกพ่ะย่ะค่ะ อาเสวียนไม่ใช่คนเช่นนั้น เขาแค่ดื้อรั้น”
ขันทีจิ้นจงพูดจากด้านข้าง “ฝ่าบาท เมื่อวานแม่ทัพหน้ากากเหล็กพบโจวเสวียนยังชี้แนะเขา การลงโทษของฝ่าบาทเบายิ่งนัก ดูเหมือนหนักแต่ไม่เป็นอันใด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมีใจแล้ว สีหน้าของฮ่องเต้ผ่อนคลายลง “แล้วอย่างไร ข้ายังคงตีเขาอยู่ดี” พูดถึงตรงนี้ ขอบตาของเขาแดงขึ้นมาเล็กน้อย “โจวชิงอยู่ข้างล่างคงปวดใจยิ่งนัก เขาจะโทษข้าหรือไม่”
ขันทีจิ้นจงตาแดงก่ำทันที “ฝ่าบาท ไม่หรอกพ่ะย่ะค่ะ โจวต้าฟูเป็นผู้เที่ยงตรง หากเขายังอยู่ ย่อมต้องลงโทษโจวเสวียน ครานี้โจวเสวียนทำเกินไป ฝ่าบาทไม่เคยบังคับให้เขาแต่งงานกับองค์หญิง เพียงแค่เอ่ยขึ้นมาประโยคเดียว เขาก็โวยวายเพียงนี้ เขาเห็นฝ่าบาทเป็นคนเช่นไร คิดว่าฝ่าบาทเป็นคนนอกหรือจักรพรรดิที่โหดเหี้ยม? หัวใจของกระหม่อมแทบสลาย…”
เขาปิดหน้าร้องไห้
กลับเป็นฮ่องเต้ที่ร้องไห้ไม่ออก เขาขบขันในท่าทีของอีกฝ่าย พลางถอนหายใจ “ทุกคนเข้าใจ แต่เขาไม่เข้าใจ ข้าจะทำอย่างไรได้ ข้าก็โกรธ จินเหยาทำผิดต่อเขาหรืออย่างไร เขาทำเช่นนี้จะทำให้จินเหยาเสียใจเพียงใด”
องค์หญิงจินเหยาถูกดูแลไว้อย่างดี นางถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ หญิงสาวคงอับอายเกินกว่าจะออกไปพบปะผู้คน
องค์รัชทายาทกระแอมเสียงเบา “เสด็จพ่อ จินเหยาเพิ่งไปเยี่ยมอาเสวียนที่จวนโหวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ชะงักไปครู่หนึ่ง
“เดิมทีเสด็จแม่ไม่ให้นางออกไป แต่นางยืนกรานที่จะไป บอกว่าเป็นเรื่องของนางกับโจวเสวียน” องค์รัชทายาทรีบอธิบาย “นางต้องการพูดเรื่องนี้กับโจวเสวียนอย่างกระจ่าง เสด็จแม่ห้ามนางไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถอนหายใจยาว “เหตุใดต้องไปให้เศร้าใจอีกครั้ง” ก่อนจะกังวลเล็กน้อย เวลานี้จินเหยาชอบเล่นชนมุม อีกทั้งฝึกฝนเป็นประจำ ถึงแม้โจวเสวียนจะเป็นชาย แต่เวลานี้ได้รับบาดเจ็บ หาก…
“ให้พวกเขาพูดกันด้วยดี อย่าลงมือ” เขาอดไม่ได้ที่จะพูด
เห็นได้ชัดว่าโจวเสวียนสำคัญกับฮ่องเต้เพียงใด องค์รัชทายาทยิ้มปลอบ “เสด็จพ่อ อย่ากังวล ทางนั้นน้องสองดูอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
…
องค์ชายสองมององค์หญิงจินเหยาที่สีหน้าดำทะมึน เกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนโยน “เหตุใดต้องพบเขาอีก ถามเรื่องนี้ก็ไม่มีความหมาย จินเหยา เจ้าไม่เข้าใจ หัวใจของผู้เป็นชาย…”
องค์หญิงจินเหยาขัดเขาอย่างไม่พอใจ “พี่สอง ท่านไม่เข้าใจหัวใจของหญิงสาวเช่นเดียวกัน ข้าต้องพบเขาให้ได้ ท่านหลบไป”
องค์ชายสองไม่เคยควบคุมพี่น้องได้ ทำได้เพียงหลีกทาง เอ่ยกำชับ “เจ้าอย่าตีเขา”
องค์หญิงจินเหยาบอกเขา “พี่สองอยู่ให้ห่าง อย่าแอบฟัง”
เรื่องของเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความชัง หรือการอ้อนวอน ก็เป็นเรื่องน่าอายหากถูกคนภายนอกได้ยิน องค์ชายสองเข้าใจดี เขายืนดูองค์หญิงจินเหยาอยู่ห่างๆ มองดูนางเดินเข้าไปในห้องของโจวเสวียน ขันที หมอหลวงและบ่าวรับใช้ภายในห้องต่างถูกขับไล่ออกมา
ภายในห้องตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นเลือดและกลิ่นยา ม่านถูกปิดเอาไว้เพื่อบดบังแสงแดด ภายในห้องมืดสลัว
องค์หญิงจินเหยามองไปที่โจวเสวียนซึ่งนอนคว่ำเอาแขนหนุนแทนหมอน พูดขึ้น “ตายหรือยังมีชีวิตอยู่?”
โจวเสวียนที่นอนหนุนแขนทำเสียงอู้อี้ “มีสิ่งใดก็พูด”
องค์หญิงจินเหยานั่งลงที่ขอบเตียง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเคร่งขรึม “พี่อาเสวียน ข้าควรจะขอบคุณเจ้าหรือไม่ หากเจ้ารับปาก เวลานี้คนที่ถูกเฆี่ยนคงเป็นข้า”